Wednesday, September 12, 2018

คริสเตียนต้องอดทนและรอคอย

คริสเตียนต้องอดทนและรอคอย

คงจะเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวของ จอร์จ มูลเลอร์ มาบ้างแล้วนะครับ แต่ก็อยากจะเล่าบางเรื่องบางตอนของชีวิต จอร์จ มูลเลอร์ให้ฟังอีกสักครั้งหนึ่งก่อนจะเข้าสู่พระคำของพระเจ้า
จอร์จ มูลเลอร์ เป็นชาวเยอรมันที่อาศัยในประเทศอังกฤษ ท่านเป็นผู้บุกเบิกก่อตั้งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ชื่อว่า Ashley Down Orphanage in Bristol ประเทศอังกฤษ ท่านเป็นผู้ที่ยืนหยัดอยู่บนพระดำรัสของพระเจ้า มีจิตใจที่เต็มไปด้วยการอธิษฐาน จนกระทั่งมีชัยเหนืออุปสรรคต่างๆ  ท่านเล่าว่า พระเจ้าของข้าพเจ้าไม่เคยทำให้ข้าพเจ้าผิดหวังเลย เกือบ 70 ปีแล้วที่พระเจ้าประทานสิ่งของจำเป็นทุกอย่างสำหรับการเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงบัดนี้มีจำนวนถึงประมาณหนึ่งหมื่นคน พวกเราไม่เคยอดอยากเลยแม้สักมื้อเดียว พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานและให้มีเพียงพอสำหรับเด็กๆ เราไม่มีองค์กรณ์ ไม่มีผู้เรี่ยไรเงิน  ทุกสิ่งที่ได้รับเป็นการตอบคำอธิษฐานโดยความเชื่อทั้งสิ้น
เล่ากันว่า สมุดบันทึกประจำวันของ จอร์จ มูลเลอร์ ล้วนเต็มไปด้วยการบันทึกคำตอบคำอธิษฐานจากพระเจ้า นั่นเป็นเพราะท่านอธิษฐานจนความไม่เชื่อพ่ายแพ้ไป เช่น
ครั้งหนึ่งในบ้านเด็กกำพร้า ซึ่งมีเด็กๆประมาณ 2000 คน ได้มานั่งลงเพื่อรับประทานอาหาร แต่บนโต๊ะอาหารนั้นกลับว่างเปล่า ไม่มีอาหารใดๆ  จอร์จ มูลเลอร์นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ และเชิญชวนเด็กๆให้อธิษฐานขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหาร เด็กๆพากันแปลกใจและถามว่าไหนอาหาร จอร์จบอกเด็กๆว่า พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมอาหารให้เอง ให้ทุกคนอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าด้วยกัน หลังจากที่ทุกคนอธิษฐานจบลงสักครู่หนึ่ง มีเสียงเคาะที่ประตู จอร์จไปเปิดประตู มีคนขับรถมาถามว่าต้องการขนมปังกับนมไหม เพราะรถขนส่งขนมปังกับนมเกิดอุบัติเหตุและทำให้ขนมปังกับนมนั้นเกลื่อนเต็มพื้น ผู้จัดการบริษัทจึงไม่ต้องการขนมปังและนมเหล่านั้นแล้ว พวกเขาจึงอยากจะนำมาให้บ้านเด็กกำพร้า จอร์จตอบว่า ขอบคุณครับ กำลังรออยู่พอดี พร้อมกับหันไปบอกเด็กๆว่า พระเจ้าอาจมาช้าหน่อยแต่พระองค์ไม่เคยมาสาย

ในชีวิตเราก็เช่นกัน ให้เราเชื่อและวางใจ กล้าที่จะทูลขอ อย่าสงสัยในคำอธิษฐานของตัวเอง  ไม่ใช่อธิษฐานเสร็จก็คิดต่อเลย เอ๊ มันจะเป็นไปได้มั๊ย หรือ ไม่ได้แน่ๆเลย ให้เรากล้าที่จะเชื่อ กล้าที่จะวางใจในพระเจ้า พระองค์ไม่เคยมาสาย ในพระธรรมมัทธิว 21.22 บอกว่า
สิ่งสารพัดซึ่งท่านอธิษฐานด้วยความเชื่อ ท่านจะได้

พระวจนะ ของพระเจ้าที่เราจะอ่านด้วยกันในวันนี้ อยู่ในพระธรรม ฮาบากุก 2.1-3
ข้าพเจ้าจะยืนเฝ้าดูอยู่  ข้าพเจ้าจะยืนที่หอคอย และมองออกไปเพื่อจะฟังดูว่า พระองค์จะตรัสอะไรแก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะทูลตอบพระองค์เกี่ยว ด้วยการร้องทุกข์ของข้าพเจ้าอย่างไร และพระเจ้าตรัสตอบข้าพเจ้าว่าจงเขียนนิมิตนั้นลงไปจงเขียนไว้บนแผ่นป้ายให้กระจ่าง เพื่อให้คนที่วิ่งอ่านได้คล่อง  เพราะว่านิมิตนั้นยังรอเวลาของมันอยู่  มันกำลังรีบไปถึงความสำเร็จ  มันไม่มุสา ถ้าดูช้าไป ก็จงคอยสักหน่อย มันจะบังเกิดขึ้นเป็นแน่ คงไม่ล่าช้านัก

ฮาบากุก เป็นผู้เผยพระวจนะในรัชสมัยของกษัตริย์เยโฮยาคิม ระหว่างประมาณปี กคศ 606-604 ตอนนั้นอิสราเอลตอนเหนือได้ล่มสลายแล้วและได้ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย เหลือแต่อิสราเอลฝั่งใต้คืออาณาจักรยูดาห์ที่มีเมืองหลวงคือเยรูซาเล็ม
อาณาจักรฝั่งเหนือได้ถูกทำลายโดยอัสซีเรียตั้งแต่ปี กคศ 722 และประชากรถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ส่วนอาณาจักรใต้ในช่วงช่วงชีวิตของฮาบากุกเอง ก็ถูกรุกรานข่มเหงโดยกองทัพของเนบูคัดเนสซาแห่งอาณาจักรบาบิโลน
ฮาบากุก เป็นผู้เผยพระวจนะที่ต่างจากคนอื่นๆ ผู้เผยพระวจนะคนอื่นจะเป็นผู้นำข่าวสารจากพระเจ้าไปถึงประชาชน แต่ฮาบากุกจะสนทนากับพระเจ้า ถามพระเจ้าและร้องทุกข์เกี่ยวกับความทุกข์ยากของประชาชน
ฮาบากุกเริ่มต้นด้วยการถามข้อสงสัยต่อพระเจ้า  ท่านไม่เข้าใจว่า ทำไมพระเจ้ายอมให้ผู้คนที่ทรงเลือกสรรหรือประชากรของพระองค์ต้องพบกับ การข่มเหง ความทุกข์ทรมาน ภายใต้เงื้อมือของศัตรู  ในเวลานั้นสภาพของชนชาติอิสราเอลบอบช้ำมาก เมื่อฮาบากุกมองดูสภาพบ้านเมืองที่เลวร้ายในเวลานั้น รู้สึกเศร้าสลดใจ ท่านร้องทูลพระเจ้าในบทที่ 1 ว่า

2 ข้าแต่พระเจ้า  ข้าพระองค์จะร้องทุกข์นานสักเท่าใดและพระองค์มิได้ทรงฟัง หรือข้าพระองค์จะร้องทูลต่อพระองค์ว่า ทารุณ พระเจ้าข้าและพระองค์ก็ไม่ทรงช่วย
3 ไฉนพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์เห็นการชั่วและให้มองเห็นความยากลำบาก ทั้งการทำลายและความทารุณก็อยู่ตรงหน้าข้าพระองค์ การวิวาทและการทุ่มเถียงกันก็เกิดขึ้น
4 ดังนั้น ธรรมบัญญัติจึงหย่อนยานและความยุติธรรมก็มิได้ปรากฏเสียเลย
เพราะว่าคนอธรรมล้อมรอบคนชอบธรรมไว้ ความยุติธรรมจึงปรากฏอย่างวิปลาส

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าฮาบากุกเป็นปัญหาที่เกินกำลังที่เขาจะรับได้
เมื่อเรามีปัญหา เราเลือกที่จะเผชิญปัญหาแบบไหน
เครียด  -> เหล้า - กิน – บางคนไม่กิน อด – ร้องไห้ฟูมฟาย –พูดมาก เห็นใครก็ระบาย บางทีแมวหมาที่บ้านก็โดนหมด
พระเจ้าไม่ต้องการให้เราหนีปัญหา หรือพึ่งพามนุษย์เพียงอย่างเดียว หรือโยนความผิดให้คนอื่น โทษคนอื่น โทษชะตากรรม บางคนก็ไปบนบานศาลกล่าว เจ้าพ่อเจ้าแม่อะไรก็เอาหมด แม้แต่ใต้ต้นมะขามก็เอา
ในแต่ละวันที่เราดูหน้าทีวี หนังสือพิมพ์ หรือโซเชียลที่แชร์กัน มีแต่เรื่อง ปล้น จี้ ทำร้ายร่างกาย ข่มขืน หย่าร้าง เราเสพข่าวมากมาย แต่เราเข้าไปแก้ไขได้มั๊ยครับ ไม่ได้เพราะเราเป็นแค่ประชาชนธรรมดา ตัวเล็กๆ เราได้แต่มองดูแต่ยื่นมือเข้าไปแก้ไขอะไรไม่ได้

ฮาบากุกก็เช่นเดียวกัน ท่านมองเห็นความชั่ว คนชั่วร้ายกำลังล้อมคนชอบธรรมไว้
ฮาบากุกถามพระเจ้าว่า - นานเท่าไร ?? จะต้องทนอีกนานเท่าไร หรือจะต้องร้องทารุณพระเจ้าข้า แล้วพระองค์ก็ไม่ทรงช่วย
ดูจากน้ำเสียงแล้ว ฮาบากุกคงจะทุกข์ใจ ทรมานใจมากทีเดียว เพราะมีแต่ความทารุณอยู่ตรงหน้า ธรรมบัญญัติก็หย่อนยาน ความยุติธรรมก็ไม่มี  ไม่พียงแต่ความทารุณอยู่ตรงหน้าเท่านั้น แต่คนยูดาห์เองก็หย่อนยานต่อธรรมบัญญัติของพระเจ้า ไม่เอาจริงเอาจัง
พี่น้องครับ สายกีตาร์ เวลามันหย่อนยานเป็นไงครับ เสียงเพราะมั๊ย ??
พระธรรมฮาบากุกมีแค่ 3 บท เริ่มต้นด้วยการที่ฮาบากุกร้องทูลถามพระเจ้าด้วยสงสัยและความทุกข์ใจและจบลงด้วยคำทูลวิงวอนต่อพระเจ้าเพื่อประชาชน  
พระธรรมฮาบากุกได้ชี้ให้เห็นถึง

การเป็นคริสเตียนที่ดีจะต้องรู้จักการรอคอย  เราจะต้องมี 3 ต้อง

1    ต้องอดทนนาน
ฮาบากุกเองเป็นผู้เผยพระวจนะที่พูดคุยโต้ตอบกับพระเจ้าตลอดพระธรรมทั้ง 3 บท เขาต้องอดทนต่อหลายสิ่งหลายอย่างที่ล้อมรอบตัวเขา ต้องอดทนต่อการเห็นความชั่วร้ายของบาบิโลน ต้องทนต่อสิ่งที่น่าสลดใจยิ่งคือการที่ชนชาติของเขาเพิกเฉยต่อพระธรรมบัญญัติ และต้องทนรอคอยคำตอบจากพระเจ้า ในบทที่ 1.3 ฮาบากุกได้กล่าวว่า

ไฉนพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์เห็นการชั่ว
และให้มองเห็นความยากลำบาก
การวิวาทและการทุ่มเถียงกันก็เกิดขึ้น

คำถามขึ้นต้นด้วยคำว่า ไฉน หรือ ทำไม เพราะเขาสงสัยว่าทำไมพระเจ้าจึงปล่อยให้ชนชาติของพระองค์ถูกข่มเหงทำร้าย และพระเจ้าก็ได้ตอบความสงสัยของฮาบากุก และเปิดเผยถึงแผนการของพระองค์ที่ทรงใช้บาบิโลนโจมตียูดาห์  เป็นการลงโทษพลไพร่ของพระองค์ เพราะยูดาห์เองก็ไม่ใช่ผู้ชอบธรรมอย่างที่ฮาบากุกมอง และยูดาห์เองก็ได้ประพฤติบาปชั่วไม่ต่างจากบาบิโลน พระองค์จึงใช้บาบิโลนเป็นแส้เพื่อที่จะตีสอนยูดาห์ให้สำนึกผิด เพื่อที่พวกเขาจะหันกลับมาหาพระองค์  คำตอบของพระเจ้าคือ คนชอบธรรมจะดำรงชีวิตอยู่โดยความเชื่อเท่านั้น เมื่อถึงเวลาพระองค์จะทรงลงโทษบาบิโลนเช่นเดียวกัน ซึ่งทำให้ฮาบากุกรู้สึกพอใจในคำตอบของพระเจ้า ที่ทำให้ท่านเกิดความเชื่อ ความหวังและความยินดี แม้สิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยจะทำให้ฮาบากุกตกใจ  ในบทที่ 3.16

ข้าพเจ้าได้ยิน และท้องของข้าพเจ้าก็สั่นเทา พอได้ยินเสียง ริมฝีปากของข้าพเจ้าก็สั่น
กระดูกของข้าพเจ้าก็ผุพัง และข้าพเจ้าก็สั่นเทาอยู่ในที่ของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะคอยวันแห่งความลำบากอย่างเงียบๆ คือวันที่จะมาถึงประชาชนที่บุกรุกพวกเรา

เรื่องราวการลงโทษที่ได้ฟังทำให้ฮาบากุกตัวชา น้ำตาไหล เต็มไปด้วยคำถาม เต็มไปด้วยความกลัว เหมือนกับชีวิตที่ดำเนินมาอย่างราบรื่น แต่กลับสะดุด ถูกขัดจังหวะด้วยมีโศกนาฏกรรมที่ถาโถมเช้ามาในชีวิตหลายอย่าง แต่ฮาบากุกก็เฝ้าอดทนรอด้วยความหวัง

เมื่อพระเจ้าทรงตอบ ถึงแม้จะไม่ตรงกับความต้องการของเขา แต่ก็ทำให้
ความสงสัย ความกังวลก็ถูกเปลี่ยนเป็นการอธิษฐาน
ความกลัวกลับกลายเป็นความเชื่อ  ความสิ้นหวังกลับกลายเป็นความหวัง
ความหวาดระแวงกลับกลายเป็นความไว้วางใจ
สิ่งที่เริ่มต้นด้วยความสงสัย กลับจบลงด้วยความอัศจรรย์ใจ
ความสับสนทั้งหมดได้รับการเยียวยา จนฮาบากุกเชื่อมั่นว่า ผู้ควบคุมอยู่เหนือสถานการณ์ทั้งสิ้นก็คือพระเจ้านั่นเอง
ฮาบากุกมีเคล็ดลับอย่างไรในการอดทนนาน ?

ในพระธรรมบทที่  2.1
ข้าพเจ้าจะยืนเฝ้าดูอยู่  ข้าพเจ้าจะยืนที่หอคอย และมองออกไปเพื่อจะฟังดูว่า พระองค์จะตรัสอะไรแก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะทูลตอบพระองค์เกี่ยว ด้วยการร้องทุกข์ของข้าพเจ้าอย่างไร
1.1            เฝ้าดู  คำว่า เฝ้าดูเป็นลักษณะของยามที่คอยดูแล สอดส่อง สังเกตความเป็นไป คนที่ยืนอยู่บนหอคอยหรือในที่สูงจะได้เปรียบ จะสามารถมองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้ชัดเจนกว่า และการเฝ้าดูเป็นการเปิดตาคอยคำตอบจากพระเจ้าด้วยความอดทนและไว้วางใจ และไม่กระวนกระวายใจ มอบปัญหาของเราไว้กับพระเจ้า เราควรจะหันหลังให้กับความกังวลใจทั้งหลายแล้วเพ่งมองไปที่พระเจ้า
ในพระธรรม ฟิลิปปี 4.6  อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ
1.2            ฟังดู  การที่จะฟังได้ชัดเจน เข้าใจ ต้อง นิ่ง เงียบ สงบ ต้องตั้งใจฟัง เปิดหูของเราต่อพระเจ้า  ยิ่งถ้าเราฟังบ่อยๆก็จะคุ้นเคย 
            ในพระธรรมยากอบ 1.19 ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ
ฮาบากุกจึงตั้งใจฟังพระเจ้าว่าจะตรัสอะไรกับท่าน เพื่อที่ท่านจะได้บอกกับพระเจ้าถึงความทุกข์ใจขอท่าน และความทุกข์ยากของประชาชน
พี่น้องจำเรื่องซามูเอลได้มั๊ยครับ ตอนเป็นเด็ก นางฮันนาห์แม่ของซามูเอลได้พามาถวายกับพระเจ้า ให้รับใช้กับเอลีปุโรหิต  ในขณะที่ซามูเอลนอนอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า มีเสียงเรียกเขาถึง 4 ครั้ง    พระเจ้าทรงได้เรียกซามูเอล และซามูเอลก็ทูลตอบว่า ข้าพเจ้าอยู่อยู่นี่ เขาจึงวิ่งไปหาเอลี ว่า ข้าพเจ้าอยู่นี่ ด้วยท่านร้องเรียกข้าพเจ้า แต่เอลีตอบว่าไม่ได้เรียก  ซามูเอลก็กลับไปนอนอีก และก็มีเสียงเรียกซามูเอลอีกเป็นครั้งที่สอง ซามูเอลก็วิ่งไปหาเอลีและถามว่า ท่านเรียกข้าพเจ้าหรือ เอลีก็ตอบว่าไม่ได้เรียก ซามูเอลก็กลับไปนอน ฝ่ายซามูเอลยังไม่เคยรู้จักพระเจ้าเพราะพระเจ้ายังไม่เคยสำแดงกับซามูเอล และเสียงเรียกนั้นเป็นเสียงเรียกครั้งที่สาม ซามูเอลก็ลุกขึ้นวิ่งไปหาเอลีอีก ถามว่าท่านเรียกข้าพเจ้าหรือ  เอลีตอบว่าไม่ได้เรียก และเอลีก็รู้แล้วว่า พระเจ้าทรงเรียกซามูเอล เพราะฉะนั้นเอลีจึงพูดกับซามูเอลว่า จงไปนอนเสียเถิด  ถ้าพระองค์ทรงเรียกเจ้า เจ้าจงทูลว่า  พระเจ้าเจ้าข้า ขอพระองค์ตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้พระองค์คอยฟังอยู่  ซามูเอลจึงไปนอนในที่ของตน  และพระเจ้าเรียกซามูเอลเป็นครั้งที่สี่ ซามูเอลจึงตอบพระเจ้าตามคำแนะนำของเอลี และพระเจ้าก็ตรัสให้ซามูเอลรับรู้เรื่อง ที่พระเจ้าจะทำ  (1ซมอ.3.1-15)
           ให้เราเรียนรู้ในการที่ฟังเสียงของพระเจ้า ถ้าเราไม่นิ่ง ไม่สงบ ไม่เฝ้าคอยฟัง เราก็จะไม่รู้จักเสียงของพระเจ้าว่าเป็นเสียงอย่างไร และเราอาจจะตัดสินใจผิดๆก็ได้ เมื่อเราฟังบ่อยๆ เราก็จะมั่นใจและรู้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงของพระเจ้าแน่นอน  เราต้องไม่แค่ระบายความทุกข์ให้พระเจ้าฟังเท่านั้น แต่เราต้องเฝ้าดูว่าพระเจ้าจะตอบอะไรกับเรา ปัญหาของเราส่วนใหญ่คือ ชอบพูดแต่ไม่ชอบฟัง จริงมั๊ยครับ ?? ขอพระเจ้าช่วยเหลือให้เราฝึกฟังเสียงของพระเจ้า ด้วยการใคร่ครวญพระคำพระเจ้า ศึกษาพระคัมภีร์เพื่อเป็นพื้นฐานในการฟังเสียงของพระเจ้า

2          ต้องเชื่อฟัง
ในบทที่ 2.2  และพระเจ้าตรัสตอบข้าพเจ้าว่า  จงเขียนนิมิตนั้นลงไป จงเขียนไว้บนแผ่นป้ายให้กระจ่าง  เพื่อให้คนที่วิ่งอ่านได้คล่อง
เมื่อพระเจ้าตรัสบอกให้เขียนนิมิตนั้นลงไป ฮาบากุกก็เขียนลงไป และฮาบากุกพร้อมที่จะนำข่าวไปสู่ประชาชนด้วย ฮาบากุกได้เป็นแบบอย่างในการรอคอยและเชื่อฟังพระเจ้า  เมื่อได้ยิน
         2.1 ลงมือทำตาม  เราจะเห็นว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม เมื่อเรามีการลงมือทำ  สิ่งนั้นมักจะเกิดผลตามมาและเป็นไปได้ แต่ถ้าเราฟังและไม่ได้ทำตาม ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย  
          ในพระธรรม มัทธิว 7.24-27 ได้เปรียบเทียบรากฐานสองชนิด ผู้ที่ได้ฟังได้ยินคำของพระเจ้าและทำตาม ผู้นั้นก็เปรียบเหมือนผู้ที่มีสติปัญญา ได้สร้างเรือนของตนไว้บนศิลา เมื่อพายุฝนตกน้ำไหลเชี่ยวเรือนนั้นก็ตั้งมั่นคง คือชีวิตผู้เชื่อเมื่อได้ฟังได้ยินได้อ่านพระคัมภีร์ทุกวันด้วยความเชื่อฟังคำของพระเจ้า ชีวิตความเชื่อของเราจะไม่หวั่นไหวเลย เมื่อมีปัญหาประดังเข้ามาในชีวิตเรา ความเชื่อของเราจะไม่สั่นคลอนแคลนไป  รากฐานชนิดที่ สอง คือผู้ที่ได้ฟังได้ยินถ้อยคำของพระเจ้าแล้วแต่ไม่ทำตาม เขาเปรียบเหมือนคนโง่เขลาที่สร้างเรือนของตนไว้บนทราย เมื่อมีพายุฝนตกหนัก น้ำไหลเชี่ยว บ้านหลังนั้นก็พังทลายลง ตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะฐานรากไม่แข็งแรง
เช่นเดียวกันกับชีวิตผู้เชื่อ ถ้าไม่มีการเชื่อฟังและทำตามแล้ว จะไม่สามารถยืนหยัดได้เลย
         2.2 จดจำ  ในปลายข้อที่ 2 บอกว่า เพื่อให้คนที่วิ่งอ่านได้คล่องก็คือให้คนที่อ่าน สามารถอ่านได้ชัดเจนและจดจำได้
 ในพระธรรม กันดารวิถี 15.40  เพื่อว่าเจ้าจะจดจำและกระทำตามบัญชาทั้งสิ้นของเรา และเป็นคนบริสุทธิ์แด่พระเจ้าของเจ้า  และ
ในเฉลยธรรมบัญญัติ 11.18     เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงจดจำถ้อยคำเหล่านี้ของ ข้าพเจ้าไว้ในจิตในใจของท่านทั้งหลาย จงเอาถ้อยคำเหล่านี้พันไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ และจารึกไว้ที่หว่างคิ้วของท่าน 
         การจดจำข้อพระคัมภีร์นั้นเป็นการดีที่เราจะมีคำตอบให้แก่คนอื่นเมื่อเขาถามเรา  และเราสามารถที่จะตอบเขาได้   เราจำเพื่อเป็นคำตอบ  เราจำเพื่อเป็นการหนุนใจและสอนเราให้เรียนรู้ที่ทำตามสิ่งที่ถูกที่ควร การจดจำได้กำไรแน่นอน การจดจำเป็นการเตรียมพร้อมอย่างหนึ่ง พร้อมทุกเมื่อ เมื่อมีปัญหาหรือพบอุปสรรค พระคำของพระเจ้าที่เราจดจำจะเป็นคำตอบให้กับเรา เราสามารถนำพระคำเหล่านั้นมาใช้ในชีวิตประจำวันได้
3. ต้องเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้า
    บทที่ 2.3 เพราะว่านิมิตนั้นยังรอเวลาของมันอยู่ มันกำลังรีบไปถึงความสำเร็จ มันไม่มุสา ถ้าดูช้าไป ก็คงคอยสักหน่อยมันจะบังเกิดขึ้นเป็นแน่ คงไม่ล่าช้านัก
           น้ำพระทัยพระเจ้าหมายถึง สิ่งที่พระเจ้าได้กำหนดไว้แล้ว หรือเหตุการณ์ที่พระเจ้ากำหนดแล้วว่าจะเป็นไปอย่างนั้น สิ่งดีเกิดขึ้นก็น้ำพระทัยพระเจ้าที่ให้เป็นเช่นนี้  สิ่งไม่ดีเกิดขึ้นได้ก็เป็นน้ำพระทัยที่ให้เป็นเช่นนั้น  ทุกสิ่งนั้นไม่ได้เป็นมาจากมนุษย์คนใดคนหนึ่งที่คิดขึ้นมาเอง หรือตัดสินเอง 
ในพระธรรม เอเฟซัส 5.17เหตุฉะนั้นอย่าเป็นคนโง่เขลา แต่จงเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นอย่างไร” 
            น้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นอะไรที่น่าชื่นชมยินดี  น้ำพระทัยพระเจ้าทำให้เราได้รู้และเข้าใจแผนการของพระองค์ น้ำพระทัยพระเจ้าทำให้เราไว้วางใจในพระเจ้าได้ ทำให้เรารู้ว่ามีผู้หนึ่งที่ควบคุมอยู่นั่นคือพระองค์เอง  เหตุผลที่ฮาบากุกมีความเข้าใจในน้ำพระทัยพระเจ้าได้เพราะ..
         3.1 ไม่มุสา  
1ซมอ.15.29และผู้เป็นกำลังของอิสราเอล จะไม่มุสาหรือกลับใจ เพราะว่าพระองค์หาใช่มนุษย์ ที่จะกลับใจไม่”  
กดว. 23.19พระเจ้ามิใช่มนุษย์จึงมิได้มุสา และมิได้เป็นบุตรของมนุษย์จึงไม่ต้องกลับใจ ที่พระองค์ตรัสไปแล้ว พระองค์ก็จะมิทรงกระทำตามหรือ ที่พระองค์ลั่นวาจาแล้วจะไม่ทรงกระทำให้สำเร็จหรือ?”
           พระเจ้าไม่เคยที่จะพูดอะไรแล้ว ไม่ได้รักษาคำพูดของพระองค์เอง  พระเจ้าสัญญาอย่างไรและพระองค์ก็กระทำให้สำเร็จเสร็จสิ้นอย่างนั้น  ทุกอย่างพระเจ้ามีพระประสงค์สำหรับวาระของทุกสิ่ง ได้อย่างเหมาะสม สิ่งที่สำคัญคือพระเจ้ารักษาคำพูดของพระองค์
          3.2 ไม่ล่าช้านัก   แผนการของพระเจ้าไม่ช้าเกินไป และไม่เร็วจนเกินไป   อสค.12.25-28แต่เราคือพระเจ้า จะพูดคำที่เราจะพูด และจะต้องเป็นไปตามคำนั้น จะไม่ล่าช้าต่อไปอีก เพราะฉะนั้นจงกล่าวแก่เขาว่าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า บรรดาถ้อยคำของเราจะไม่ล่าช้าอีกต่อไปเลย แต่วาจาที่เราลั่นออกมานั้นจะต้องเป็นไปจริงพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
            บางครั้ง บางสิ่งบางอย่างที่เราทูลขอจากพระเจ้า อาจจะดูล่าช้าเกินไปสำหรับเราหรือบางครั้งก็ไม่มีวี่แววให้เราได้รู้และเข้าใจเลย  แน่นอนผลที่ตามคือความสงสัย  ความเชื่อสั่นคลอน รู้สึกสิ้นหวัง แต่จริงๆแล้วมันยังไม่ถึงเวลาของมัน   ยังไม่เหมาะสม  หรือยังไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดที่พระเจ้าจะจัดเตรียมให้กับเรา  พระเจ้าของเรามักจะจัดเตรียมอะไรที่ยอดเยี่ยมไว้สำหรับเราที่รอคอยเสมอ 
ในพระธรรม โรม 12.2 “อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม

  สรุป     การที่เราจะเป็นคริสเตียนที่อดทนรอคอยได้เหมือนฮาบากุก เราต้องมี 3 ต้อง คือ
1.     ต้องอดทนนาน
2.     ต้องเชื่อฟัง
3.     ต้องเข้าใจน้ำพระทัย
ถ้าเรายืนมองจากหอคอยของตนเอง เราจะเริ่มสงสัยพระเจ้า เริ่มมีคำถามต่างๆ ทำไม ทำไม ?? บ่นว่าพระเจ้า ไม่อยากทำตามในพระคัมภีร์โดยอ้างว่าสมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว  เอามาตรฐานของตัวเองและยึดสิ่งนั้น เริ่มเรียกร้องให้พระเจ้าทำตามสิ่งที่เราต้องการ ตั้งเวลากับพระเจ้าจะต้องได้วันนั้นวันนี้ แต่เราที่เป็นผู้เชื่อ ต้องยืนอยู่บนหอคอยของพระเจ้า ยืนอยู่บนบันทัดฐานของพระเจ้า คือ พระคัมภีร์
สำหรับฮาบากุกแล้ว เขาได้เฝ้ารอคอยพระเจ้าตรัสกับเขาด้วยความอดทน
พระธรรมฮาบากุกได้จบลงอย่างสวยงาม โดยที่มุมมองและทัศนคติของฮาบากุกก็ได้เปลี่ยนไป
จาก พระธรรมฮาบากุก 3.17-19
แม้ต้นมะเดื่อไม่มีดอกบาน หรือเถาองุ่นไม่มีผล
ผลมะกอกก็ขาดไป ทุ่งนามิได้ผลิตอาหาร
แม้ฝูงแพะแกะขาดไปจากคอก และไม่มีฝูงวัวที่ในโรง
ถึงกระนั้น ข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระยาห์เวห์
ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า
พระยาห์เวห์องค์เจ้านายทรงเป็นกำลังของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงทำให้เท้าของข้าพเจ้าเหมือนตีนกวางตัวเมีย

พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้าเดินไปบนที่สูงทั้งหลาย

ขอพระเจ้าอวยพร

Wednesday, May 16, 2018

เมื่อได้รับการทรงเรียก


เมื่อได้รับการทรงเรียก

เมื่อถูกคริสตจักรหรือผู้รับใช้มอบหมายงาน หรือเชิญชวนให้รับใช้ เรามีการสนองตอบต่อการเชิญชวนนั้นอย่างไร
หลายครั้งที่เราคงได้ยินประโยคที่ว่า..
ฉันไม่มีความรู้  ฉันไม่เก่ง ผมเรียนไม่สูง ผมร้องเพลงไม่เพราะ  ผม...ทำไม่ได้  ใช้คนอื่นดีกว่า ให้คนอื่นทำเถิด พระเจ้าคงไม่ได้เรียกผมทำสิ่งนู้นสิ่งนี้ หลายครั้งก็เป็นเราเองที่พูดประโยคนี้ด้วยซ้ำไป  ผมไม่ทราบว่ามีใครเคยคิดบ้างไหมว่า วันหนึ่งฉันจะเป็นศิษยาภิบาล วันหนึ่งฉันจะเป็นผู้รับใช้ในคริสตจักร  ฉันจะเป็นครูรวี ฉันจะเป็นนักเทศน์ ฉันจะเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ แต่ผมคนหนึ่งที่ไม่เคยคิด และเคยพูดประโยคต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว 
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เรารู้จักกับพระเจ้ามากขึ้น จึงรู้ว่าการที่เราพูดว่า ผมทำไม่ได้ ผมไม่มีความสามารถ คำเหล่านี้ใช้ไม่ได้ผลกับพระเจ้า การทรงเรียกของพระเจ้าเพื่อการรับใช้ ไม่ขึ้นกับความสามารถของเราเป็นหลัก เพราะแท้จริงแล้วไม่มีใครสามารถรับใช้พระเจ้าได้โดยตัวของเขาเองหรือโดยกำลังของเขาเอง
ยน.15:16 ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย และได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านไปเกิดผล และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่
        - ไม่มีมนุษย์คนใดสมบูรณ์และมีคุณสมบัติเพรียบพร้อมที่จะเป็นรับใช้งานของพระเจ้า
      - ไม่มีความอ่อนแอและความขาดแคลนใดๆ ที่อยู่ในมนุษย์จนพระเจ้าใช้เราไม่ได้
ถ้าพระเจ้าจะทรงเรียกผู้ใด พระเจ้าจะเรียกผู้นั้นและพระเจ้าจะใช้จุดอ่อนและความอ่อนแอของเราให้เกิดผลในงานของพระองค์  ตัวอย่าง เช่น    
ยาโคบ (แปลว่า เขาหลอก) ขี้โกงและเจ้าเล่ โกงสิทธิบุตรหัวปีจากเอซาวพี่ชาย แต่พระเจ้าใช้เขาได้ เขาเป็นต้นตระกูลชนชาติอิสราเอล 12 เผ่า
โมเสส มีความรู้  การศึกษาสูง แต่ขี้กลัวและไม่กล้าพูด มีแต่จะโยนให้พี่ชายอาโรน แต่สุดท้ายเขาเป็นผู้นำชนชาติของเขาเป็นล้านๆคนอพยพออกมาจากอียิปต์
ดาวิด เด็กเลี้ยงแกะตัวเล็กๆ เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในพระคัมภีร์
เปโตร ชาวประมงผู้ไม่มีการศึกษาและปฏิเสธพระเยซู สุดท้ายเขาพลีชีพเพื่อพระองค์
เปาโล ผู้ที่ข่มเหงคริสตจักร พระเจ้าใช้เขาเป็นผู้ประกาศและมีบทบาทมากที่สุดคนหนึ่งในพระคัมภีร์
และอีกหลายคนมากมายที่ไม่มีความเหมาะสมที่จะรับใช้งานที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าแต่พระเจ้าก็ใช้พวกเขา
         ที่ เราพูดว่า ทำไม่ได้ นั้นถูกต้องแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าจะใช้เราไม่ได้  ไม่ขึ้นกับว่าเราอยากทำหรือไม่ เพราะมีคนที่อยากทำอาจจะไม่ได้ทำ แต่คนที่รู้สึกว่าตัวเองทำไม่ได้แต่พระเจ้าจะให้ทำงานของพระเจ้าเป็นสิทธิพิเศษ  การที่เราได้รับใช้พระเจ้าเราต้องถือเป็นโอกาสและได้รับสิทธิพิเศษ อย่ามองงาน รับใช้เป็นภาระหนักที่ทำด้วยความหนักใจและรู้สึกเสียเวลา การที่เราไม่รับใช้พระเจ้า ไม่ได้ทำให้พระเจ้าสูญเสีย แต่เราต่างหากที่เสียโอกาส
         ไม่ได้หมายถึงเฉพาะการรับใช้เต็มเวลา แต่ทุกคนควรมีส่วนรับใช้ตามของประทานและความสามารถและด้วยใจ
จริงๆแล้ว พระเจ้าไม่ต้องการคนที่รับใช้พระเจ้าเพราะไม่มีอะไรจะทำ หรือไม่รู้ว่าจะทำอะไร
ไปเรียนโรงเรียนพระคัมภีร์เพราะสอบที่ไหนก็ไม่ได้ก็เลยต้องมาเรียน  พ่อแม่อยากดัดสันดานลูกก็ส่งมาโรงเรียนพระคัมภีร์ การรับใช้ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ เราต้องรับใช้ด้วยใจที่มอบถวาย
ในพระคัมภีร์เราจะเห็นว่า สาวกที่พระเยซูทรงเรียกแต่ละคน พวกเขากำลังมีการงานที่ดี เช่น
ทรงเรียกมัทธิว มธ.9:9  ครั้นพระเยซูเสด็จ เลยตำบลนั้นไป ก็เห็นคนหนึ่งชื่อมัทธิวนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า "จงตามเรามาเถิด" เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป
เมื่อพระเจ้าทรงเรียกเปโตร  มธ.4:19-20 พระองค์ตรัสกับเขาว่า "จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา"  เขาทั้งสองได้ละแหตามพระองค์ไปทันที  ทั้งๆที่เขามีอาชีพที่มั่นคงมีรายได้เลี้ยงครอบครัว
แต่ก็มีบางคนที่สละไม่ได้และตัดสินใจไม่ตามพระเยซู ปฏิเสธการทรงเรียก  ลก.18:22-23  เมื่อพระเยซูทรงได้ยินอย่างนั้น พระองค์ตรัสแก่เขาว่า 'ท่านยังขาดสิ่งหนึ่ง จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถา ท่านจึงจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงตามเรามาและเป็นสาวกของเรา' แต่เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้นก็เป็น ทุกข์นัก เพราะเขาเป็นคนมั่งมีมาก
งานรับใช้ต่างๆ  พระเจ้าไม่ได้ให้เราทำโดยลำพัง แต่พระเจ้าจะทำผ่านเรา ถ้าเรายอมให้พระเจ้าใช้ เพราะเราทำเองไม่ได้ การที่เราบอกว่าทำไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าทำไม่ได้ แต่พระเจ้าจะใช้คนที่ ทำไม่ได้ ให้ได้ทำ..

1ซมอ.17:4-11  มีผู้หนึ่งชื่อโกลิอัทเป็นยอดทหาร ได้ออกมาจากค่ายคนฟีลิสเตียเป็นชาวเมืองกัท สูงหกศอกคืบ  เขาสวมหมวกทองสัมฤทธิ์ไว้ที่ศีรษะ และสวมเสื้อเกราะ เสื้อเกราะนั้นหนักห้าพันเชเขลเป็นทองสัมฤทธิ์  และสวมสนับแข้งทองสัมฤทธิ์ และมีหอกทองสัมฤทธิ์แขวนอยู่ที่บ่า  ด้ามหอกนั้นเหมือนไม้กระพั่นทอผ้า ตัวหอกหนักหกร้อยเชเขลเป็นเหล็ก ทหารถือโล่ของเขาเดินออกหน้า  เขาออกมายืนตะโกนไปทางแนวอิสราเอลว่า ''เจ้าทั้งหลายออกมาทำศึกทำไมเล่า ข้าเป็นคนฟีลิสเตียไม่ใช่หรือ เจ้าก็เป็นข้าของซาอูลไม่ใช่หรือ จงเลือกคนแทนพวกเจ้าให้เขาลงมาหาข้านี่  ถ้าเขาสามารถสู้รบและฆ่าตัวข้าได้ พวกเราจะยอมเป็นข้าของพวกเจ้า แต่ถ้าข้าชนะเขาและฆ่าเขาตาย แล้วพวกเจ้าต้องเป็นข้าของพวกเราและรับใช้เรา''  และคนฟีลิสเตียคนนั้น กล่าวว่า ''วันนี้ข้าขอท้ากองทัพอิสราเอล จงส่งคนมาสู้กันเถิด''  เมื่อซาอูลและคนอิสราเอลทั้งสิ้นได้ยินถ้อยคำของคนฟีลิสเตียคนนั้น เขาทั้งหลายก็ท้อใจและกลัวมาก
เมื่อเราดูทีวีที่บ้านในแต่ละวัน คงได้เห็นการโฆษณาสินค้ามากมาย
คงไม่มีสินค้าชนิดไหนที่พูดถึงจุดอ่อนในสินค้าของตัวเอง ซึ่งจริงๆ แล้วสินค้าทุกอย่างมีจุดอ่อน แต่สินค้าทุกอย่างจะประชาสัมพันธ์เฉพาะจุดแข็งจุดเด่นของสินค้าของตัวเอง  แน่นอนว่าทุกบริษัทต้องแก้ไขจุดอ่อนของตัวเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องไม่มีจุดอ่อนจึงสามารถขายสินค้านั้นได้ เพราะในขณะที่มีจุดอ่อนมันก็มีจุดแข็งที่ขายตัวมันเองได้ และคนที่ซื้อก็ถูกทำให้มองข้ามจุดอ่อนได้ เพราะเขาสนใจที่จุดแข็งของสินค้านั้น
          เราทุกคนมีจุดอ่อนและจุดด้อย แต่เราก็มีจุดแข็งด้วย มีกี่คนที่มองเห็นจุดแข็งของตัวเองและใช้มันจนประสบความสำเร็จ ซึ่งคนส่วนมากมักจะสนใจในจุดอ่อนและพยายามที่จะแก้ไขปรับปรุงจุดอ่อนจนลืมจุดแข็งที่มีอยู่ในตัวเรา บางคนอาจต้องใช้ทั้งชีวิตเพื่อแก้ไขจุดอ่อน และเราก็พบว่าหลายคนทำไม่สำเร็จในการแก้ไขจุดอ่อน จนรู้สึกว่าชีวิตนี้ล้มเหลว
          กษัตริย์ซาอูล และทหารของเขา ในขณะที่เผชิญหน้ากับยักษ์โกลิอัท คนฟิลิสเตีย ซาอูลและทหารอิสราเอลกลัวมาก เพราะความใหญ่โตและแข็งแรงของโกลิอัท ที่มีความแข็ง แรงมากกว่าคนอิสรเอล เวลานั้นซาอูลมองตัวเองและทหารของเขาและเปรียบเทียบกับโกลิอัทมันคนละเรื่อง
           ซาอูลมองเห็นจุดแข็งของศัตรู คือ ใหญ่กว่าแข็งแรงกว่า ซาอูลเอาจุดแข็งของศัตรูมาวัดกับจุดแข็งของตัวเองคือ พวกเขาเล็กกว่าอ่อนแอกว่า ซาอูลคิดจะใช้จุดแข็งของตัวเองคือ อาวุธที่มีเพื่อปราบยักษ์โกลิอัทและก็รู้ว่าด้อยกว่า ในที่สุดซาอูลก็เห็นจุดแข็งของตัวเองเป็นจุดอ่อน เพราะอาวุธและกำลังที่เคยรบมีชัยชนะมาทุกที่ วันนี้มันไม่ใช่จุดแข็งเสียแล้ว สิ่งที่ซาอูลทำได้ คือ กลัวหัวหด และทำอะไรไม่ถูก
สิ่งที่ซาอูลเห็นในโกลิอัท คือ น่ากลัวและแข็งแรงกว่า
ทำไม ?  กองทัพของซาอูลที่ยิ่งใหญ่รบมีชัยชนะชาติต่างๆมามากมาย หายไปไหน
ในพระคัมภีร์ตอนนี้ ซาอูลเผชิญหน้ากับโกลิอัท และเกิดความกลัวจนทำอะไรไม่ถูก ปล่อยให้ศัตรูยืนท้าทายดูถูกอยู่หน้าค่าย à นั่นคือท้าทายกองทัพของพระเจ้า
ทำไมซาอูลจึงหวาดกลัวขนาดนั้น เพราะซาอูลเอาสิ่งที่ตัวเองมี ไปเปรียบกับสิ่งที่ศัตรูมี คือ อาวุธและชุดเกราะที่ทั้งสองมีเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงขนาดของคน และอาวุธ ซาอูลจึงเห็นว่าจุดแข็งของตัวเองด้อยกว่า ซาอูลเกิดความกลัวเมื่อมองดูตัวเองและสิ่งที่ตัวเองมี
ถ้าเราเอาจุดแข็งภายนอกไปเทียบกับจุดแข็งของคนอื่นที่เราด้อยกว่า เราก็จะใจฝ่อ
          ซาอูลลืมจุดแข็งอีกอย่างหนึ่งของเขา ทำให้เขาพลาดในเหตุการณ์นี้ นั่นคือ เขามีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ซึ่งเป็นผู้ช่วยกู้เขาเสมอมา เช่นเดียวกับหลายๆคนที่ประสบความสำเร็จมากมาย จนทำให้ลืมว่าเบื้องหลังความสำเร็จของเขาคือ พระเจ้า แต่เขากลับเอาสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาเปรียบเทียบกับตัวเอง ทำให้เขากลัวและหัวหด ยอมจำนนต่อเหตุการณ์นั้น
          แล้วทำไมเราจึงไม่ค่อยเห็นจุดแข็งของตัวเอง แต่มัวเสียเวลากับจุดอ่อน
          อะไรคือปัญหาที่ทำให้เราละเลยและไม่สนใจในจุดแข็งของตัวเอง เพราะเรามักจะคิดว่า ถ้าเราจะพัฒนาตนเอง เราจะคิดถึงจุดอ่อนของเราก่อนมากกว่าคิดถึงจุดแข็ง คือ เรามักคิดถึงสิ่งที่เราขาด และพยายามที่จะเติมเต็มสิ่งนั้น

          จุดแข็งในตัวเราคืออะไร  คือ การที่เราสามารถทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้แทบจะสมบูรณ์แบบ อย่างสม่ำเสมอ จนสามารถคาดหวังได้ ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก และเป็นผลสำเร็จ (เราจะดูชีวิตของดาวิด ที่เขาใช้จุดแข็งของเขาเองอย่างมั่นใจและเกิดผล)

         ในขณะที่ซาอูลและทหารของเขากำลังตกอยู่ในความหวาดกลัวต่อโกลิอัทนั้น ก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อดาวิด ที่พ่อใช้มาส่งอาหารให้พี่ชายที่สนามรบ ดาวิดเห็นศัตรูกำลังท้าทายคนอิสราเอลอยู่ ดาวิดรู้ได้ทันทีว่าเขาสามารถจัดการกับยักษ์โกลิอัทนี้ได้ เพราะดาวิดรู้ว่าเขามีจุดแข็งที่เหนือกว่า
           1ซมอ.17:32-33  ดาวิดก็ทูลซาอูลว่า ''อย่าให้จิตใจของผู้ใดฝ่อไปเพราะชายคนนั้นเลย ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียคนนี้''  และซาอูลกล่าวแก่ดาวิดว่า ''เจ้าไม่สามารถที่จะไปสู้รบกับชายฟีลิสเตียคนนั้นดอกเพราะเจ้าเป็นแต่เด็กหนุ่ม และเขาเป็นทหารชำนาญศึกมาตั้งแต่หนุ่มๆแล้ว''
เมื่อดาวิดอาสาที่จะออกไปรบกับโกลิอัท ซาอูลก็ยังไม่แน่ใจว่าดาวิดจะชนะได้   เพราะซาอูล มองที่ภายนอกของดาวิด เมื่อเทียบกับศัตรูแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะ ขนาดซาอูลเองเป็นนักรับผ่านสนามรบมาแล้วยังไม่กล้าออกไปสู้ แล้วดาวิดไม่มีอะไรเลยเป็นแค่เด็กเลี้ยงแกะคนหนึ่งเท่านั้นเอง นี่คือสิ่งที่ซาอูลรู้สึกจากการมองผ่านสายตาของเขาเอง
         แต่ดาวิดกล่าวกับซาอูลด้วยความมั่นใจ ดาวิดไม่ฝ่อไปตามที่ซาอูลห้ามเขา ดาวิดยืนยันถึงจุดแข็งที่ตัวเองมีจากประสบการณ์ของเขา ดาวิดไม่เอาสิ่งที่ตัวเองมีไปเปรียบกับศัตรู แต่รู้ว่าจุดแข็งที่ตัวเองจะสามารถจัดการกับโกลิอัทอย่างไร
          ใน 1ซมอ 17:34-37  ดาวิดทูลซาอูลว่า ''ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเคยดูแลแพะแกะของบิดา และเมื่อมีสิงห์หรือหมีมาเอาลูกแกะตัวหนึ่งไปจากฝูง 35 ข้าพระบาทก็ไล่ตามฆ่ามัน และช่วยกู้ลูกแกะนั้นมาจากปากของมัน ถ้ามันลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระบาท ข้าพระบาทก็จับหนวดเคราของมัน และทุบตีมันจนตาย 36 ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทได้ฆ่าสิงห์และหมีนั้นมาแล้ว คนฟีลิสเตียผู้มิได้เข้าสุหนัตคนนี้ก็เป็นเหมือนสัตว์เหล่า นั้นตัวหนึ่ง ด้วยเขาได้ท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่'' 37 และดาวิดทูลต่อไปว่า ''พระเจ้าผู้ทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากขยุ้มเท้าของสิงห์ และจากขยุ้มเท้าของหมี จะทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากมือของคนฟีลิสเตียคนนี้'' และซาอูลจึงตรัสแก่ดาวิดว่า ''จงไปเถอะและพระเจ้าจะทรงสถิตอยู่กับเจ้า''
          ใน 1ซมอ 17:38-40  แล้วซาอูลก็ทรงเอาเครื่องอาวุธของพระองค์สวมให้ดาวิด ทรงสวมหมวกทองสัมฤทธิ์บนศีรษะของเขา และสวมเสื้อเกราะให้เขา  และดาวิดก็คาดดาบทับเครื่องอาวุธ เขาลองเดินดูก็เห็นว่าใช้ไม่ได้ เพราะเขาไม่ชิน แล้วดาวิดจึงทูลซาอูลว่า ''ข้าพระบาทจะสวมเครื่องเหล่านี้ไปไม่ได้ เพราะ ว่าข้าพระบาทไม่ชิน'' ดาวิดจึงปลดออกเสีย  แล้วจึงถือไม้เท้าไว้ และเลือกก้อนหินเกลี้ยงจากลำธารได้ห้าก้อน จึงใส่ในย่ามผู้เลี้ยงแกะของเขา ในถุงของเขาและมือถือสลิงอยู่ ท่านก็เข้าไปใกล้คนฟีลิสเตียคนนั้น
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ซาอูลเอาจุดแข็งที่ตนเองมีไปวัดกับสิ่งที่ศัตรูมี คือ อาวุธและชุดเกราะ ฉะนั้นก่อนที่ดาวิดจะออกไป ซาอูลก็มอบสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นจุดแข็งของเขาให้ดาวิด คือ เสื้อเกราะและอาวุธครบมือ เพราะคิดว่าจะมีประโยชน์กับดาวิด ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่มีประโยชน์สำหรับดาวิดเลย เพราะมันไม่ใช่จุดแข็งของดาวิด แต่ตรงกันข้ามมันกลับเป็นจุดอ่อนมากกว่า
          จุดแข็งหรือพรสวรรค์หรือของประทาน เรามอบให้กันไม่ได้ ใช้แทนกันไม่ได้ เพราะแต่ละคนมีจุดแข็งและพรสวรรค์ของตัวเอง ที่เราถนัดไม่เหมือนกัน เราเองก็ไม่สามารถยัดเยียดพรสวรรค์หรือจุดแข็งของเราให้คนอื่นได้ คนอื่นจะไม่ถนัด และในมุมกลับเราก็ไม่ควรเลียนแบบหรือพยายามเอาจุดแข็งหรือพรสวรรค์ของคนอื่นมาเป็นของเรา เพราะมันจะไม่มีทางเป็นจุดแข็ง แต่เป็นแค่การเลียนแบบ ซาอูลออกรบทุกครั้งใส่ชุดเกราะอย่างดี แต่ไม่สามารถที่จะเอามาให้ดาวิดใส่ได้
          ดาวิดรู้ว่าถ้าใส่ชุดเกราะออกไปรบเขาจะตายแน่ จะตายเพราะชุดเกราะที่หนักเกินไปสำหรับเขา ดาวิดจึงเลือกอาวุธด้วยตัวเอง เป็นอาวุธที่เขาใช้มาตั้งแต่เด็ก คือ สลิงและก้อนหินเล็กๆ ห้าก้อน ถ้าเอาไปเทียบกับอาวุธของโกลิอัท ก็คงไม่มีทางชนะ และเราคงไม่เรียกว่าอาวุธ เพราะมันเป็นเหมือนของเด็กเล่น แต่มันคือ จุดแข็ง ของดาวิด
          ดาวิดประสบความสำเร็จจนได้เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ โดยเริ่มต้นแสดงฝีมือด้วยอาวุธที่คนมองว่าเป็นของเด็กเล่น แต่นั่นเป็นอาวุธที่เป็นจุดแข็งของดาวิด เพราะเขาใช้มันมาตั้งแต่เด็กๆ เขาชำนาญ เชี่ยวชาญ แม้แต่สิงโตหรือหมีเขาก็สู้และปราบมาแล้ว เขาใช้มันอย่างหวังผลได้ นั่นเป็นจุดแข็งของเขา ดาวิดใช้จุดแข็งเล็กๆ นี้อย่างเกิดผล ใช้มันเป็นก้าวแรกที่นำเขาสู่ความสำเร็จในชีวิต (แน่นอนเรารู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่เบื้องหลัง แต่อยากให้เรามองในมุมมองของมนุษย์และในส่วนที่มนุษย์ต้องทำ)
          1ซมอ.17:46 ในวันนี้พระเจ้าจะทรงมอบท่านไว้ในมือข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะประหารท่านและตัดศีรษะของท่านเสีย และในวันนี้ข้าพเจ้าจะให้ศพของกองทัพฟีลิสเตียแก่นกในอากาศและแก่สัตว์ป่า เพื่อทั้งพิภพนี้จะทราบว่ามีพระเจ้าพระองค์หนึ่งในอิสราเอล
          จุดแข็งที่สุดของดาวิด คือ ความเชื่อของเขาในพระเจ้า ดาวิดรู้ว่าพระเจ้าเป็นกำลังและเป็นผู้ประทานความสามารถให้เขา เขารู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเขา นั่นเป็นแรงผลักดันให้ดาวิดกล้าใช้พรสวรรค์และจุดแข็งได้อย่างเกิดผล เพราะดาวิดไม่ได้เอาจุดแข็งของโกลิอัทมาเทียบกับตัวเอง แต่เอาไปเทียบกับพระเจ้า ดาวิดจึงมองเห็นศัตรูไม่ใหญ่เกินจุดแข็งที่เขามี คือ พระเจ้า
1ซมอ.17:49 และดาวิดเอามือล้วงเข้าไปในย่ามหยิบหินก้อนหนึ่งออกมา แล้วเหวี่ยงหินก้อนนั้นด้วยสายสลิงถูกคนฟีลิสเตียคนนั้นที่หน้าผาก ก้อนหินจมเข้าไปในหน้าผากเขาก็ล้มหน้าคว่ำลงที่ดิน
          ดาวิดเหวี่ยงก้อนหินเข้าที่จุดอ่อนที่สุดของโกลิอัท แม้ว่าศัตรูดูเหมือนมีจุดแข็งมากกว่า แต่ดาวิดไม่ได้มองดูที่จุดแข็ง แต่มองหาจุดอ่อนของศัตรู แม้ว่าจุดอ่อนจะเป็นจุดเล็กๆ ดาวิดก็ชนะด้วยจุดแข็งเล็กๆ ของเขาเช่นกัน
แล้วเราจะค้นหาจุดแข็งของเราได้อย่างไร
        - เราจะมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำสิ่งนั้นๆ อยากทำ ชอบทำ
        - เราจะเราสามารถเรียนรู้ได้เร็วในเรื่องนั้นๆ เรียนได้เร็วกว่าคนอื่น
        - เราจะมีความพึงพอใจ ที่บังเกิดขึ้นเมื่อได้ทำสิ่งนั้นๆ รู้สึกดีมากๆ สนุกกับมัน
เพราะอะไรคนส่วนใหญ่จึงละเลยที่จะพัฒนาจุดแข็งของตัวเอง
          ประการแรก เราให้ความสำคัญกับจุดอ่อนมากกว่าจุดแข็ง
           เช่น เมื่อเราถูกถามว่า เรามีข้อเสียอะไรบ้าง เรามักจะคิดออกได้อย่าอย่างรวดเร็วและมีหลายจุดซะด้วย แต่เมื่อถามว่าเรามีจุดแข็งอะไร เรามักจะคิดนานและถึงแม้คิดออก เราก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นจุดแข็งจริงๆ หรือคงมีคนอื่นดีกว่า ทำให้เราพลาดโอกาสในการพัฒนาจุดแข็งของเรา
          เราที่เป็นพ่อแม่ก็มีส่วนเช่นกัน พ่อแม่ส่วนใหญ่มีทัศนคติว่า คนที่เก่งเลข คณิตศาตร์ เก่งวิทยาศาสาตร์ ดีกว่าคนที่เก่งสังคม เก่งกีฬา เก่งศิลปะ  ถ้าลูกมีจุดแข็งที่ดนตรี หรือกีฬา แต่เราไม่สนใจ มุ่งแต่จะพาลูกไปกวดวิชาคณิตศาสตร์ นั่นเป็นการที่เรากำลังจะสื่อสารกับลูกว่า จุดแข็งของลูกไม่มีความหมาย เพราะมันแค่ไม่ใช่จุดแข็งที่พ่อแม่ต้องการ พ่อแม่ก็พยายามจะให้ลูกแก้ไขคือ ต้องตั้งใจเรียนเพื่อให้วิชาคณิตศาสตร์ได้เกรด A ถามว่ามันคุ้มหรือไม่ที่เราพยายามจะใช้เวลานานกับจุดอ่อนของลูก แทนที่เราจะใช้เวลากับจุดแข็ง...
          ประการที่สอง กลัวล้มเหลว เพราะเราจะรู้สึกแย่เมื่อเราพยายามใช้จุดแข็งแล้วเกิดผิดพลาดล้มเหลวคนอื่นจะดูถูก จะถูกหาว่าขี้อวด ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยเฉย ๆ ดีกว่า          แต่สิ่งที่ควรระวัง คือ การที่เราคิดว่าเรามีจุดแข็งในจุดที่เราไม่มี และพยายามทำจุดนั้นโดยคิดว่ามันคือจุดแข็ง และเราก็พยายามทำทั้ง ๆ ที่มันล้มเหลวเสมอ ๆ แต่เราก็พยายามทำ เช่น เราคิดว่าเราพูดเก่งแต่ไม่สนใจว่าคนฟังรู้สึกอะไร คนอื่นอยากฟังหรือไม่ หรือเราคิดว่าเราเป็นนักบริหาร แต่ทีมกำลังมีปัญหา ทุกคนกำลังหนีห่างออกจากเรา หรือเราคิดว่าจุดแข็งเราคือการเป็นผู้นำ แต่เราไม่รู้สึกว่าไม่ค่อยมีคนตาม
          ประการที่สาม  กล้วว่าจุดแข็งนั้นไม่แข็งพอ บางคนอาจจะสงสัยว่าตัวเองมีจุดแข็งจริง ๆ หรือ สิ่งที่เรามีเป็นจุดแข็งที่ดีพอหรือไม่ เราอาจจะคิดว่าตัวเองไม่ดีพอ และถ้ามีคนอื่นดีกว่าเราจะรู้สึกแย่ และสงสัยว่าที่เราทำได้เพราะโชค เพราะความบังเอิญ การที่เรารู้สึกแบบนั้นไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีพรสวรรค์หรือจุดแข็ง และการพบว่าตัวเองมีน้อยก็ไม่ได้หมายความว่าใช้การไม่ได้ แต่เราสามารถพัฒนาได้ อย่ามองข้ามพรสวรรค์หรือขุดแข็งเล็กๆที่เราพบในตัวเรา เพราะมันสามารถพัฒนาได้ ซึ่งไม่ขึ้นกับว่าคนอื่นมีมาก กว่าเราหรือไม่
          ตัวอย่างคนพิการที่เล่นกีต้าร์ด้วยมือเดียว คนที่เล่นเปียโนด้วยเท้า เขาไม่ได้มองว่าคนอื่นมีจุดแข็งกว่าจนเขาไม่ควรทำอะไรเลย แต่พวกเขากลับใช้จุดอ่อนเพื่อสร้างจุดแข็งจนสามารถทำอย่างที่คนปกติทำไม่ได้
          แต่ ...อะไรทำให้เรามองไม่เห็นจุดแข็งของเรา คือ เราเห็นแต่จุดแข็งของคนอื่น เราเอาจุดแข็งของคนอื่นมาวัดกับจุดแข็งของเรา เราใช้จุดแข็งเดียวกับคนอื่นในขณะที่จุดแข็งของเราด้อยกว่า เหมือนซาอูลจึงทำให้เขาล้มเหลว        
          อย่ามองพรสวรรค์หรือจุดแข็งของเราว่าเล็กน้อยเกินไป และอย่ามองว่าของคนอื่นมีจุดแข็งที่ดีกว่า จำไว้ว่าจุดที่แข็งที่สุดของเราในฐานะคริสเตียน คือ พระเจ้า  ผู้ไม่เคยมีจุดอ่อน ผู้ไม่ทรงล้มเหลว เหมือนดาวิดที่ยึดมั่นในจุดแข็งที่สุดของเขาคือพระเจ้า
เท่านี้คงเป็นจุดแข็งที่ใหญ่เพียงพอแล้วใช่หรือไม่ มอบสิ่งเล็กๆ ที่เรามีให้พระเจ้า และพระองค์ทำให้มันแข็งแรง และใช้การได้...
เพราะฉะนั้น เมื่อเราได้รับการมอบหมายงานจากคริสตจักรหรือจากผู้รับใช้ ให้เรามองที่จุดแข็งที่สุดของเรา คือ พระเจ้า และมองหาจุดแข็งในตัวเอง ค่อยๆพัฒนา พึ่งพาพระเจ้าที่จะเป็นผู้เสริมกำลังเรา
อย่าเป็นเหมือนซาอูล ที่เป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับโกลิอัทซึ่งเป็นนักรบเช่นเดียว กัน แต่มีจุดแช็งที่ใหญ่กว่าของเขา ทำให้เขาใจฝ่อไป โดยลืมว่าพระเจ้าทรงเป็นจุดแข็งที่สุดที่อยู่เบื้องหลังชัยชนะของเขาตลอดมา
แต่จงเป็นเหมือนดาวิด เด็กเลี้ยงแกะตัวเล็กๆ ที่ไม่เอาสิ่งที่มองเห็นจากสายตามาเปรียบเทียบกับตัวเอง แต่เชื่อมั่นในจุดแข็งของตัวเอง และเชื่อมั่นคงว่าพระเจ้าซึ่งเป็นจุดแข็งที่สุดของเขา จะเป็นผู้ทำการอยู่เบื้องหลัง และเขาจะมีชัยชนะอย่างแน่นอน