Saturday, June 27, 2015

ชีวิตคริสเตียนที่สมบูรณ์

   ไม่ว่าเป็นใคร มีอาชีพอะไรก็ตาม เราทุกคนปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่  นักเรียนนักศึกษาก็ต้องการความสำเร็จในการเรียนและจบการศึกษาด้วยคะแนนที่ดี  คนทำงานก็ต้องการที่จะก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ได้เลื่อนตำแหน่ง และได้รับการปรับเงินเดือนขึ้น  นักธุรกิจก็ต้องการขยายตลาดให้ใหญ่ขึ้น ยอดขายสูงขึ้น ให้สินค้าเป็นที่นิยมและรู้จัก  แม้แต่ผู้รับใช้พระเจ้าเองก็ต้องแสวงหาความก้าวหน้า เมื่อจบโรงเรียนพระคัมภีร์ ก็มีความหวังที่จะเป็นนักเทศน์ที่มีชื่อเสียง เป็นนักประกาศที่ยิ่งใหญ่  เป็นศิษยาภิบาลและเป็นผู้เลี้ยงที่เกิดผล  ทุกคนล้วนแต่ปรารถนาความสำเร็จในชีวิตกันทั้งนั้น  แต่..............ความสำเร็จนั้นไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน ต้องลงมือทำทันทีไม่เพียงแต่ฝัน ต้องอาศัยเวลา การฝึกฝน ความอดทนและความมุ่งมั่น ชีวิตคริสเตียนก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่มาเชื่อพระเจ้าแล้วชีวิตก็จะดีและประสบความสำเร็จเอง แต่เราต้องรับการเปลี่ยนแปลงตามพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าในเช้าวันนี้ ในพระธรรม ฟิลิปปี 4:4-7 ได้ให้เคล็ดลับแก่เราไว้ 3 ประการ ในการจะดำเนินชีวิตคริสเตียนให้ประสบความสำเร็จ เราจะอ่านด้วยกัน
4  จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา   ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า   จงชื่นชมยินดีเถิด
 5จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง   องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว 6อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย   แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า   ด้วยการอธิษฐาน   การวิงวอน   กับการขอบพระคุณ         7แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ   จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์

เคล็ดลับประการที่ 1 จงชื่นชมยินดี  ข้อ 4
            คนเรามักจะมีความชื่นชมยินดีตอนไหนครับ เรามักจะชื่นชมยินดีเมื่อการทำงานเป็นไปได้ดี เราชื่นใจเมื่อเราได้เงินที่ไม่ได้คาดหวัง หรือลูกของเราได้เข้าเรียนในโรงเรียนทีดี แต่ความชื่นชมยินดีแบบนี้เป็นความชื่นชมยินดีชั่วคราว ไม่ได้ถาวร
         
เมื่อพระคัมภีร์บอกว่า จงชื่นชมยินดีเสมอ ไม่ได้หมายถึงความชื่นชมยินดีชั่วคราว แต่หมายถึงความชื่นชมยินดีถาวร  พระธรรมฟีลิปปีที่เปาโลเขียนไว้นั้นพูดถึงความชื่นชมยินดีบ่อยมากจนเรียกได้ว่า จดหมายฝากแห่งความชื่นชมยินดี ตามพระคัมภีร์ฉบับภาษาไทย มีคำว่าความชื่นชมยินดีที่เป็นคำนามและคำกิริยาในพระธรรมฟีลิปปีถึง 14  ครั้ง
            ตัวเปาโลเองก็ได้ชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า และได้ท้าทายเราในวันนี้ว่า จงชื่นชมยินดี เขาบอกว่า จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดี   ทำอย่างไรเราจึงจะดำเนินชีวิตด้วยความชื่นชมยินดีได้
          เปาโล ผู้เขียนจดหมายฉบับนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่จะชื่นชมยินดีได้เลย  เปาโลไม่มีครอบครัว เงินทอง สุขภาพ บ้านเรือน และอำนาจอะไรทั้งสิ้น หลังจากที่พบพระเยซูบนเส้นทางไปเมืองดามัสกัสแล้ว ก็ได้ใช้ชีวิตในการข่าวประเสริฐ ได้เผชิญกับความยากลำบาก ทนทุกข์ทรมานมาตลอดเวลา ท่านได้กล่าวไว้ใน 2 โครินธ์ 11.24-28
24 พวกยิวเฆี่ยนข้าพเจ้าห้าครั้ง ครั้งละสามสิบเก้าที 25 ข้าพเจ้าถูกตีด้วยไม้สามครั้ง ถูกก้อนหินขว้างครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเผชิญภัยเรือแตกสามครั้ง ข้าพเจ้าลอยอยู่ในทะเลวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง 26 ข้าพเจ้าเดินทางบ่อยๆ ข้าพเจ้าเผชิญภัยในแม่น้ำ เผชิญโจรภัย เผชิญภัยจากชนชาติของข้าพเจ้าเอง เผชิญภัยจากคนต่างชาติ เผชิญภัยในเมือง เผชิญภัยในป่า เผชิญภัยในทะเล เผชิญภัยจากพี่น้องจอมปลอม 27 ต้องตรากตรำและลำบาก ต้องอดหลับอดนอนบ่อยๆ ต้องหิวและกระหาย ต้องอดข้าวบ่อยๆ ต้องทนหนาวและเปลือยกาย 28 นอกจากนั้นยังมีสิ่งอื่นที่กดดันข้าพเจ้าอยู่ทุกๆ วัน คือความกังวลเกี่ยวกับคริสตจักรทั้งหมด
ในขณะที่เขียนจดหมายฉบับนี้ ก็ได้ถูกจำจองอยู่ในเรือนจำที่กรุงโรม   ในฐานะเป็นนักโทษเพราะการประกาศข่าวประเสริฐ ท่านกำลังอยู่ในเรือนจำที่มืดมัวและหนาวเหน็บ ไม่มีอิสรเสรีภาพ ไม่สามารถทานอาหารตามความต้องการได้  ไม่มีอะไรที่น่าชื่นใจ ถึงกระนั้น เปาโลได้บอกว่าให้ชื่นชมยินดี
           เราจะเห็นว่าที่เปาโลชื่นชมยินดีเช่นนี้ได้ ก็เพราะได้มองดูพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งชีวิตและความหวัง แทนที่จะมองดูสถานการณ์ที่หมดหวังในขณะนั้น ท่านได้ดำเนินชีวิตโดยมีพระเยซูทรงเป็นศูนย์กลางในชีวิตทุกด้าน ท่านไม่เสียความชื่นชมยินดีถึงแม้ว่าตกอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม
          เปาโลได้หนุนใจ คริสเตียนชาวฟีลิปปีให้ชื่นชมยินดีเสมอในองค์พระผู้เป็นเจ้า    ถึงแม้ว่าเราตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก แต่ยังชื่นชมยินดีได้ก็เพราะพระเยซู   ถ้าเรามองดูแต่สภาพปัจจุบันเท่านั้น ไม่สามารถที่จะชื่นชมยินดีได้ เพราะความชื่นชมยินดีแท้ไม่ได้มาจากสถานการณ์ หรือการมีบางสิ่งบางอย่าง แต่มาจากความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า  เช่นเดียวกับ ฮาบกุกที่เขียนไว้ในพระธรรมฮาบากุก 3:17-18
           แม้ต้นมะเดื่อไม่มีดอกบาน หรือเถาองุ่นไม่มีผล ผลมะกอกเทศก็ขาดไป ทุ่งนามิได้เกิดอาหาร ฝูงสัตว์ขาดไปจากคอกและไม่มีฝูงวัวที่ในโรง   ถึงกระนั้นข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระเจ้า ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า

เคล็ดลับประการที่ 2 มีจิตใจอ่อนสุภาพ  ข้อ 5
            ก่อนเดินทางไปประกาศครั้งที่สอง เปาโลกับบารนาบัสมีความคิดเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับมาระโก บารนาบัสอยากจะพามาระโกไปด้วย แต่เปาโลไม่เห็นด้วย เพราะว่า ในการเดินทางไปประกาศครั้งที่หนึ่ง มาระโกได้ละทิ้งทั้งสองกลับบ้านและมิได้ทำการด้วยกัน พระคัมภีร์ไม่ได้บอกสาเหตุที่มาระโกกลับไป มาระโกไม่น่าทำเช่นนี้ ทำให้เปาโลไม่ชอบที่จะพาเขาไปด้วยอีก  ส่วนบารนาบัสอยากจะพาไป อาจเพราะเป็นญาติกัน   ทั้งสองขัดแย้งกันจนต้องแยกกันไป   เมื่อเวลาผ่านไป เปาโลเข้าใจเรื่องนี้และรู้ว่า การสำแดงจิตใจที่อ่อนสุภาพแก่คนอื่นนั้นสำคัญมาก  ในพระธรรม 2 ทิโมธี 4.11 เราจึงเห็นว่า เปาโลได้กำชับให้ทิโมธีพามาระโกมาด้วยโดยกล่าวว่า   เพราะเขาช่วยปรนนิบัติข้าพเจ้าได้เป็นอย่างดี”    นี่เป็นภาพที่สวยงามจริงๆ ของชุมชนคริสเตียน พระเยซูปรารถนาสร้างชุมชนเช่นนี้ดังนั้น เราควรสร้างคริสตจักรของเราให้เป็นชุมชนที่แสดงจิตใจที่อ่อนสุภาพให้เห็นซึ่งกันและ
           เป็นการง่ายที่เรามีจิตใจที่อ่อนสุภาพของเรากับคนที่เรารัก หรือบางครั้งคนที่เราสนิทกัน คนที่รักกัน ก็ไม่ถูกกันและทะเลาะกัน เพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่แสดงจิตใจที่อ่อนสุภาพต่อกัน  แต่พระคัมภีร์บอกว่า จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพแก่คนทั้งปวงคำว่า คนทั้งปวงนี้ รวมถึงคนที่ข่มเหงเรา และคนที่เป็นศัตรูของเราด้วย พระเยซูเคยตรัสว่าฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่านและจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน   ถึงแม้ว่า ไม่ชอบ หรือไม่ค่อยถูกกัน หรือไม่ค่อยสนิทกัน เราก็ควรแสดงจิตใจที่อ่อนสุภาพของเราให้แก่เขาด้วย ตามความคิดของเรา ตามความรู้สึกของเรา อาจทำยาก หรือทำไม่ได้ แต่พระคัมภีร์บอกอย่างนั้นแล้ว เราควรเชื่อฟัง ปฎิบัติตามนั้น

เคล็ดลับประการที่ 3 อย่า   แต่    แล้ว   ข้อ 6-7
            คริสเตียนมีสองประเภท ประเภทหนึ่ง คือคริสเตียนที่กระวนกระวายเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก อีกประเภทหนึ่ง คือคริสเตียนที่อธิษฐานพึ่งในพระคุณพระเจ้า พระคัมภีร์ตอนนี้บอกเราว่า  อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย”   มนุษย์เรามักจะทุกข์ร้อนในสิ่งต่างๆ แม้ คริสเตียนก็ไม่ต่างกัน คนที่ฆ่าตัวตายเขาทำทำไม ก็เพราะว่าเขาทุกข์ใจในบางสิ่งบางอย่างที่เขามองไม่เห็นทางออก คงไม่มีใครชอบความทุกข์ร้อน แต่เราส่วนใหญ่มักจะทุกข์ร้อนใจในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น จริงๆแล้ว เรื่องนั้นอาจไม่เกิดขึ้นกับเรา
          ทำไมเรามักจะทุกข์ร้อน  สาเหตุใหญ่ที่สุด ก็คือ ความรู้สึกไม่เพียงพอ เช่น เขาทุกข์ใจ ถึงเวลาที่จะใช้หนี้ แต่ไม่มีเงิน ก็กระวนกระวาย นักเรียนที่จะสอบพรุ่งนี้ แต่เตรียมตัวยังไม่พร้อม ก็ทุกข์ร้อนในเรื่องสอบ ถ้าเราเผชิญกับทุกสิ่งด้วยกำลังของเราเองคนเดียว เราคงทุกข์ร้อนในทุกสิ่งทุกอย่าง  แต่เราไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยตัวเองคนเดียว  เพราะเราดำเนินชีวิตโดยมีพระเจ้า ดังนั้นพระคัมภีร์บอกว่าอย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย  ทำไมครับ    เพราะว่าความทุกข์ร้อนนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า  ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ได้กล่าวไว้ว่า  แผนงานของพระเจ้าสำหรับเรานั้นเป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ อนาคต และความ หวังใจ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ (ยรม.29.11)   ผู้เขียนสุภาษิตได้บอกว่าพระพรของพระเจ้ากระทำให้มั่งคั่ง และพระองค์มิได้แถมความโศกเศร้าไว้ด้วย” (สภษ.10.22)
         พระเยซูตรัสว่ามีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวาย อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ” (มธ.6.27) เรากระวนกระวายมากมายเท่าไร ก็ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงเลย  แต่ในฐานะคริสเตียน เราจะต้อง.............
 แต่ ..ทูลขอทุกเรื่องต่อพระเจ้า (4.6 ข)
          "แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาทุกอย่างต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน การวิงวอนกับการขอบพระคุณ”     คริสเตียนเราต้องเผชิญหน้าความทุกข์ร้อนด้วยแง่บวก พูดอีกนัยหนึ่งว่า เราต้องมอบทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับพระเจ้าโดยการอธิษฐาน และให้พระเจ้าทรงจัดการและแก้ไข โดยทั่วไปแล้ว มักจะเกิดความกระวนกระวายเมื่อเราพยายามจัดการและแก้ไขเรื่องต่างๆโดยลืมพระเจ้า
          เมื่อเราทูลขอความปรารถนาของเราต่อพระเจ้า ให้เราเชื่อมั่นว่าพระเจ้าทรงฟัง ทรงสดับฟังคำทูลขอของเรา และพระองค์จะทรงตอบคำอธิษฐานของเรา นี่แหละเป็นการอธิษฐานแห่งความเชื่อ คนที่มีความเชื่อในพระเจ้า ไม่ทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่รอคอยพระองค์และหวังในพระผู้เป็นเจ้า เพราะเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆด้วยกำลังของเขาเอง แต่เผชิญหน้าพร้อมกับพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง เหมือนที่เปาโลกล่าวไว้ว่าข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” (ฟป.4.13)
แล้ว.....สันติสุขของพระเจ้าจะคุ้มครองเรา (4.7)
          “แล้ว สันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราไม่ทุกข์ร้อนในสิ่งต่างๆ แต่อธิษฐาน วิงวอนด้วยการขอบพระคุณ เราจะพบสิ่งที่ถูกกล่าวไว้ในข้อ 7 นั่นคือ สันติสุขแห่งพระเจ้าจะคุ้มครองเรา เราจะเต็มด้วยสันติสุขของพระเจ้า
           สันติสุขของพระเจ้าหมายถึงสันติสุขที่มาจากพระเจ้า เมื่อเราเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยใจทุกข์และโศกเศร้า พระองค์ทรงโปรดให้เรามีสันติสุขที่มาจากพระองค์ พระเยซูทรงตรัสไว้แล้วว่าเรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกนี้ให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก อย่ากลัวเลย” (ยน.14.27)         พี่น้องต้องการสันติสุขของพระองค์หรือ จงมาหาพระองค์ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอนกับการขอบพระคุณ 
            เปาโลกับสิลาสก็เช่นเดียวกัน ท่านทั้งสองได้ถูกจับ ถูกเฆี่ยนตี และติดคุกเพราะพระเยซูในขณะที่เดินทางไปประกาศข่าวประเสริฐครั้งที่สองที่เมืองฟีลิปปี แต่ยังถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าโดยการอธิษฐานและการสรรเสริญพระเจ้าในกลางคืนได้  ก็เพราะสันติสุขของพระเจ้าได้คุ้มครองจิตใจของท่านทั้งสอง
          ขอเราจำไว้ให้ดีๆ สามคำ คือ    อย่า ...   แต่ ...   แล้ว......
อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงอธิษฐานทูลขอทุกอย่างต่อพระเจ้า แล้วสันติสุขของพระเจ้าจะคุ้มครองจิตใจและความคิดทั้งหมดของเรา
นี่เป็นเคล็ดลับชีวิตที่ประสบความสำเร็จ

ขอพระเจ้าอวยพระพร
วิจิตร วารินทร์ศิริกุล