Tuesday, December 27, 2011

วินิจฉัยคำสอน


โลกทุกวันนี้เป็นโลกแห่งข่าวสาร มีข่าวสารและความรู้ต่างๆเข้ามาสู่เรามากมายหลายทาง แต่อะไรเป็นข่าวจริง อะไรเป็นข่าวลวง เราต้องมีวิจารณญาณในการคัดกรองข่าวสารต่างๆนั้น เช่น หนังสือและภาพยนตร์เรื่อง รหัสลับดาวินชี่ได้สร้างความสนใจทั้งในหมู่คริสเตียนและคนไม่เชื่อพระเจ้า แม้ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะสร้างผลกระทบในแง่ลบต่อคริสตจักรอยู่มาก แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้หลายคนได้มีโอกาสค้นหาความจริง และบางคนได้พบกับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ แต่จะมีสักกี่คนที่ใส่ใจค้นคว้าแสวงหาและพิสูจน์เรื่องราวที่เขาได้รับจนพบความจริงแท้ได้

ในฐานะผู้เชื่อ เราต้องป้องกันตนเองจากผู้สอนเท็จเหล่านี้ โดยการศึกษาพระคัมภีร์ให้เข้าใจในคำสอน และเรียนรู้ถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อเรา การไปนมัสการที่คริสตจักรและการร่วมกลุ่มสามัคคีธรรมต่างๆของคริสตจักรจะเป็นภูมิต้านทานได้อย่างดี  การไม่ไปรับคำสอนจากบุคคลที่เราไม่รู้จัก หรือไม่ไปร่วมฟื้นฟูกับกลุ่มบุคคลที่ไม่เป็นที่ยอมรับในหมู่คริสตจักรท้องถิ่น โดยสามารถสอบถามหรือปรึกษากับศิษยาภิบาลหรือผู้นำในคริสตจักรของเรา

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อวิญญาณเสียทุกๆวิญญาณ แต่จงพิสูจน์วิญญาณนั้นๆว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะว่ามีผู้พยากรณ์เท็จเป็นอันมากจาริกไปในโลก
โดยข้อนี้ท่านทั้งหลายก็จะรู้จักพระวิญญาณของพระเจ้า คือวิญญาณทั้งปวงที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้นก็มาจากพระเจ้า
และวิญญาณทั้งปวงที่ไม่ยอมรับเชื่อพระเยซู วิญญาณนั้นก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า วิญญาณนั้นแหละเป็นปฏิปักษ์ของพระคริสต์ ซึ่งท่านทั้งหลายได้ยินว่าจะมา และบัดนี้ก็อยู่ในโลกแล้ว
ลูกทั้งหลายเอ๋ย ท่านเป็นฝ่ายพระเจ้า และได้ชนะเขาเหล่านั้น เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงอยู่ในท่านทั้งหลายเป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก
เขาเหล่านั้นเป็นฝ่ายโลก เหตุฉะนั้นเขาจึงพูดตามโลกและโลกก็เชื่อฟังเขา
เราทั้งหลายเป็นฝ่ายพระเจ้า ผู้ที่คุ้นกับพระเจ้าก็ฟังเรา และผู้ที่ไม่ใช่ฝ่ายพระเจ้าก็ไม่ฟังเรา ดังนี้แหละเราทั้งหลายจึงรู้จักวิญญาณของความจริง และวิญญาณของความเท็จ
(1ยอห์น 4:1-6)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สิ่งที่ยอห์นพูดควรทำให้เราตื่นตัว เราจำเป็นต้องระวังคนเหล่านี้ ปัจจุบันมีผู้พูดเรื่องพระเจ้าได้อย่างฉะฉาน บุคลิกน่าเชื่อถือ มีความรู้พระคัมภีร์ดี แต่เขาอาจจะเป็นผู้สอนเทียมเท็จก็ได้

หลายคนอาจจะตื่นเต้นและเชื่อต่อคำสอนของอาจารย์สอนพระคัมภีร์ นักเทศน์ฟื้นฟู วิทยากรจากต่างถิ่น หรือจากหนังสือวรรณกรรมของคริสเตียนที่มีวางขาย แต่พระคำของพระเจ้าในพระธรรม  1 ยอห์น 4:1-6 ได้เตือนเราไว้เกี่ยวกับผู้สอนเท็จมากมายที่กำลังจาริกไปตามที่ต่างๆ เพื่อที่จะสอนให้คนหลงไปจากทางของพระเจ้า

เราจะเห็นในพระธรรมตอนนี้ว่า มีผู้พยากรณ์เท็จมากมายเข้ามาในโลกนี้ คนเหล่านั้นล่อลวงผู้เชื่อให้หลงไปไปจากความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พวกเขาไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่เสด็จมารับสภาพเนื้อหนังในโลกนี้ ยอห์นได้กำชับว่าอย่าเชื่อทุกคนที่อ้างว่าตนมีพระวิญญาณประทับอยู่ แต่จงทดสอบดูว่าวิญญาณนั้นๆมาจากพระเจ้าหรือไม่ ผู้เชื่อควรตื่นตัวและระวังให้มาก  เมื่อได้ยินคำสอนต่างๆอย่าเพิ่งรีบเชื่อ  แต่ให้ตรวจสอบสาระและเนื้อหา แม้ว่าผู้สอนจะกล่าวอ้างว่าตนเป็นคนของพระเจ้าก็ตาม

คำสอนที่ถูกต้องของคริสเตียนแท้คือการยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์  ในสมัยของยอห์นนั้นกลุ่มผู้สอนเท็จที่แพร่หลายมากคือพวกนอสติค ซึ่งถือว่าจิตวิญญาณเท่านั้นที่ดีและบริสุทธิ์ ส่วนร่างกายนั้นเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย พวกนอสติคจึงสอนว่าพระเจ้าผู้บริสุทธิ์จะไม่มามีส่วนเกี่ยวข้องกับร่างกาย พวกเขาจึงไม่ยอมรับว่าการที่พระเยซูรับสภาพเนื้อหนังนั้นไถ่บาปได้ ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธว่าพระเยซูสามารถช่วยมนุษย์ให้รอดได้

ยอห์นได้กล่าวถึงคนสองประเภทคือ คนที่เป็นของโลกจะไม่ฟังคำสอนของอัครทูต เขามีมุมมองของโลก  ส่วนคนที่เป็นของพระเจ้าจะฟังคำสอนของอัครทูต  คริสเตียนแท้คือคนที่ยอมรับสิ่งที่มาจากพระเจ้า และยอมรับคำสอนของอัครทูตที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ และเชื่อว่าผู้ที่อยู่ภายในเรายิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ฝ่ายโลก

คำสอนที่ถูกต้องของคริสเตียนแท้คือการยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์  ทรงตายเพื่อบาปผิดของมนุษย์ และเป็นขึ้นจากความตาย คริสเตียนต้องระวังผู้สอนเท็จมีมากมายที่สอนให้คนหลงจากทางของพระเจ้า

คาอินกับอาแบล

เมื่อเราผิดพลาดล้มเหลว บางคนโทษตัวเอง บางคนก็โทษคนอื่น โทษสถานการณ์ โทษพ่อแม่หรือแม้แต่โทษพระเจ้า แต่การกล่าวโทษสิ่งต่างๆกลับไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น บางครั้งอาจทำให้สิ่งต่างๆย่ำแย่ลงไปมากกว่าเดิม แต่ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียนผู้ซึ่งประกาศตนว่ามีพระเจ้าเป็นผู้นำในชีวิต  เราจะต้องเข้ามาหาพระเจ้าด้วยการกลับใจ สารภาพผิด และขอบพระคุณพระเจ้าที่จะช่วยให้เราเริ่มต้นใหม่โดยมีความหวังในพระองค์เสมอ

ปัจจุบันเราพบว่าปัญหาทางสังคมรุนแรงมากขึ้นทุกที ผู้คนใจร้อน วู่วาม หุนหันพลันแล่นและมักจะตอบโต้กันอย่างหนักหน่วงและทันทีทันใด หลายคนโทษสื่อต่างๆว่าทำให้นิสัยของคนเปลี่ยนไป แต่แท้ที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากความบาปของมนุษย์ที่รับมาจากมนุษย์คู่แรก เราจะเห็นได้จากชีวิตของคาอินและอาแบล

----------------------------------------------------------------------------------------------------
"ฝ่ายชายนั้นสมสู่อยู่กับเอวาภรรยาของตน นางก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชื่อคาอิน นางจึงกล่าวว่า "พระเจ้าทรงโปรดให้ฉันได้ผู้ชายคนหนึ่ง" ต่อมานางก็ให้กำเนิดน้องชายของเขาชื่ออาแบล อาแบลเป็นคนเลี้ยงแกะ ส่วนคาอินเป็นคนทำไร่ไถนา
อยู่มาวันหนึ่งคาอินนำพืชผลที่เกิดจากไร่นามาถวายพระเจ้า
ส่วนอาแบลก็นำแกะหัวปีจากฝูงและไขมันของแกะมาถวาย พระเจ้าทรงพอพระทัยอาแบลและเครื่องบูชาของเขา  แต่คาอินกับเครื่องบูชาของเขานั้น พระองค์ไม่พอพระทัย คาอินก็โกรธแค้นนัก หน้าบูดบึ้งอยู่
พระเจ้าจึงตรัสถามคาอินว่า "เจ้าโกรธเคืองหน้าบูดบึ้งอยู่ทำไม
ถ้าเจ้าทำดี เราก็จะพอใจรับเจ้ามิใช่หรือ ถ้าเจ้าทำไม่ดี บาปก็หมอบอยู่ที่ประตู อยากตะครุบเจ้า เจ้าจะต้องเอาชนะบาปนั้นให้ได้"
ฝ่ายคาอินก็พูดชวนอาแบลน้องชายของตนว่า "เราไปนากันเถอะ" เมื่ออยู่ที่นาด้วยกัน คาอินก็โถมเข้าฆ่าอาแบลน้องชายของตนเสีย
พระเจ้าตรัสถามคาอินว่า "อาแบลน้องชายของเจ้าอยู่ที่ไหน" คาอินจึงทูลว่า "ข้าพระองค์ไม่ทราบ ข้าพระองค์หรือเป็นผู้ดูแลน้อง"
พระองค์ตรัสว่า "เจ้าทำอะไรไป โลหิตของน้องเจ้าส่งเสียงร้องฟ้องขึ้นมาจากดิน
บัดนี้เจ้าจะต้องถูกสาปจากที่ดินที่ได้อ้าปากรับโลหิตน้องจากมือเจ้า
ต่อไปเมื่อเจ้าทำนาจะไม่เกิดผลมาก เจ้าจะต้องหลบหนีและพเนจรไปในโลก"
ฝ่ายคาอินทูลพระเจ้าว่า "โทษของข้าพระองค์หนักเหลือที่ข้าพระองค์จะทนได้
ดูเถิดวันนี้พระองค์ทรงขับไล่ข้าพระองค์ออกจากที่ดินพ้นจากพระพักตร์พระองค์ไป ข้าพระองค์จะต้องหลบหนีและพเนจรไปในโลก ใครพบข้าพระองค์ก็จะฆ่าข้าพระองค์เสีย"
พระเจ้าตรัสแก่คาอินว่า "ไม่ได้ ผู้ใดฆ่าคาอิน จะมีโทษเจ็ดเท่า" แล้วพระเจ้าทรงทำเครื่องหมายไว้ที่ตัวคาอิน เพื่อว่าเมื่อใครพบจะได้ไม่ฆ่า"   (ปฐมกาล 4:1-15)

"เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ"
(ปฐมกาล 3:15)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

พงศ์พันธ์ของงูและพงศ์พันธ์ของหญิงในพระธรรมตอนนี้เป็นความหมายฝ่ายวิญญาณ พงศ์พันธ์ของงูเป็นเชื้อสายของซาตานที่ตั้งตัวเป็นศัตรูของพระเจ้าและพงศ์พันธ์ของหญิง ทั้งยังเป็นผู้ที่พยายามทำลายเป้าหมายในการทรงสร้างและการไถ่ของพระเจ้า พงศ์พันธ์ของหญิงคือ ผู้ที่เป็นครอบครัวของพระเจ้าโดยทางความเชื่อ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า

พระเจ้าทรงพอพระทัยในตัวของอาแบลกับเครื่องถวายบูชาของเขาเหมือนที่พระองค์ทรงพอพระทัยที่พระเยซูคริสต์ยอมสิ้นพระชนม์เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป แต่ไม่พอพระทัยในตัวของคาอินกับเครื่องถวายบูชาของเขา เพราะพระเจ้าทรงทอดพระเนตรดูที่จิตใจกับท่าทีของผู้ที่ถวาย ไม่ได้ดูที่เครื่องถวายบูชา ไม่ได้ชอบเครื่องบูชาที่เป็นเนื้อสัตว์มากกว่าผลผลิตจากไร่สวนเหมือนที่หลายคนคิด
โฮเชยา 6:6    เพราะเราประสงค์ความรักมั่นคง ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา  
                         เราประสงค์ความรู้ในพระเจ้า ยิ่งกว่าเครื่องเผาบูชา  

คาอินถูกเนรเทศและต้องระหกระเหินไปในโลก แม้เขาจะทำงานหนักเพียงใด ผืนแผ่นดินจะไม่ให้ผลิตผลที่ดีแก่เขาอีกต่อไป เขาทูลขอต่อพระเจ้าเพราะกลัวจะถูกคนอื่นฆ่า  พระเจ้าทรงทำเครื่องหมายไว้ที่ตัวเขา และตรัสว่าผู้ใดฆ่าคาอินจะมีโทษเจ็ดเท่า

จากพระธรรมตอนนี้ จะเห็นว่าบาปค่อยๆก่อตัวและสะสมในชีวิตของคาอิน โดยที่คาอินไม่ยอมสลัดบาปทิ้งไปและพึ่งพาในพระเจ้า แต่เขาได้ปล่อยให้ความอิจฉาริษยารุมเร้าอยู่ในชีวิตของเขาจนเกิดแผนการร้ายในความคิด แม้พระเจ้าจะทรงตักเตือนเขาเมื่อเขาทำหน้าบูดบึ้ง พระเจ้าตรัสกับเขาว่า ถ้าเจ้าทำดี เราก็จะพอใจรับเจ้ามิใช่หรือ ถ้าเจ้าทำไม่ดี บาปก็หมอบอยู่ที่ประตู อยากตะครุบเจ้า เจ้าต้องเอาชนะบาปนั้นให้ได้  สุดท้ายคาอินพ่ายแพ้ต่อบาปและฆ่าอาแบลน้องของตน

จากเรื่องของคาอินและการช่วยเหลือของพระเจ้า เราเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่สมควรได้รับการลงโทษจากพระเจ้า เราเลือกที่จะกลับใจ สารภาพและขอพึ่งกำลังจากพระองค์ ขอพระองค์ทรงช่วย หรือจะเลือกทางเดินแบบคาอิน

คริสเตียนต้องพึ่งพาในพระเจ้าเมื่อเขาล้มลง ด้วยการกลับใจและสารภาพ

การสำแดงความรัก


ไม่มีความรักใดจะยิ่งใหญ่เท่ากับความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา แต่ถึงอย่างไรเราก็ยังสามารถเห็นถึงความรักในท่ามกลางสังคมที่ยุ่งเหยิงของเราได้ด้วยเหมือนกัน เช่น การที่เกิดองค์กรณ์ต่างขึ้นเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความทุกข์ร้อนให้กับคนที่ด้อยโอกาส หรือกลุ่มคนติดเชื้อร้ายแรงที่คนส่วนใหญ่ไม่เหลียวแล ซึ่งพระคัมภีร์เองก็มักยกตัวอย่างความรักของมนุษย์ที่มีต่อกันเพื่อเปรียบเทียบให้เราเห็นความรักของพระเจ้าเสมอ เช่น ในอิสยาห์ 49:15 เป็นความรักของแม่ที่มีต่อลูกของตน และในโฮเชยา เป็นความรักที่สามีมีต่อภรรยา

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"ดังนี้แหละเราจึงรู้จักความรัก โดยที่พระองค์ได้ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเราทั้งหลาย และเราทั้งหลายก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้องแต่ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแล้วยังใจจืดใจดำไม่สงเคราะห์เขา ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในผู้นั้นอย่างไรได้
ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง"
(1 ยอห์น 3:16-18)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คริสเตียนจะต้องรักซึ่งกันและกัน เพราะการแสดงความรักต่อพี่น้อง ทำให้เห็นว่าผู้นั้นมีพระเจ้าและมีสามัคคีธรรมร่วมกับพระองค์  ผู้ที่ไม่มีความรักต่อพี่น้อง ความรักของพระบิดาไม่ได้อยู้ในผู้นั้น

พระธรรม ยอห์น 13:34-35  พระเยซูได้ให้บัญญัติใหม่แก่เราทั้งหลายคือ ให้รักซึ่งกันและกัน เพราะคนทั้งปวงจะรู้ได้ว่าเราทั้งหลายเป็นสาวกของพระเยซูโดยเห็นจากความรักนี้

สิ่งที่สามารถใช้ทดสอบความรักของเราที่มีต่อพี่น้อง คือ การเสียสละตนเองเพื่อพี่น้อง ไม่ว่าจะเป็น เวลา ทรัพย์สินสิ่งของ กำลังกาย ถ้าเรามีพอที่จะแบ่งปันให้กับพี่น้องที่กำลังลำบาก ต้องการความช่วยเหลือ เราก็ต้องสำแดงออกมาเป็นการกระทำ ไม่ใช่เป็นเพียงคำพูดที่สวยหรู อ่อนหวาน หนุนใจเท่านั้น ดังเช่น ในข้อ 17 ที่บอกว่า ถ้าเรามีทรัพย์สิ่งของและเห็นพี่น้องของตนขัดสน แล้วไม่ให้การช่วยเหลือ ความรักของพระเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในเรา

เราจะต้องพยายามสร้างนิสัยในการสำแดงความรักออกมาเป็นการกระทำต่อพี่น้องจนเป็นธรรมชาติในตัวเราเอง เช่น การอธิษฐานเผื่อเสมอ การส่งการ์ดหนุนใจ การมอบของขวัญเล็กๆน้อยๆ การเยี่ยมเยียนโดยการไปด้วยตัวเองหรือโทรศัพท์ แสดงความห่วงใยและช่วยเหลือพี่น้องที่มีปัญหาด้วยจริงใจ

คริสเตียนแท้ย่อมสำแดงความรักออกเป็นการกระทำ

Thursday, December 22, 2011

การรักโลก

เมื่อเราตกหลุมรักใครสักคน ดูเหมือนโลกทั้งโลกจะมีแต่เขาหรือเธอคนนั้น คิดถึงเสมอ เห็นอะไรหรือมีอะไรก็อยากบอกอยากเล่าให้ฟัง อยากใช้เวลาด้วยกันกับเขา นั่นเป็นเพราะอาการตกหลุมรักทำให้เราให้ความสำคัญและเห็นคนนั้นเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเรา ทำให้อะไรหลายอย่างในชีวิตของเราเปลี่ยนไป เวลานี้เรากำลังตกหลุมรักใคร ระหว่างพระเจ้ากับโลกนี้และสิ่งของของโลก สิ่งนั้นย่อมมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในแต่ละวันของเราอย่างแน่นอน

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น
เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก
และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์"  (1 ยอห์น 2:15-17)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ยอห์นใช้คำ 3 คำ คือ
          1.  ตัณหาของเนื้อหนัง หมายถึง การยึดติดกับนิสัยบาป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ ความโกรธ ความเกลียดชัง การอิจฉาริษยา เป็นต้น
          2.  ตัณหาของตา หมายถึง การหมกหมุ่นกับการหาสิ่งต่างๆมาสนองความต้องการฝ่ายร่างกาย  ผู้คนปัจจุบันถูกจูงใจด้วยการได้เห็นและการได้ยินโฆษณาชวนเชื่อ การดูและเห็นสิ่งต่างๆแล้วกระตุ้นให้เกิดความโลภ คนมากมายเป็นหนี้สิน เพราะต้องการซื้อหาสิ่งของมาเพื่อสนองความต้องการของตน
          3.  ความทะนงในลาภยศ หมายถึง การลุ่มหลงในสถานภาพและความสำคัญของตัวเอง อยากให้คนอื่นยกย่อง โอ้อวดในสิ่งที่ตนทำหรือสิ่งที่มี เห็นตัวเองสำคัญมากกว่าการถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเห็นแก่หน้าตา ชื่อเสียงของตนมากกว่าการให้ความสำคัญแก่ผู้อื่น

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เหตุผล 2 ประการที่กำชับไม่ให้เรารักโลกและสิ่งของของโลกคือ
          1.    เพราะผู้ที่รักโลกไม่มีความรักของพระบิดาอยู่ภายใน
          2.    เพราะสิ่งนั้นไม่คงทนถาวรและจะสูญสลายไปในที่สุด
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ยอห์นต้องการให้เราเห็นว่าการรักพระเจ้าและการรักโลกเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกัน และเป็นไปไม่ได้ที่เราจะยึดสองสิ่งนี้ในเวลาเดียวกัน และในพระธรรม มัทธิว 6:24 ได้สอนเรื่องข้าสองเจ้าบ่าวสองนายไว้ว่า เราจะให้ทั้งโลกและพระเจ้าเป็นนายในเวลาเดียวกันไม่ได้

เราต้องมีท่าทีและทัศนคติที่ถูกต้องกับสิ่งนั้น เพราะทุกสิ่งเป็นของประทานจากพระเจ้า เราต้องรับไว้ด้วยท่าทีที่ขอบพระคุณพระเจ้า และคิดเสมอว่าสิ่งนั้นเป็นของพระเจ้าไม่ใช่ของตัวเราเอง ไม่หมกหมุ่นหรือเสพติดจนขาดมันไม่ได้ และหากสิ่งนั้นเป็นเงิน ก็ไม่ควรใช้เพื่อโอ้อวดหรือเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองเท่านั้นโดยไม่สำแดงความรักด้วยการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้ยากไร้

เราจะต้องดำเนินชีวิตด้วยการขอบพระคุณ ไม่ว่าจะร่ำรวย การศึกษาสูง ฐานะทางสังคมดี แต่ชีวิตของเราต้องสำแดงพระคุณของพระเจ้า ไม่ให้สิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้นั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เราเย่อหยิ่ง อวดตัว ทับถมคนอื่นที่ด้อยกว่า แต่ต้องให้สิ่งเหล่านั้นเสริมเราในการรับใช้พระเจ้าและพี่น้อง เพื่อชีวิตของเราจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเนื่องจากสิ่งเหล่านั้น

คริสเตียนต้องให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่งในชีวิต

Wednesday, December 21, 2011

กล้าหาญโดยความเชื่อ

โยชูวา 2:1-24

เมื่อเราต้องการความช่วยเหลือ เรามักจะคิดถึงคนรวย คนมีความสามารถ คนมีชื่อเสียงดี คงไม่ค่อยมีใครคิดถึง คนขอทาน คนตาบอด คนยากจน โสเภณี ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น บางครั้งบุคคลที่เราคิดว่าจะช่วยเหลือเราได้ก็ใช่ว่าจะช่วยเราได้ทุกครั้ง แต่บางทีพระเจ้าอาจเปิดทางแห่งความช่วยเหลือผ่านบุคคลที่เราไม่คาดฝันก็ได้ เพราะพระเจ้าไม่ได้มองเหมือนกับเรา  ดังนั้นเราจึงไม่ควรมองข้ามหรือดูถูกใคร เพราะแท้ที่จริงทุกคนก็คือฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ใน มัทธิวบทที่ 1 เราพบว่ามีหญิงคนหนึ่งได้รับเกียรติด้วยชื่อของนางถูกบันทึกไว้ในลำดับพงศ์ของพระเยซูคริสต์ เป็นย่าทวดของกษัตริย์ดาวิด ซึ่งก่อนหน้านั้นเธอมีอาชีพเป็นที่น่ารังเกียรติของสังคม แต่ด้วยความศรัทธาและยำเกรงในพระเจ้าของอิสราเอล พระเจ้าได้ให้เกียรติเธอตามที่เธอได้ให้เกียรติ เชื่อและศรัทธาในพระองค์ หญิงผู้นี้คือนางราหับ หญิงที่เคยเป็นหญิงโสเภณีในเมืองเยรีโค

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ฝ่ายกษัตริย์เมืองเยรีโคจึงใช้คนไปสั่งราหับว่า "จงส่งคนเหล่านั้นซึ่งมาหาเจ้าในบ้านของเจ้าออกมาให้เรา เพราะเขามาเพื่อจะสอดแนมดูทั่วแผ่นดินของเรา"
แต่หญิงนั้นได้ซ่อนชายทั้งสองเสียแล้วจึงกล่าวว่า "มีผู้ชายมาหาข้าพเจ้าจริง แต่เขามาจากไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ
เมื่อจะปิดประตูเมืองในเวลาพลบค่ำ คนเหล่านั้นก็ออกไปแล้ว เขาไปทางไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ จงรีบตามเขาไปเถิด คงทันเขา"
แต่หญิงนั้นได้พาคนทั้งสองขึ้นบนหลังคา แล้วซ่อนตัวเขาไว้ใต้ต้นป่านซึ่งวางลำดับตากไว้ที่ดาดฟ้าบนหลังคานั้น
เขาทั้งหลายก็ไล่ตามคนทั้งสองไปทางแม่น้ำจอร์แดนจนถึงท่าข้าม พอคนที่ไล่ตามนั้นออกไปแล้วเขาก็ปิดประตูเมือง
เมื่อชายทั้งสองคนยังไม่นอนหญิงนั้นก็ขึ้นไปหาเขาบนหลังคา
กล่าวแก่ชายนั้นว่า "ดิฉันทราบแล้วว่า พระเจ้าประทานแผ่นดินนี้แก่พวกท่าน ความคร้ามกลัวต่อท่านได้ตกอยู่บนเราทั้งหลาย และบรรดาชาวแผ่นดินก็ครั่นคร้ามต่อท่าน
เพราะเราทั้งหลาย ได้ยินเรื่องที่พระเจ้าทรงกระทำให้ทะเลแดงแห้งไปต่อหน้าท่านเมื่อท่านออกจากอียิปต์ และเรื่องการที่ท่านได้กระทำแก่กษัตริย์ทั้งสองของคนอาโมไรต์ ซึ่งอยู่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน คือกษัตริย์สิโหนและโอก ผู้ซึ่งท่านทั้งหลายได้ทำลายเสียสิ้น
เพราะเรื่องท่านนี้แหละ พอเราได้ยินข่าวนี้ เราก็กลัวลานทีเดียว ไม่มีความกล้าหาญเหลืออยู่ในสักคนหนึ่งเลย เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้าของสวรรค์เบื้องบนและโลกเบื้องล่าง
บัดนี้ขอท่านสาบานให้ดิฉันในพระนามพระเจ้าว่า เมื่อดิฉันได้สำแดงความเมตตาต่อท่านแล้ว ท่านจะแสดงความเมตตาต่อครอบครัวของดิฉัน และให้มีหมายสำคัญอันแน่นอนต่อกัน
และขอไว้ชีวิตบิดามารดา พี่น้องชายหญิง และทุกคนที่เป็นของวงศ์ญาตินี้"  (โยชูวา 2:3-13)

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

นางราหับหญิงโสเภณีที่ไม่มีค่าและไม่มีความสำคัญอะไรเลย ก็กลับกลายเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ได้ ทั้งนี้เพราะเธอเชื่อและศรัทธาในพระเจ้าองค์เที่ยงแท้  และยอมมอบตนเองเป็นอุปกรณ์ในการทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จ
  
นางราหับได้ยินถึงพระราชกิจและการอัศจรรย์ของพระเจ้าที่ได้ทรงนำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ นางคงได้ยินที่พระเจ้าทรงแหวกทะเลแดงให้ชนอิสราเอลข้ามไปบนดินแห้ง สิ่งเหล่านี้ทำให้นางยำเกรงพระเจ้า และนางได้พูดเป็นพยานถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า นางประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของสวรรค์เบื้องบนและของโลกด้วย และบอกว่านางทราบว่าพระเจ้าจะประทานดินแดนนี้ให้แก่อิสราเอล และนางก็เชื่อเช่นนั้น

นางต้องเดิมพันด้วยชีวิต หากกษัตริย์รู้ว่านางซ่อนตัวผู้สอดแนมไว้ นางต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน ความเชื่อที่นางมีต่อพระเจ้าซึ่งเกิดจากการได้ยิน นางมีความมั่นใจว่าอิสราเอลจะเป็นฝ่ายชนะและยึดครองดินแดนได้แน่นอน สิ่งที่นางพูดกับผู้สอดแนมนั้นแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจ ดิฉันทราบแล้วว่า พระเจ้าประทานแผ่นดินนี้ให้แก่พวกท่าน และนางก็ได้รับตอบแทนด้วยชีวิตของนางรวมทั้งครอบครัวของนางด้วยที่จะไม่ถูกทำลายเมื่ออิสราเอลเข้ายึดเมืองเยรีโค

การกระทำของนางราหับเป็นการแสดงออกถึงความเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงและเป็นความเชื่อที่เห็นได้อย่างเด่นชัด เราคงเคยผ่านสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจเลือกทำได้เพียงอย่างเดียว เราต้องประเมินว่าทางเลือกใดเป็นความดีสูงสุดในบรรดาทางเลือกที่มีทั้งหมด (บางครั้งอาจจะต้องเลือกทำสิ่งที่ผิดบาปน้อยที่สุด)  ในกรณีนี้ การโกหกของนางราหับเป็นการรักษาชีวิตผู้สอดแนมซึ่งเป็นคนของพระเจ้า และการกระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

อย่างไรก็ตาม พระคัมภีร์มิได้ยกย่องนางราหับในเรื่องการโกหกเพื่อช่วยชีวิตคนของพระเจ้า แต่ยกย่องเพราะนางมีความเชื่อ นางรับด้วยปากว่าเชื่อในพระเจ้าของอิสราเอล (ยชว 2:10-13) และนางก็รอดเพราะความเชื่อ (ฮีบรู 11:31) และความเชื่อของนางได้สำแดงออกมาเป็นการกระทำ โดยซ่อนตัวพวกเขาไว้ รับรองพวกเขาและส่งพวกเขากลับ (ยากอบ 2:25)

นางราหับเป็นตัวอย่างของคนหนึ่งที่ชี้ให้เราเห็นว่า พระเจ้าทรงสามารถใช้คนทุกคนเพื่อให้พระประสงค์ของพระองค์นั้นสำเร็จโดยไม่เลือก อาชีพ เพศ อายุ ความสามารถหรือฐานะ แต่พระองค์ทรงดูที่ความเชื่อของผู้นั้น ความเชื่อของคริสเตียนไม่ใช่ความเชื่อที่ไม่คำนึงถึงเหตุผล แต่เป็นความเชื่อที่ยืนหยัดทำสิ่งที่ไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร แม้ต้องเสี่ยงด้วยชีวิต

----------------------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อเราได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้าในการทรงสร้างเราแล้ว เรามีความตั้งใจอย่างไรในการดำเนินชีวิตในโลกนี้ เพื่อแสดงการขอบพระคุณพระเจ้า ชื่นชมยินดีในสิ่งที่พระองค์ทรงประทาน และให้ชีวิตของเราเป็นชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ อย่ามัวน้อยใจในสถานะของตัวเอง พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่ดีในชีวิตของเรา และพระเจ้าสามารถใช้เราได้ในสภาพที่เราเป็นอยู่อย่างแน่นอน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

อดทนเพื่อพระคริสต์

ชื่นชมยินดีในการรับใช้ แม้ต้องอับอายและยากลำบาก (กิจการ 5:12-42)

ในสมัยคริสตจักรยุคแรก มีทาสสาวผู้เชื่อคนหนึ่งเธอถูกทารุณกรรมอย่างหนัก เพียงเพื่อให้เธอประกาศว่า ซีซาร์คือพระเจ้าเท่านั้น ทาสสาวคนนี้ได้แต่บอกตัวเองว่า เราไม่ได้ทำอะไรผิด    พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นทรงเป็นพระเจ้า และเธอก็ถูกทรมานจนตาย  มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมากมายกับผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ จักรพรรดิ์เนโรเป็นผู้หนึ่งที่ได้ข่มเหงผู้เชื่ออย่างหนักในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นการจำจอง การเฆี่ยนตี โยนลงในกรงสัตว์ที่ดุร้าย หรือให้ต่อสู้กับสิงโต
เหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เราอาจจะรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม เหมือนทาสสาวคนนั้นที่ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย และบ่อยครั้งที่เพราะเราเป็นคริสเตียน เราจึงต้องยอมรับสภาพเช่นนั้นด้วย ในพระธรรมกิจการเป็นเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดในยุคคริสตจักรเริ่มต้น มีหลายเหตุการณ์ที่เป็นแบบอย่างที่เราจะเรียนรู้ในการอดทนเมื่อเรารับใช้พระเจ้า
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ฝ่ายเปโตรกับอัครทูตอื่นๆตอบว่า "ข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์
พระเยซูซึ่งท่านทั้งหลายได้ฆ่าเสียโดยแขวนไว้ที่ต้นไม้นั้น พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราได้ทรงบันดาลให้เป็นขึ้นมาใหม่
พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ ให้เป็นองค์พระผู้นำและองค์พระผู้ช่วยให้รอด เพื่อจะให้ชนอิสราเอลกลับใจใหม่ แล้วจะทรงโปรดยกความบาปผิดของเขา
เราทั้งหลายจึงเป็นพยานถึงเรื่องเหล่านี้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานให้ทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์นั้น ก็เป็นพยานด้วย"
เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินอย่างนี้โทโสก็พลุ่งขึ้น คิดกันว่าจะฆ่าพวกอัครทูตเสีย (กิจการ 5:29-33)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เหล่าอัครทูตได้กระทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ  รักษาคนเจ็บป่วยและคนพิการมากมาย รวมทั้งสิ่งที่พวกเขาประกาศแก่ประชาชนนั้นขัดแย้งกับความเชื่อในศาสนายิว พวกสะดูสีนั้นไม่เชื่อเรื่องการฟื้นขึ้นจากความตาย แต่เหล่าอัครทูตได้ประกาศว่าพระเยซูคริสต์ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย และพระเยซูทรงเป็นพระมาซีฮาพระผู้ช่วยให้รอด เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และประชาชนได้เข้ามาเชื่อเป็นจำนวนมาก  ทำให้พวกที่เคร่งศาสนากลัวว่าผู้คนจะหันไปเชื่อพระเยซูกันหมด
ตอนแรกเขาจับอัครทูตไปขังคุกด้วยหวังว่าการทำเช่นนี้จะทำให้อัครทูตกลัวและหยุดประกาศไปเอง แต่พระเจ้าได้ทรงช่วยพวกเขาออกมาโดยอัศจรรย์ และเหล่าอัครทูตยืนยันหนักแน่นว่า พวกข้าพเจ้าต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์ซึ่งเป็นเหมือนการเอาน้ำมันสาดเข้าไปในกองไฟ ทั้งอัครทูตยังได้ประกาศกับพวกผู้นำศาสนาถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นการแสดงถึงความไม่หวั่นเกรงต่อผู้นำศาสนา เพราะเขาเชื่อในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ว่าเป็นฤทธิ์อำนาจช่วยให้คนรอดบาปได้ เมื่อใดก็ตามที่คนมั่นใจในสิ่งที่ตนเชื่อ เขาก็จะยอมตายเพื่อสิ่งนั้น
ผู้นำศาสนาเหล่านั้นเชื่อในเหตุผลของกามาลิเอลว่า ถ้าสิ่งที่พวกอัครทูตทำไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้า เขาก็จะเลิกล้มไปเอง แต่ถ้าสิ่งนี้มาจากพระเจ้าจริงและพวกเขาไปขัดขวาง ภัยก็จะมาถึงพวกเขาได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงสั่งเฆี่ยนพวกอัครทูตแล้วก็ปล่อยตัวไป  พวกอัครทูตรู้สึกชื่นชมยินดีที่ได้ประกาศพระนามของพระเยซูคริสต์ แม้ว่าจะเจ็บตัวและอับอาย

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เราต้องยอมเสียสละสิ่งใดบ้างเมื่อเรายึดมั่นในการรับใช้ เช่น เวลา ทรัพย์สินเงินทอง ประโยชน์ส่วนตัว ความเป็นส่วนตัว ชื่อเสียง หรืออื่นๆ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ในการดำเนินชีวิตประจำวันในท่ามกลางสังคมของผู้ไม่เชื่อพระเจ้า บางครั้งเราอาจต้องสูญเสียการยอมรับ สูญเสียโอกาสที่จะได้งานดีๆ สูญเสียเพื่อนฝูงที่จะค่อยๆปลีกตัวห่างจากไปหรือแม้แต่สูญเสียคนรักไป พี่น้องที่เคยรักใคร่สนิทสนมก็ไม่เหมือนเดิม เพราะการยืนหยัดอยู่ฝ่ายพระเจ้า แต่สิ่งที่พระเจ้าจะทดแทนให้เรานั้นมากมายกว่าสิ่งเหล่านี้มากนัก 

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์  (ฟิลิปปี 3:8)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
และในทางตรงข้ามก็อย่าให้ชีวิตของเรานั้นเป็นเหมือนผู้นำศาสนาเหล่านี้ที่ขัดขวางความตั้งใจดีในการรับใช้พระเจ้าของผู้อื่น เพียงเพราะวิธีการที่เขาทำไม่ถูกใจหรือไม่เป็นไปตามความคิดของเรา


รอคอยพระเจ้า

รอคอยพระเจ้าอย่างมั่นใจ เข้มแข็งและกล้าหาญ

ที่สถานีรถไฟใต้ดินแห่งหนึ่ง ได้มีเสียงประกาศภาวะฉุกเฉินเนื่องจากเหตุไฟไหม้ที่ห้องควบคุม มิโยโกะเหลือบไปเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งนั่งนิ่งอยู่ เธอคิดว่าเด็กนั้นคงช็อกกับสิ่งที่เกิดขึ้นและทำอะไรไม่ถูก มิโยโกะจึงรีบเข้าไปเพื่อจะช่วยนำเด็กหญิงนั้นออกจากสถานี   แต่เมื่อเธอจับข้อมือของเด็กคนนั้น เธอกลับพูดกับมิโยโกะว่า ไม่เป็นไรค่ะ  หนูอยู่ได้ค่ะ หนูกำลังรอคุณพ่ออยู่ คุณพ่อของหนูกำลังทำงานอยู่ตรงนั้นค่ะ เด็กหญิงชี้ไปทางพนักงานเจ้าหน้าที่ของสถานีซึ่งกำลังบอกทางและดูแลความเรียบร้อยให้กับผู้ใช้บริการให้ได้ออกไปโดยปลอดภัย
เด็กหญิงเฝ้ารอคุณพ่อของเธออย่างสงบท่ามกลางความวุ่นวายรอบข้าง เพราะเธอมั่นใจว่าเดี๋ยวคุณพ่อจะมาพาเธออกไปอย่างปลอดภัย เธอไม่จำเป็นต้องวิ่งวุ่นเหมือนคนอื่นๆ ไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจกับเหตุการณ์หรือร้องไห้งอแง เพียงแต่นั่งรอคุณพ่ออย่างสงบเท่านั้นเอง

หลายคนไม่ชอบการรอคอย แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังต้องรอ เหมือนเด็กหญิงที่รอคอยพ่อของเธอด้วยความวางใจ การรอคอยเป็นการฝึกความอดทน เราแต่ละคนก็อาจจะมีบางสิ่งหรือสถานการณ์บางอย่างที่เราไม่อยากรอ เพราะกลัวที่จะเผชิญหน้า กลัวผิดหวังในผลที่ได้รับ กลัวตาย กลัวเสียใจ กลัวล้มเหลว 
กษัตริย์ดาวิดได้พูดถึงการรอคอยพระเจ้าไว้ว่าอย่างไร
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระเจ้าทรงเป็นความสว่างและความรอดของข้าพเจ้าข้าพเจ้าจะกลัวผู้ใดเล่า พระเจ้าทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งแห่งชีวิตข้าพเจ้าข้าพเจ้าจะต้องเกรงใคร
เมื่อคนทำชั่วเข้ามาหาข้าพเจ้า เพื่อจะกินเนื้อข้าพเจ้า คือปฏิปักษ์และคู่อริของข้าพเจ้า เขาจะสะดุดและล้มลง
แม้กองทัพตั้งค่ายสู้ข้าพเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าจะไม่กลัว แม้ข้าพเจ้าจะได้รับภัยสงคราม ข้าพเจ้ายังไว้ใจได้อยู่
ข้าพเจ้าทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าจะเสาะแสวงหาเสมอ คือที่ข้าพเจ้าจะได้อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ตลอดวันเวลาชั่วชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อจะดูความงามของพระเจ้า และเพื่อจะพินิจพิจารณาอยู่ในพระวิหารของพระองค์
เพราะพระองค์จะทรงซ่อนข้าพเจ้าในที่กำบังของพระองค์ ในยามยากลำบาก พระองค์จะปิดข้าพเจ้าไว้ภายใต้ร่มพลับพลาของพระองค์พระองค์จะทรงตั้งข้าพเจ้าไว้สูงบนศิลา
และบัดนี้ศีรษะของข้าพเจ้าจะเชิดขึ้น เหนือศัตรูของข้าพเจ้าที่อยู่รอบข้าง และข้าพเจ้าจะถวายเครื่องสัตวบูชาในพลับพลาของพระองค์ด้วยการโห่ร้อง ข้าพเจ้าจะร้องเพลงและถวายสดุดีแด่พระเจ้า
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงฟัง เมื่อข้าพระองค์ร้องทูลขอทรงกรุณาและตรัสตอบข้าพระองค์
พระองค์ตรัสแล้วว่า "จงหาหน้าของเรา" จิตใจของข้าพระองค์ทูลพระองค์ว่า "ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์แสวงพระพักตร์ของพระองค์"
ขออย่าทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากข้าพระองค์อย่าผลักไสผู้รับใช้ของพระองค์ออกไปเสียด้วยความกริ้ว พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ของข้าพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ ขออย่าทรงทิ้งข้าพระองค์หรือสละข้าพระองค์เสีย
แม้บิดาและมารดาของข้าพระองค์ทอดทิ้งข้าพระองค์แต่พระเจ้าจะทรงยกข้าพระองค์ขึ้น
ข้าแต่พระเจ้า ขอสอนมรรคาของพระองค์แก่ข้าพระองค์และทรงนำข้าพระองค์ไปบนวิถีราบ เหตุด้วยศัตรูของข้าพระองค์
ขออย่าทรงมอบข้าพระองค์ไว้กับปฏิปักษ์ให้เขาทำตามใจชอบ เพราะพยานเท็จได้ลุกขึ้นสู้ข้าพระองค์ และเขาหายใจออกมาเป็นความทารุณ
ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า ข้าพเจ้าจะเห็นพระคุณของพระเจ้า ที่ในแผ่นดินของคนเป็น
จงรอคอยพระเจ้า จงเข้มแข็ง และให้จิตใจของท่านกล้าหาญเถิด เออ จงรอคอยพระเจ้า          (สดุดี 27)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดาวิดบอกว่าพระเจ้าทรงเป็นความสว่างและความรอด และทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็ง พระองค์จะทรงช่วยเขาให้พ้นจากอันตราย
เพราะดาวิดยึดมั่นในพระสัญญาของพระเจ้าว่าจะทรงสถิตอยู่ด้วยไม่ว่าจะไปที่ไหน พระเจ้าจะทรงกำจัดศัตรูไปให้พ้นหน้า ปฏิปักษ์หรือคู่อริของเขาก็จะล้มลง แม้ได้รับภัยสงครามเขาก็ยังวางใจในพระเจ้า และพระองค์จะทรงอวยพรทั้งตัวเขาและเชื้อสายของเขาด้วย
พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง  ที่กำบัง  ร่มพลับพลา  ศิลา  สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงพระลักษณะที่เข้มแข็งในการปกป้องคุ้มภัยเขาจากศัตรู  เขายังปรารถนาที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า เขาไม่ได้ต้องการเพียงการปกป้องจากพระเจ้าเท่านั้น  แต่ยังอยากมีสัมพันธภาพกับพระองค์ด้วย
ดาวิดรอคอยความช่วยเหลือจากพระเจ้า และระหว่างรอคอยเขาก็มีท่าทีที่เข้มแข็งและกล้าหาญ หลายคนรอคอยความช่วยเหลือจากพระเจ้าด้วยจิตใจที่หวาดหวั่น หลบซ่อน ไม่มั่นใจ แต่ไม่ใช่ดาวิด เพราะเขารอคอยพระเจ้าด้วยความเข้มแข็งและกล้าหาญ เพราะมั่นใจว่าพระเจ้าทรงช่วยเหลือเขาแน่นอน
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มีปัญหาอะไรบ้างในชีวิตของเราที่เรากลัวที่จะเผชิญกับมัน และเราวางแผนการรับมือกับมันอย่างไร
ถ้าเราเผชิญปัญหาเช่นเดียวกับดาวิด เราสามารถทำเหมือนเขาได้หรือไม่  ถ้าไม่ เราจะทำอย่าไร ??
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อต้องเผชิญปัญหารอบด้าน สิ่งแรกที่เราจะต้องทำคือ อธิษฐานขอความอดทนและความเข้มแข็งจากพระเจ้า แม้ว่าสิ่งนั้นจะเลวร้ายเพียงใด เราต้องมั่นคงและวางใจในพระเจ้า บางครั้งเราอาจจะต้องรอคอย เพราะทุกอย่างอยู่ในเวลาของพระเจ้าไม่ใช่ตามความรู้สึกของเรา  บางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่าช้าและไม่ทันการ แต่แท้ที่จริงแล้วพระเจ้าไม่เคยสาย พระองค์จะทรงช่วยให้ผู้ที่รักพระองค์เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง  ในเฉลยธรรมบัญญัติ 31.8   กล่าวว่า  ผู้ที่ไปข้างหน้าคือพระเจ้า พระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่านเสีย อย่ากลัวและอย่าขยาดเลย

เราอาจต้องรอคอยพระเจ้าเหมือนเด็กหญิงคนนั้นที่นั่งรอพ่อของเขาด้วยความไว้วางใจและเชื่อมั่น และพระองค์มาทันเวลาเสมอ

สิทธิอำนาจของคริสตจักร

พระเจ้าตั้งคริสตจักรเพื่อให้นำคนมาสู่แผ่นดินของพระองค์

แม้แต่พนักงานบริษัทเรายังต้องเลือกคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับงานที่จะทำ มากกว่านั้นสำหรับการเลือกคนที่จะทำงานสำคัญ เราก็ต้องยิ่งเลือกคนที่เหมาะสม มีคุณสมบัติที่ดีจริงๆ ไม่ใช่เลือกเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัว เลือกเพราะเกรงใจ เลือกให้พอผ่านๆไป

อะไรเป็นคุณสมบัติที่พระเจ้าทรงเลือกคนให้ทำงานของพระองค์

เมื่อเราต้องการใครสักคนทำงานสำคัญ เราจะเจาะจงคุณสมบัติบางอย่างที่จำเป็นสำหรับบุคคลนั้นไว้ในใจอยู่แล้ว แล้วพระเจ้าหละ เคยสงสัยไหมว่าเหตุใดพระเจ้าจึงเลือกลงทุนกับตัวเรา พระเจ้าคาดหวังในตัวเราอย่างไร  ??

อัครสาวกของพระเยซูแต่ละคนล้วนมีความแตกต่างกันไม่มากก็น้อย แต่เพราะคุณสมบัติอะไรที่พระเยซูตัดสินใจเลือกพวกเขาให้ติดตามพระองค์ ร่วมในพันธกิจของพระองค์ และเป็นผู้นำข่าวประเสริฐของพระองค์ไปสู่คนอีกมากมายจนสุดปลายแผ่นดินโลก ทำไมพระองค์กล้าที่จะฝากความหวังไว้กับเขาเหล่านั้นหลังจากที่พระองค์ทรงเสด็จกลับสู่สวรรค์

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
'ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเขตเมืองซีซารียา ฟีลิปปี จึงตรัสถามพวกสาวกของพระองค์ว่า "คนทั้งหลายพูดกันว่าบุตรมนุษย์เป็นผู้ใด"
เขาจึงทูลตอบว่า "เขาว่าเป็นยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา แต่บางคนว่าเป็นเอลียาห์ และคนอื่นว่าเป็นเยเรมีย์ หรือเป็นคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะ"
พระองค์ตรัสถามเขาว่า "แล้วพวกท่านเล่า ว่าเราเป็นใคร"
ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า "พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่"
พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย ท่านก็เป็นสุขเพราะว่ามนุษย์มิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ
ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร {ภาษากรีกว่า เปโตร} และบนศิลา {ภาษากรีกว่า เปตรา} นี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้
เราจะมอบลูกกุญแจแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน ท่านจะกล่าวห้ามสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ เมื่อท่านจะกล่าวอนุญาตสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะกล่าวอนุญาตในสวรรค์ด้วย" '           (มัทธิว 16:13-19)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

บางคนคิดว่าพระองค์ทรงเป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา บางคนว่าเป็นเอลียาห์ บางคนว่าเป็นเยเรมีย์ บางคนว่าคงเป็นผู้เผยพระวจนะคนใดคนหนึ่ง แต่เปโตรยอมรับว่าพระเยซูที่เขาติดตามคือพระคริสต์ที่ชาวยิวรอคอยมานานแสนนาน ชาวยิวเชื่อว่าพระคริสต์จะเสด็จมาปลดปล่อยพวกเขาจากการเป็นทาสและเป็นอิสระไม่ถูกกดขี่ข่มเหง มาอย่างกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่จะมาปราบพวกที่ข่มเหงพวกเขา แต่ความจริงแล้วพระคริสต์ที่พระคัมภีร์ได้พยากรณ์ไว้คือ ผู้ที่จะมาปลดปล่อยมนุษย์ให้พ้นจากความบาปและจากการเป็นทาสของซาตาน

พระเยซูตรัสว่า ที่เปโตรรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ก็เพราะพระเจ้าทรงสำแดงแก่เขา ไม่ใช่จากหนังสือหรือคำบอกเล่าหรือคำสอนของเหล่าอาจารย์สอนศาสนา แต่เป็นพระเจ้าเองที่ทรงเปิดเผยให้เขารู้ พระองค์ทรงพอพระทัยและชมเชยที่เขารู้และเข้าใจในฐานะของพระองค์มากขึ้น ทรงเปลี่ยนชื่อของเขาใหม่ จากซีโมนเป็นเปโตร ซึ่งแปลว่าศิลา เป็นหินฐานรากที่มีความสำคัญอันหมายถึงพระองค์เอง

---------------------------------------------------------------------------------------------------
"ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทอดทิ้งเสีย ได้เป็นศิลามุมเอกแล้ว"  (สดุดี 118:22)
---------------------------------------------------------------------------------------------------

คริสตจักรถูกสร้างขึ้นบนศิลา ซึ่งศิลาหมายถึงพระองค์เอง  ประตูแห่งแดนมรณาหรืออำนาจของมารซาตานจะไม่สามารถเอาชนะคริสตจักรได้  และเหล่าสาวกจะเป็นผู้สานต่องานของพระองค์ งานของพวกเขาคือประกาศและสั่งสอนสิ่งที่ได้เรียนรู้จากพระองค์ขณะที่ทรงใช้ชีวิตกับพวกเขาในโลกนี้ พวกเขาจะสร้างคนให้เป็นสาวก ก่อตั้งและขยายคริสตจักรออกไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก

กุญแจเป็นสัญลักษณ์ของสิทธิอำนาจ พระเยซูทรงมอบสิทธินี้ให้แก่เปโตร สาวกและผู้เชื่อทุกคน ให้มีสิทธิอำนาจในการสั่งสอนและประกาศ นำคนให้รู้จักพระเยซูคริสต์และรับเอาความรอด เปโตรได้สนองตอบด้วยการรับใช้ ทำการอัศจรรย์ อธิษฐานรักษาโรค ประกาศและสั่งสอนคนให้กลับใจใหม่และสร้างเขาให้เป็นสาวกแท้ ทำให้คนมากมายเข้ามาเชื่อในพระเยซู

เมื่อเราได้รู้จักกับพระเยซู เราคือผลของการการใช้สิทธิอำนาจของคริสเตียนที่นำเรามา ดังนั้นเราจึงควรจะทุ่มเทชีวิตของเราเพื่อสนองตอบต่อพระประสงค์ของพระองค์เช่นกัน เพื่อข่าวประเสริฐของพระองค์จะได้ขยายออกไปจนสุดปลายแผ่นดินโลกตามพระบัญชาที่ทรงสั่งไว้ใน มัทธิว 28.19-20

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คริสตจักรของเราได้ตระหนักถึงกุญแจแห่งสิทธิอำนาจอย่างไร มากน้อยเพียงใด
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 

เชื่อฟังและทำตาม

การเชื่อฟังและทำตามพระบัญชาเป็นสิ่งชี้ถึงความเป็นคริสเตียนแท้

ในชีวิตประจำวันของเรา เราพบสัญลักษณ์ต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์บอกทิศทาง สัญญาณจราจร หรือแม้แต่กิริยาบางอย่างเช่น การพยักหน้า สิ่งต่างๆเหล่านี้มีไว้เพื่อบ่งบอกหรือสื่อความหมายบางอย่างให้ผู้อื่นได้รับรู้ ฉะนั้นเมื่อเราเห็นสัญลักษณ์บางอย่างเราจะรู้ทันทีว่าหมายถึงอะไร

สำหรับคริสเตียนนั้น  คนทั่วไปอาจจะคิดถึงสัญลักษณ์ไม้กางเขน พระคัมภีร์ โบสถ์ แต่แท้ที่จริงแล้ว ชีวิตคริสเตียนของเราต้องเป็นสัญลักษณ์หรือภาพสะท้อนถึงพระลักษณะของพระเจ้าออกมาให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า ให้เราคิดถึงชีวิตคริสเตียนของเราว่า สัญลักษณ์แห่งความสนิทสนมหรือรู้จักคุ้นเคยกับพระเจ้านั้นมีอยู่ในตัวเราหรือไม่   

---------------------------------------------------------------------------------------------------
"เราจะมั่นใจได้ว่าเราคุ้นกับพระองค์โดยข้อนี้ คือถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์
คนใดที่กล่าวว่า "ข้าพเจ้าคุ้นกับพระองค์" แต่มิได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นเป็นคนพูดมุสาและความจริงไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย
แต่ผู้ใดที่ประพฤติตามพระวจนะของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็ถึงความบริบูรณ์ในคนนั้นแล้วอย่างแน่แท้ ด้วยอาการอย่างนี้แหละเราทั้งหลายจึงรู้ว่าเราอยู่ในพระองค์
ผู้ใดกล่าวว่าตนอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นก็ควรดำเนินตามทางที่พระองค์ทรงดำเนินนั้น"
(1 ยอห์น 2:3-6)
---------------------------------------------------------------------------------------------------

ยอห์นใช้คำว่า รู้จักพระองค์ อยู่ในพระองค์เพื่อแสดงถึงความรู้แบบมีประสบการณ์กับพระองค์ ได้สัมผัสกับพระองค์ด้วยตนเอง ไม่ใช่เป็นเพียงความรู้ทางสติปัญญาหรือจากคำบอกเล่าของผู้อื่น เหมือนทหารผ่านศึกที่รู้จักสงครามมากกว่าผู้ที่รอฟังข่าวเรื่องสงครามที่บ้าน

ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนบางคนอาจมาคริสตจักรเป็นประจำ เข้าร่วมกิจกรรมสม่ำเสมอ ถวายทรัพย์ไม่เคยขาดหรือบางคนมาจากครอบครัวคริสเตียน สิ่งเหล่านี้ไม่ได้บ่งชี้ชัดว่าเขารู้จักพระเยซู แต่การเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ การทำตามพระบัญชาของพระองค์ เป็นสิ่งที่สามารถนำมาเป็นตัวชี้ได้ว่าเขารู้จักกับพระองค์ เพราะไม่มีคริสเตียนแท้คนใดที่รู้จักกับพระเยซูและมีประสบการณ์กับพระองค์ แต่ไม่เชื่อฟังและไม่ทำตาม ในที่นี้ยอห์นได้ตำหนิว่า คริสเตียนที่บอกว่าตนเองอยู่ในพระเยซูคริสต์   แต่ไม่ประพฤติตามคำสั่งของพระองค์เป็นผู้โกหกและความจริงไม่ได้อยู่ในเขาเลย

การดำเนินชีวิตตามอย่างพระองค์   ทำ   คิด   รู้สึกแบบเดียวกับพระองค์  เราต้องถามตนเองว่า ถ้าพระเยซูคริสต์มาอยู่ในสภาพการณ์เดียวกับเรา พระองค์จะปฏิบัติตนอย่างไร การทำตามพระองค์ไม่ใช่การวางตัวตามบทบาทและหน้าที่ความเป็นพระเจ้าของพระองค์ แต่หมายถึงการทำตามคำสั่งสอนและสิ่งที่พระองค์ได้ทำเป็นแบบอย่างไว้  รวมถึงทัศนคติและน้ำพระทัยของพระองค์ที่แสดงให้เห็นจากการเชื่อฟังพระบิดาอย่างสมบูรณ์แบบ และความรักที่ทรงมีต่อมนุษย์

เมื่อผู้ใดได้รู้จักและมีประสบการณ์กับพระเยซู เขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระองค์ มีสามัคคีธรรมกับพระองค์ ชีวิตของเขาจะสะท้อนถึงพระลักษณะของพระองค์ ท่าทีและการกระทำจะเหมือนพระองค์       เป็นธรรมชาติที่เมื่อเรารักผู้ใดเราก็ย่อมทำตามใจผู้นั้น และเมื่อเรารักพระองค์เราย่อมยินดีที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์เช่นกัน

----------------------------------------------------------------------------------------------------
ถ้าการเชื่อฟังและการดำเนินชีวิตประจำวันเป็นตัวทดสอบการ รู้จัก พระเยซูคริสต์ เราต้องถามตัวเองว่าเราสอบผ่านหรือยัง ???
----------------------------------------------------------------------------------------------------
การอ่านพระคัมภีร์เป็นหนทางที่จะทำให้เรารู้เรื่องราวของพระเยซูคริสต์และ พระราชกิจของพระองค์ รวมถึงสิ่งที่พระองค์คิด ปรารถนา การมาโบสถ์เป็นการมาร่วมสามัคคีธรรม เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระกายของพระองค์ หนุนจิตชูใจซึ่งกันและกัน รับการเสริมกำลังเพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์  ให้ชีวิตของเราทั้งหลายนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่จะให้คนทั้งปวงรู้ได้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์อยู่

เครื่องมือของพระเจ้า

บางครั้งเราก็มองเห็นจุดเด่นในตัวของเพื่อนแตกต่างกันไป แต่ละคนมีจุดเด่นและมีสิ่งที่ดีต่างๆกันเพื่อเสริมสร้างซึ่งกันและกันในพระกายของพระคริสต์ พระเจ้าจะทรงใช้เราในกิจการของพระองค์เมื่อเรายอมให้ชีวิตของเราเป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่พระเจ้าใช้ได้
บ่อยครั้งเมื่อเราต้องการใช้เครื่องมือในบ้านของเราแล้วมักจะหาไม่เจอ ทำให้เสียเวลาและเสียอารมณ์ เพราะไม่รู้จะโทษใคร เนื่องจากเราเก็บของไม่เป็นที่เป็นทาง เราต้องตัดสินใจที่จะแยกเก็บของใช้แต่ละประเภทเพื่อสะดวกในการใช้ พระเจ้าเองก็ทรงแยกแซมสันออกมาโดยเฉพาะ เพื่อพระองค์จะทรงใช้เขาช่วยกู้อิสราเอลตามพระประสงค์ของพระองค์เช่นกัน
---------------------------------------------------------------------------------------------------
ผู้วินิจฉัย บทที่ 13
คนอิสราเอลก็กระทำชั่วในสายพระเนตรพระเจ้าอีก พระเจ้าทรงมอบเขาไว้ในมือของคนฟีลิสเตียสี่สิบปี
มีชายคนหนึ่งเป็นชาวโศราห์คนเผ่าดาน ชื่อมาโนอาห์ ภรรยาของท่านเป็นหมันไม่มีบุตรเลย
ทูตของพระเจ้ามาปรากฏแก่นางนั้น กล่าวแก่นางว่า "ดูเถิด เจ้าเป็นหมันไม่มีบุตร แต่เจ้าจะตั้งครรภ์คลอดบุตรเป็นชาย
เพราะฉะนั้นจงระวัง อย่าดื่มเหล้าองุ่น หรือเมรัย และอย่ารับประทานของมลทิน
เพราะนี่แน่ะ เจ้าจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรเป็นชาย อย่าให้มีดโกนถูกศีรษะของเขา เพราะเด็กคนนี้จะเป็นพวกนาศีร์แด่พระเจ้าตั้งแต่เกิดมา เขาจะเป็นคนเริ่มช่วยกู้คนอิสราเอล ให้พ้นจากเงื้อมมือของคนฟีลิสเตีย"
ฝ่ายหญิงนั้นจึงไปบอกสามีว่า "มีบุรุษของพระเจ้ามาหาดิฉัน หน้าตาของท่านเหมือนหน้าตาทูตของพระเจ้าน่ากลัวนัก ดิฉันไม่ได้ถามท่านว่ามาจากไหน และท่านก็ไม่บอกชื่อของท่านแก่ดิฉัน
แต่ท่านบอกดิฉันว่า "ดูเถิด เจ้าจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย ฉะนั้นอย่าดื่มเหล้าองุ่นหรือเมรัยอย่ารับประทานของมลทิน เพราะเด็กนั้นจะเป็นพวกนาศีร์แด่พระเจ้าตั้งแต่เกิดมาจนวันตาย"
แล้วมาโนอาห์ก็วิงวอนพระเจ้าทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอบุรุษของพระเจ้าผู้ซึ่งพระองค์ทรงใช้มานั้นปรากฏแก่ข้าพระองค์ทั้งสองอีกครั้งหนึ่ง สั่งสอนข้าพระองค์ว่า ข้าพระองค์ควรกระทำอย่างไรแก่เด็กที่จะเกิดมานั้น"
และพระเจ้าทรงฟังเสียงของมาโนอาห์ และทูตของพระเจ้ามาหาหญิงนั้นอีก เมื่อนางนั่งอยู่ในทุ่งนาแต่มาโนอาห์สามีของนางไม่ได้อยู่ด้วย
นางก็รีบวิ่งไปบอกสามีว่า "ดูเถิด บุรุษผู้ที่ปรากฏแก่ดิฉัน วันนั้นได้มาปรากฏแก่ดิฉันอีก"
มาโนอาห์ก็ลุกขึ้นตามภรรยาไป เมื่อมาถึงบุรุษผู้นั้นเขาจึงว่า "ท่านเป็นบุรุษผู้ที่พูดกับผู้หญิงคนนี้หรือ" ผู้นั้นตอบว่า "เราเป็นผู้นั้นแหละ"
มาโนอาห์จึงกล่าวว่า "เมื่อเกิดเป็นจริงตามถ้อยคำของท่านแล้ว ชีวิตของเด็กคนนั้นจะเป็นอย่างไร เขาจะกระทำอะไร"
และทูตของพระเจ้าบอกแก่มาโนอาห์ว่า "บรรดาสิ่งที่เราได้บอกแก่หญิงแล้วนั้นให้นางระวังให้ดี
อย่าให้รับประทานสิ่งใดที่ได้มาจากเถาองุ่น อย่าให้นางดื่มเหล้าองุ่นหรือเมรัยอย่ารับประทานของมลทิน สิ่งใดที่เราบัญชานางไว้ให้นางปฏิบัติตามทุกประการ"
มาโนอาห์กล่าวแก่ทูตของพระเจ้าว่า "ขอท่านรออยู่ก่อนข้าพเจ้าทั้งสองจะไปเตรียมลูกแพะตัวหนึ่งให้ท่าน"
ทูตของพระเจ้าบอกมาโนอาห์ว่า "ถึงเจ้าจะให้เรารอ เราจะไม่รับประทานอาหารของเจ้า แต่ถ้าเจ้าจะจัดเครื่องเผาบูชา เจ้าจงถวายแด่พระเจ้า" (เพราะว่ามาโนอาห์ไม่ทราบว่าท่านผู้นั้นเป็นทูตของพระเจ้า)
มาโนอาห์ถามทูตของพระเจ้าว่า "ท่านชื่ออะไร เพื่อเมื่อเป็นจริงตามถ้อยคำของท่านเราจะได้ให้เกียรติแก่ท่าน"
ทูตของพระเจ้าบอกมาโนอาห์ว่า "ถามชื่อเราทำไม ชื่อเราก็มหัศจรรย์อยู่"
มาโนอาห์ก็เอาลูกแพะกับธัญญบูชามาถวายบูชาบนศิลาแด่พระเจ้า ผู้ทรงกระทำการอัศจรรย์ มาโนอาห์และภรรยาก็มองดู
และอยู่มาเมื่อเปลวไฟจากแท่นบูชาพลุ่งขึ้นไปสวรรค์ ทูตของพระเจ้าก็ขึ้นไปตามเปลวไฟแห่งแท่นบูชา ขณะเมื่อมาโนอาห์และภรรยาคอยดูอยู่ และเขาทั้งสองก็ซบหน้าลงถึงดิน
ทูตของพระเจ้าไม่ปรากฏแก่มาโนอาห์หรือแก่ภรรยาของเขาอีกเลย แล้วมาโนอาห์จึงทราบว่าผู้นั้นเป็นทูตของพระเจ้า
และมาโนอาห์พูดกับภรรยาของตนว่า "เราคงจะตายเป็นแน่ เพราะเราได้เห็นพระเจ้า"
แต่ภรรยาบอกเขาว่า "ถ้าพระเจ้าทรงหมายจะฆ่าเราเสีย พระองค์คงจะไม่รับเครื่องเผาบูชาและธัญญบูชาจากมือของเรา หรือทรงสำแดงสิ่งเหล่านี้แก่เราหรือประกาศเรื่องเช่นนี้แก่เรา"
ผู้หญิงนั้นก็คลอดบุตรชายคนหนึ่งเรียกชื่อว่าแซมสัน เด็กนั้นก็เติบโตขึ้น และพระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่เขา
และพระวิญญาณของพระเจ้าก็ทรงเริ่มเร้าใจเขาที่มาหะเนห์ดานระหว่างโศราห์กับเอชทาโอล
---------------------------------------------------------------------------------------------------
เมื่ออิสราเอลหันกลับไปทำความชั่วอีก เขาจึงต้องตกเป็นเมืองขึ้นของคนฟิลิสเตียเป็นเวลา 40 ปี อิสราเอลได้ละทิ้งพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีก พระเจ้าทรงช่วยกู้หลายครั้งและประทานผู้วินิจฉัย 11 คน แต่ขณะนี้ดูเหมือนเขาจะไม่รู้สึกทุกข์ร้อนกับการตกอยู่ใต้การปกครองของต่างชาติและไม่ยอมกลับใจใหม่ ไม่รู้สึกว่าตนเองกำลังทำผิดบาปต่อพระเจ้า ไม่มีการร้องไห้คร่ำครวญเพื่อขอการปลดปล่อย แต่พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งคนของพระองค์ พระองค์ทรงมีแผนการที่จะประทานผู้ช่วยกู้พวกเขาให้เป็นไท

อาจจะเพราะความเชื่อ แต่ดูเหมือนว่าพระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวถึงคุณลักษณะพิเศษของทั้งคู่ไว้เลย แต่เราเห็นได้จากท่าทีและการตอบสนองของทั้งคู่ได้ ถึงแม้ว่ามาโนอาห์จะเป็นคนที่เชื่ออะไรค่อนข้างยาก เช่น เมื่อภรรยาบอกเรื่องทูตสวรรค์ เขาก็ต้องการพิสูจน์ให้แน่ใจโดยขอพระเจ้าส่งทูตสวรรค์มาอีกครั้ง เมื่อพระเจ้าส่งมาอีก เขาก็ขอให้ทูตสวรรค์รอ และถามชื่อของทูตสวรรค์ จนเมื่อทูตสวรรค์ลอยขึ้นเหนือเปลวไฟเครื่องบูชาเขาจึงเชื่อและเกิดความกลัว มาโนอาห์ไม่ได้เข้าใจและเชื่อเหมือนที่ภรรยาเขาเชื่อ
พระเจ้าทรงประสงค์ให้บุตรชายของทั้งสองต้องถูกแยกไว้สำหรับพระองค์โดยเฉพาะ ทั้งมาโนอาห์และภรรยาจะต้องเลี้ยงดูแซมสันตามแบบอย่างของนาศีร์ คือ ต้องไม่ให้เขากินหรือดื่มสิ่งที่ทำมาจากองุ่นและสิ่งที่เป็นมลทินตามบันทึกในพระคัมภีร์ ห้ามแตะต้องซากศพและสิ่งมลทินต่างๆ ต้องไม่โกนผมหรือตัดผม สิ่งเหล่านี้พระเจ้าไม่ได้เรียกร้องให้ทั้งสองทำเมื่อแซมสันเกิดมาแล้ว แต่ให้ทำทันทีตั้งแต่เด็กอยู่ในครรภ์
ส่วนเครื่องเผาบูชาและธัญบูชานั้นแสดงถึงการอุทิศตัวและนมัสการพระเจ้า แสดงถึงการยอมรับต่อพระประสงค์ของพระองค์ และยอมถวายตัวให้พระเจ้าใช้เป็นเครื่องมือในการให้กำเนิดแซมสัน และเลี้ยงดูเขาตามวิธีการที่พระองค์ได้สั่งไว้
มาโนอาห์และภรรยาเป็นตัวอย่างของผู้ที่ยอมให้พระเจ้าใช้เพื่องานของพระองค์ แม้ว่าในตอนแรกมาโนอาห์จะสงสัยละต้องการข้อพิสูจน์ แต่ในที่สุดเขาทั้งสองก็ยอมถวายตัว

------------------------------------------------------------------------------------------
พระเจ้าทรงใช้คุณให้เป็นเครื่องมือของพระองค์ในด้านใดบ้าง ??
------------------------------------------------------------------------------------------

แท้ที่จริง งานรับใช้พระเจ้าบางด้านที่เฉพาะเจาะจงนั้นต้องการการยืนยันพิเศษจากพระเจ้าดังเช่นมาโนอาห์ แต่มีงานอีกมากมายที่ไม่จำเป็นเพราะว่าเป็นหน้าที่ของคริสเตียนอยู่แล้ว เช่น การประกาศ การเลี้ยงดูจิตวิญญาณ การเยี่ยมเยียน การหนุนใจ การรับใช้ในคริสตจักร ฯลฯ
คุณเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมและพร้อมให้พระเจ้าใช้ในงานของพระองค์หรือยัง งานที่เป็นหน้าที่ของคริสเตียนที่ดีเราจะต้องไม่ละเลย เราจะต้องมีชีวิตที่ติดสนิทและไวต่อเสียงที่พระเจ้าทรงเรียก เพื่อเราจะไม่พลาดจากพระพรอันล้ำค่าที่พระองค์ประสงค์จะเทผ่านชีวิตของเรา

---------------------------------------------------------------------------------------------------------
ยอมเป็นเครื่องมือของพระเจ้า ให้พระองค์ใช้ตามน้ำพระทัยพระองค์
---------------------------------------------------------------------------------------------------------