Friday, August 5, 2016

คริสตจักรที่มีชีวิต

คริสตจักรที่มีชีวิต

    มนุษย์เรามีค่าก็ตอนที่มีชีวิตอยู่ เมือ่เราตายไปแล้วร่างกายก็จะกลับคืนสู่ดิน เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์จากผงคลีดิน  การที่เราจะรักใครก็ต้องรักตอนที่เขามีชีวิตอยู่ รักพ่อแม่ก็ต้องตอบแทนท่านตอนที่ท่านยังอยู่กับเรา ไม่ใช่เมื่อท่านจากไปแล้วค่อยหาอาหารดีๆไปไหว้คนเราเมื่อรักกันแล้วก็คงอยากพบอยากเจอ อยากอยู่ใกล้ชิด แต่ถึงอย่างไร เรารักเขาและแสดงออกได้ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ เมื่อคนหนึ่งคนใดตายแล้ว ไม่มีใครเอาศพวางไว้ในห้องนอนของตนเป็นแน่ ไม่ว่าจะเป็นดารารูปหล่อ หรือ สาวสวย หรือเป็นนางสาวไทย เมื่อตายไปแล้วก็คงไม่มีใครเก็บไว้ที่บ้าน นั่นก็แสดงว่าไม่มีใครชอบคนที่ตายแล้ว  บางคนยังมีชีวิตแต่อยู่ในอาการโคม่า หรือสมองตายแล้วแม้หัวใจยังเต้นอยู่ ในทางการแพทย์ย่อมถือว่าคนผู้นั้นได้ตายแล้ว
คริสตจักรก็เช่นเดียวกัน บางคริสตจักรมีกิจกรรมภายนอก แต่ภายในได้ตายเสียแล้ว ดูภายนอกเหมือนมีชีวิตอยู่ เป็นเหมือนคริสตจักรซาร์ดิส  หนึ่งในเจ็ดคริสตจักรซึ่งอัครสาวกยอห์นได้เขียนจดหมายและส่งไปนั้น วิวรณ์บทที่ 3:1-6  เป็นคริสตจักรที่ดูเหมือนว่า มีชีวิต แต่จริงๆแล้ว ตายเสียแล้ว พระเยซูตรัสว่า “...เจ้าได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ แต่ว่าเจ้าได้ตายเสียแล้ว”   จากพระธรรมตอนนี้เราจะเห็นว่า พระเจ้าไม่พอพระทัยคริสตจักรที่ตายแล้ว ไม่ใช่คริสต จักรทุกแห่งเหมือนกัน คริสตจักรที่มีชีวิตก็มี  คริสตจักรที่ตายแล้วก็มี
คริสตจักรที่เราพบเห็นอยู่ก็แตกต่างกันไป บางคริสตจักรมีสมาชิกเป็นพันคน บางคริสตจักรมีเป็นร้อย บางคริสตจักร มีหลายสิบคน แต่ละคริสตจักรก็มีแนวทางของตนเองตามการทรงนำของพระเจ้า คริสตจักรเล็กๆจะไปเลียนแบบคริสตจักรใหญ่ๆก็คงไม่ได้ เพราะมันคนละขนาด การดำเนินการก็ต่างกัน การบริหารคริสตจักรก็ต่างกัน แต่มีอยู่คริสตจักรหนึ่งที่สามารถเป็นแบบอย่างได้สำหรับทุกคริสตจักร คือคริสตจักรเริ่มแรกในพระคัมภีร์ นั่นก็คือคริสตจักรเยรูซาเล็มในพระธรมกิจการ
นับตั้งแต่วันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เสด็จลงมาเหนือผู้เชื่อในพระธรรมกิจการบทที่ 2  พระผู้ช่วยที่พระเยซูทรกำชับให้เหล่าสาวกรอคอยนั้นได้เสด็จลงมาประทับกับเขาแล้ว วันนั้นก็นับได้ว่าเป็นวันที่คริสตจักรได้ถูกสถาปนาขึ้นอย่างเป็นทางการ และผู้เชื่อได้เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จากผู้เชื่อ 120 คนที่รวมตัวกันรอคอยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ห้องชั้นบน (กิจการ 1.15)  เมื่อพวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันเพ็นเทคอสต์   เปโตรได้เทศนา มี  3000 คนได้กลับใจใหม่และรับบัพติศมาในวันเดียว (กิจการ 2.41) ต่อมาจำนวนผู้เชื่อนับเฉพาะผู้ชายเพิ่มเป็น 5000 คน (กิจการ 4.4) และยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องอีกหลายตอนที่กล่าวถึงในพระธรรมกิจการ ชีวิตของคริสตจักรแห่งนี้น่าประทับใจมาก และได้เห็นถึงเครื่องหมายของคริสตจักรที่มีชีวิต
การเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งที่ท้าทายเราให้มาศึกษาถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้คริสตจักรสมัยเริ่มแรกขับเคลื่อนอย่างมีพลัง
จะทำอย่างไร ที่จะให้คริสตจักรของเราเป็นคริสตจักรที่มีชีวิต โดยมีลักษณะของคริสตจักรเยรูซาเล็มเป็นต้นแบบ
พี่น้องครับ เราจะมาดูกันว่าคริสตจักรเยรูซาเล็มมีลักษณะอย่างไร เราจะอ่านพระธรรมกิจการ 2.42-47 ด้วยกัน
42เขาทั้งหลายได้ขะมักเขม้นฟังคำสอนของจำพวกอัครทูตและร่วมสามัคคีธรรม   ทั้งขะมัก เขม้นในการหักขนมปังและการอธิษฐาน 43เขามีความเกรงกลัวด้วยกันทุกคน   และพวกอัครทูตทำการอัศจรรย์   และหมายสำคัญหลายประการ 44บรรดาผู้ที่เชื่อถือนั้นก็อยู่พร้อมกัน   ณ   ที่แห่งเดียว   และทรัพย์สิ่งของของเขาเหล่านั้นเขาเอามารวมกันเป็นของกลาง 45เขาจึงได้ขายที่ดินและทรัพย์สิ่งของ   มาแบ่งให้แก่คนทั้งปวงตามซึ่งทุกคนต้องการ 46เขาได้ร่วมใจกันไปในพระวิหาร   และหักขนมปังตามบ้านของเขา   ร่วมรับประทานอาหารด้วยความชื่นชมยินดีและใจกว้างขวาง   ทุกวันเรื่อยไป 47ทั้งได้สรรเสริญพระเจ้าและคนทั้งปวงก็ชอบใจ   ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า   ได้ทรงโปรดให้คนทั้งหลายซึ่งกำลังจะรอด   มาเข้ากับพวกสาวกทุกวันๆ
เราจะเห็นคุณสมบัติ 4 ประการของคริสตจักรเยรูซาเล็ม
          1. เป็นคริสตจักรที่ชอบเรียนพระวจนะของพระเจ้า (42 ก)
           “เขาทั้งหลายได้ขะมักเขม้นฟังคำสอนของจำพวกอัครทูต”  หลังจากที่พวกเขาได้กลับใจใหม่และรับบัพติศมาแล้ว เขาขะมักเขม้นฟังคำสอนของอัครทูต   พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เปิดโรงเรียน  อัครทูตเป็นครู และคนที่รับบัพติศมา 3,000  คนเป็นนักเรียน ทำให้ความเชื่อของเขาเข้มแข็งและถูกต้อง การกระทำของพวกเขาก็ถูกต้องเช่นเดียวกัน
           มีสองคำที่น่าสังเกตุดู
          คำแรก คือ ขะมักเขม้นฟัง หรือในฉบับ2011 ใช้คำว่า อุทิศตัว ไม่ใช่ฟังเฉยๆ แต่ตั้งใจฟัง เอาจริงเอาจัง ฟังอย่างจริงใจ ไม่หันซ้ายแลขวา  ไม่คุยกัน จริงจังกับการศึกษาพระคำของพระเจ้า อยากจะรู้เรื่องของพระเจ้ามากขึ้น   ถ้าคริสตจักรเยรูซาเล็มมัวแต่คุยกัน ตื่นเต้นกับความเชื่อที่ได้รับ เป็นไงครับ  3000 คน เสียงคงจะระงมจนไม่ได้ยินคำสอนจากอัครทูต  สมัยนั้นยังไม่มีไมโครโฟน ไม่มีเครื่องเสียง  เขาขะมักเขม้นฟัง  เงียบ  ตั้งใจฟัง เพราะอยากรู้จักพระเยซู อยากโต อยากรับใช้ 
แต่ ปัจจุบันมีเครื่องเสียงอย่างดี ผู้เทศนายังต้องตะโกนเสียงแข่งกับผู้ฟัง พี่น้องครับ ให้เราตั้งใจฟังคำสอน เพื่อเราจะเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ ให้เราวางรากฐานของคริสตจักรบนพระวจนะของพระเจ้า เพื่อเราจะรู้และเข้าใจในน้ำพระทัยอย่างถ่องแท้
เมื่อเราศึกษาในพระคัมภีร์ใหม่ เราจะเห็นถึงการล่อลวง คำสอนผิดแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรหว่านคำสอนผิดในหมู่ผู้เชื่อ เช่น (โคโลสี ทิตัส )
พวก นอสติค ซึ่งหมายถึงความรู้ พวกเขาจะสนใจแต่ความรู้ คิดว่าตนเองมีความรู้เหนือผู้อื่น และสอนว่าร่างกายเป็นสิ่งที่เลวร้าย วิญญาณเป็นสิ่งที่ดี เพราะฉนั้นจะใช้ร่างกายทำอะไรก็ได้ไม่ผิด เพราะชีวิตจริงอยู่ในฝ่ายวิญญาณ ทำให้ผู้หลงติดตามทำผิดบาป
พวกเน้นพระคุณแบบสุดโต่ง อาศัยพระคุณอย่างเดียว จะทำผิดบาปอย่างไรก็ไม่เป็นไร เพราะพระคุณให้รอดแล้ว ทำให้ผู้เชื่อดำเนินชีวิตหย่อนยาน ขาดความยำเกรงพระเจ้า ใช้ชีวิตในความบาปไม่ต่างจากคนทั่วไป ทำให้พระนามของพระเจ้าเสียเกียรติ
พวกเน้นธรรมบัญญัติ เป็นคริสเตียนแล้วยังต้องกลับไปเข้าสุหนัต ทำให้ขาดเสรีภาพในชีวิตใหม่ โดยเอาธรรมบัญญัติมาเป็นแอกสวมทับผู้เชื่อ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นคริสตจักรใหญ่หรือเล็ก เพราะเราขาดความเข้าใจในพระวจนะ จึงทำให้ถูกล่อลวงให้หลงไป
ยิ่งในโลกปัจจุบันที่มีสิ่งล่อลวงมากมาย จนคริสตจักรแทบจะไม่สามารถสร้างเกาะป้องกันให้กับสมาชิกได้ คริสตจักรจึงจำเป็นต้องหนุนใจให้สมาชิกรักพระคำของพระเจ้า ศึกษาพระคำให้เข้าใจลึกซึ้ง สิ่งนี้เท่านั้นจะเป็นเกาะป้องกันสมาชิกให้เติบโตขึ้นและก้าวไปสู่การรับใช้ที่เกิดผล
การเข้าใจในพระคำของพระเจ้าจะสร้างเราให้เป็นคนที่มีหลักการ มีวิจารณญานในการแยกแยะสิ่งถูกผิด เราไม่ได้อ่านพระคัมภีร์เพียงเพื่อจะเอาไปสอนหรือเอาไปเลี้ยงน้องเลี้ยงเท่านั้น แต่เพื่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเราเองให้เติบโต และปกป้องตนเองได้ด้วย
          คำที่สอง คือพวกอัครทูต   พระเจ้าทรงโปรดให้คำสอนของอัครทูตมีสิทธิอำนาจโดยที่ให้อัครทูตได้กระทำการอัศจรรย์และหมายสำคัญหลายประการ (43) ในทุกวันนี้ ไม่มีตำแหน่งอัครทูต แต่คำสอนของอัครทูตได้ถูกรวมอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่   เราจึงควรเรียนและเชื่อฟังพระคัมภีร์   การเรียนพระคัมภีร์เป็นวิธีสร้างความเชื่อให้มั่นคงและแข็งแรง
พี่น้องครับ ท่านรู้หรือไม่ว่า ในยามที่คนเราอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความรักนั้น สิ่งที่เราปรารถนาจะทำก็คือการบอกให้บุคคลที่เรารักได้รับรู้ และเข้าใจความรู้สึกของเราว่า "เรารักเขา" และสื่อเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในเรื่องนี้ . . . และสื่อที่ดีที่สุด ที่ช่วยให้คู่รักจำนวนมากได้เข้าใจกันอย่างลึกซึ้งคือจดหมาย”  ในชีวิตของเราแต่ละคนคงเคยอ่านหนังสือมากมายหลายประเภทแต่ไม่มีการอ่านครั้งใดที่จะสร้างความรู้สึกที่ดีให้เราเท่ากับการอ่านจดหมายจากคนที่เรารัก
พี่น้องที่รัก วันนี้ท่านอ่านจดหมายรักจากพระเจ้าด้วย ความรู้สึกอย่างเดียวกับจดหมายรักจากคนที่ท่านรักหรือไม่ พระองค์ปรารถนาที่จะสื่อความรักของพระองค์สู่ท่านแบบ จากใจถึงใจ จากความรู้สึกลึกซึ้งของพระองค์สู่อารมณ์ลึกๆของท่าน จากน้ำพระทัยที่แสนประเสริฐสู่ความประทับใจของท่าน   ดังนั้นเวลาอ่านพระคัมภีร์อย่างมองแค่เนื้อความที่ บรรยายไว้เท่านั้น และจงมองให้เห็นความรักอันยิ่งใหญ่จากใจ ของพระองค์ที่มีต่อท่านเป็นส่วนตัวด้วย แล้วท่านจะได้รับประสบการณ์ใหม่ในความซาบซึ้งถึงความรักจากพระองค์
          คริสตจักรที่ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นคริสตจักรที่เรียนพระคัมภีร์และเชื่อฟังพระคัมภีร์  เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำคริสตจักรให้เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นวิญญาณแห่งความจริง ทรงนำเราไปสู่ความจริงทั้งมวล ดังนั้น เราควรเรียนจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงเป็นผู้สอนพระวจนะของพระเจ้า ในเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงสอนพระคัมภีร์ผ่านทางมนุษย์        พระองค์ทรงแต่งตั้งบางคนให้เป็น ศิษยาภิบาลและอาจารย์   ให้สอนพระคัมภีร์   เราจึงมาเรียนพระคัมภีร์จากศิษยาภิบาลและอาจารย์
          2. เป็นคริสตจักรที่ชอบร่วมสามัคคีธรรม (42 ข)
            “เขาทั้งหลายได้ขะมักเขม้น... ร่วมสามัคคีธรรม
          คำว่าสามัคคีธรรมที่นี่ มีความหมายสองอย่าง สองอย่างนี้แยกออกจากกันไม่ได้ เหมือนเงินเหรียญสองด้าน
          2.1  ร่วมสามัคคีธรรมกับพระเจ้า
เราทั้งหลายก็ร่วมสามัคคีกับพระบิดาและกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์”(1 ยอห์น 1.3)
การมีสามัคคีธรรมกับพระเจ้า เราทำได้หลายทาง
-                  การอธิษฐาน การวิงวอน เราสามารถอธิษฐานกับพระเจ้าได้ตลอดเวลา ไม่ว่าเวลาสุข ทุกข์ มีปัญหา ต้องการการทรงช่วย หรือต้องการขอบคุณสรรเสริญพระเจ้าได้โดยตัวเราเอง ไม่เหมือนในสมัยพระคัมภีร์เดิมที่จะต้องมีปุโรหิตเป็นคนกลาง ต้องมีเครื่องเผาบูชา แต่โดยพระคุณพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ เราสามารพูดคุยกับพระองค์ได้โดยตรง
ลองคิดดู ถ้าเราจะคุยกับคนที่เรารัก เราต้องมีคนกลาง เป็นไงครับ ไม่สนุกเลย
- การนมัสการ การเข้ามาในคริสตจักร นมัสการและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าก็เป็นการสามัคคีธรรม
- การอ่านพระคัมภีร์ หรือการฟัง ก็เป็นการสามัคคีธรรมกับพระเจ้า ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน นั่งรถไฟฟ้า ก็อ่านหรือฟังพระคัมภีร์ได้ เวลาขับรถก็ฟังพระคำ หรือฟังเพลงนมัสการ หรืออธิษฐานได้ แต่ห้ามหลับตา ไม่งั้นตัวใครตัวมัน
          2.2  ร่วมสามัคคีธรรมกับพี่น้อง คือ แบ่งให้แก่คนอื่น ไม่ใช่รับอย่างเดียว แต่ให้ด้วย
ในสังคมปัจจุบัน แต่ละคนก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัว ไม่ต้องการให้ใครเข้ามาแทรกแซง ความเหน็ดเหนื่อยจากหน้าที่การงาน รถติด ทำให้เราต้องการพัก ไม่อยากเข้าร่วมการสามัคคีธรรม คิดหาวิธีที่จะสามัคคีธรรมโดยไม่ต้องไปพบปะกัน เช่น ทางไลน์ ทางเฟสบุ๊ค การโทรศัพท์ การทำเช่นนั้นก็ดีแต่อย่างน้อยก็ต้องมีสักวันที่เราได้พบปะกัน พูดคุย แลกเปลี่ยน ปรึกษา ช่วยกันแก้ปัญหา อธิษฐานเผื่อกัน สร้างความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง คำว่า สามัคคีธรรมในพระคัมภีร์ใช้คำว่า คอยโนเนีย คือการเข้าหุ้นส่วนชีวิต ไม่ใช่มาโบสถ์แค่นมัสการแล้วก็กลับบ้านไป แต่มันเป็นการมาใช้ชีวิตร่วมกัน ช่วยขัดเกลาซึ่งกันและกัน
คริสตจักรไม่ใช่โรงหนัง ไม่ใช่การแสดงคอนเสิร์ต ดูจบก็แยกย้ายกันกลับบ้านโดยไม่ได้สัมพันธ์กับใคร แต่พระเจ้าทรงต้องการให้คริสตจักรเป็นสถานที่ที่ผู้เชื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระกาย มีความสัมพันธ์เหมือนอวัยวะที่เชื่อมประสานกันของร่างกาย  ถ้าเราเอาอวัยวะต่างๆมากองรวมกันไว้ เรียกว่าร่างกายได้มั๊ยครับ ทุกอวัยวะต้องเชื่อมต่อสนิทกัน เราก็เช่นเดียวกันเป็นอวัยวะหนึ่งในคริสตจักรประสานกันกับพี่น้องคนอื่นๆ  คริสตจักรจึงจะเคลื่อนไปข้างหน้าได้
ผู้เขียนพระธรรมกิจการ คือลูกาได้แสดงให้เห็นถึงวิธีการที่คริสเตียนในยุคแรกได้แบ่งสิ่งของของตัวเองให้แก่คนอื่นอย่างต่อเนื่องบรรดาผู้ที่เชื่อนั้น ก็อยู่พร้อมกัน ณ ที่แห่งเดียว และทรัพย์สิ่งของของเขาเหล่านั้น เขาเอามารวมกันเป็นของกลาง เขาจึงได้ขายที่ดินและทรัพย์สิ่งของ มาแบ่งให้แก่คนทั้งปวงตามซึ่งทุกคนต้องการ”(44-45)
           พระคัมภีร์ข้อเหล่านี้ทำให้เราสับสนบ้าง บางคนบอกว่า ข้อเหล่านี้เหมือนคอมมิวนิสต์ แต่จริงๆแล้ว ไม่เหมือน เพราะว่า พวกคอมมิวนิสต์นั้นเป็นผู้แบ่งให้ ไม่มีคนรวย ไม่มีคนจนโดยใช้อำนาจ  โดยการบังคับ แล้วผู้มีอำนาจเป็นคนส่วนน้อยรวย คนส่วนใหญ่ยากจน แต่คริสเตียนยุคแรกได้กระทำด้วยความสมัครใจ ไม่มีใครบังคับ
            อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้สับสนคือ  เมื่อคริสเตียยุคแรกทำเช่นนี้ เราจึงต้องทำเช่นนั้นตามตัวอักษรหรือเปล่า  ต้องขายที่ดินและทรัพย์สินส่วนตัวเอามาแบ่งให้หรือ พระคัมภีร์ไม่ให้มีทรัพย์สินส่วนตัวหรือ แน่นอน พระเจ้าทรงเรียกบางคนให้ทำอย่างนั้นด้วยความสมัครใจ แต่ไม่ใช่ทุกคน คริสเตียนยุคแรกบางคนขายที่ดินและเอามาแบ่งให้ด้วยความสมัครใจ แต่คนอื่นๆยังมีทรัพย์สินส่วนตัว
ในข้อ 46 บอกว่า หักขนมปังตามบ้านของเขาแสดงให้เห็นว่า เขาเหล่านั้นยังมีบ้านของเขาเอง    
ในกิจการบทที่ 5 เราเห็นได้ว่า ความบาปของอานาเนียกับสัปฟีรานั้น ไม่ใช่ความโลภ หรือวัตถุนิยม แต่ความหลอกลวง เขาได้ขายที่ดิน และเก็บค่า ที่ดินส่วนหนึ่ง แล้วเอาส่วนที่เหลือมามอบให้แก่อัครสาวก ทำท่าเหมือนเอาค่าที่ดินทั้งหมดมาถวาย   เปโตรได้บอกอย่างชัดเจนว่า เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้ามิใช่หรือ เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในอำนาจของเจ้ามิใช่หรือ ... เจ้ามิได้มุสาต่อมนุษย์ แต่ได้มุสาต่อพระเจ้า” (กิจการ 5.4)
 เมื่อเปโตรได้ถูกปล่อยจากคุก เขาก็ไปหาบ้านของมารีย์ มารดาของมาระโก เห็นได้ว่า มารดาของมาระโกก็ยังมีบ้านของตน(กิจการ 12)
             เราจึงควรทำด้วยความสมัครใจ และไม่ใช่เห็นแก่หน้าคนหนึ่งคนใด   แต่ทำจำเพาะพระพักตรพระเจ้า
การที่คริสเตียนมีทรัพย์สินส่วนตัวนั้นไม่ผิดอะไรเลย แต่ในเวลาเดียวกัน พระเจ้าทรงเรียกเราให้ดูแลคนยากจน  คนขัดสนและเดือดร้อน     คริสเตียนยุกแรกได้วางแบบอย่างในเรื่องนี้ด้วยความสมัครใจ ความสามัคคีธรรมของคริสเตียน คือความรักซึ่งกันและกัน ความรักซึ่งกันและกันของคริสเตียนก็คือการดูแล    การดูแลของคริสเตียน คือการแบ่งให้ ไม่ควรกล่าวโทษ ไม่ควรอิจฉาริษยา ไม่ควรนึกเสียดาย     
ในชุมชนคริสเตียนนั้น คนยากจนก็ไม่รู้สึกอาย และคนรวยก็ไม่อวดตัว   แต่ร่วมกันทำให้ลดความยากจนและไม่ให้มีใครขัดสน    นี่แหละเป็นความรับผิดชอบของคริสเตียนที่ประกอบ ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชุมชนแห่งความเชื่อ
ในการทรงสร้างสรรพสิ่งของพระเจ้า พระองค์สร้างเสร็จพระองค์ทรงเห็นว่าดี และดียิ่งนัก แต่มีสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าทรงเห็นว่าไม่ดี คือ ในปฐมกาล 2.18 "การที่ชายผู้นี้จะอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขาขึ้นแสดงให้เห็นว่ามนุษย์จะอยู่เพียงลำพังไม่ได้ จะต้องมีส่วนร่วมซึ่งกันและกัน เป็นสังคม เพราะฉะนั้นคริสเตียนจะต้องมีการสามัคคีธรรมกับพี่น้อง จะแค่ส่งไลน์แชทกันแค่นั้นไม่ได้ ต้องมาสามัคคีธรรมที่คริสตจักรด้วย
          3. เป็นคริสตจักรที่ชอบนมัสการพระเจ้า (42 ค)
           “เขาทั้งหลาย...ทั้งขะมักเขม้นในการหักขนมปังและการอธิษฐานหักขนมปัง คงหมายถึงการถือศีลมหาสนิท การอธิษฐานที่นี่ คงหมายถึงประชุมอธิษฐาน หรืออธิษฐานร่วมกัน หมายความว่า คริสเตียนยุคแรกได้ขะมักเขม้นนมัสการพระเจ้า
เพราะการนมัสการเป็นวิธีหนึ่งที่เราจะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า
แท้ที่จริงแล้ว มนุษย์ทุกคนแสวงหาการนมัสการอยู่ในชีวิตของเขา
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาโดยมีช่องว่างในใจของเขา  ช่องว่างนั้นมีรูปทรงแบบพระเจ้า มนุษย์พยายามจะเอาจิ๊กซอว์ และหาสิ่งสารพัดมาเติมในช่องว่างนั้น ไม่ว่าจะเป็น เงิน เกียรติ ทรัพย์สมบัติ รูปเคารพ ไสยศาสตร์ มาเติมให้เต็ม แต่เติมยังไงก็ไม่มีวันเต็ม เพราะช่องว่างนั้นเป็นลักษณะของพระเจ้า มันจึงจำเป็นที่จะถูกเติมให้เต็มโดยพระเจ้าเท่านั้น
             การนมัสการพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดสำหรับคริสเตียน เมื่อเราประสบความสำเร็จในการนมัสการพระเจ้า เราก็จะประสบความสำเร็จในการกระทำทุกอย่าง พระเจ้าทรงประสงค์ให้เรานมัสการพระองค์ พระองค์ทรงแสวงหาคนที่นมัสการพระองค์
มีคำพูดประโยคหนึ่งกล่าวว่า "คริสเตียนที่ไม่จัดเวลาอย่างจริงจังสำหรับการอธิษฐาน ในไม่ช้าเขาก็จะไม่มีเวลาเหลืออยู่แม้แต่นาทีเดียวที่จะใช้ในการอธิษฐาน" ข้อความนี้ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นจริง แต่เราพบว่าในปัจจุบันนี้มี      คริสเตียนไม่น้อยที่ไม่มีเวลาสำหรับอธิษฐานจริงๆ  และสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ คริสเตียนเหล่านั้นมัวแต่มองหาเวลาที่จะอธิษฐานทุกวัน แต่ก็ไม่เคยเจอสักวันเดียว เพราะเวลาแห่งการอธิษฐานในชีวิตประจำ วันของเราจะเกิดขึ้นจากการจัดเวลาของเราแต่ละคนเท่านั้น ขอยืนยันว่าตราบใดที่ท่านยังไม่คิดที่จะจัดเวลาสำหรับการอธิษฐาน ท่านก็ไม่มีทางที่จะพบเวลาที่จะใช้ในการอธิษฐานได้เลย
ให้เราจัดเวลาสำหรับการอธิษฐานส่วนตัว ให้เราเป็นแบบอย่างสำหรับพี่น้อง สำหรับน้องเลี้ยงของเราในการอธิษฐาน
เราสามารถสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ 2 ทาง คือการพูด และ การฟัง ถึงแม้ว่าพระเจ้าทรงสัพพัญญูรู้ทุกอย่าง แต่พระองค์ก็ยังต้องการให้เราอธิษฐาน เพื่อพูดคุยเรื่องราวของเรากัพระองค์
ในชีวิตของเราต้องผ่านการตัดสินใจอะไรมากมาย เมือ่เราก้มลงอธิษฐาน เราจะรู้น้ำพระทัยของพระองค์
          4. เป็นคริสตจักรที่ชอบประกาศข่าวประเสริฐ (47)
            “... ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งหลายซึ่งกำลังจะรอด มาเข้ากับพวกสาวกทุกวันๆ”  
การเรียนพระคัมภีร์ การสามัคคีธรรม และการนมัสการพระเจ้านั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในคริสตจักร ถ้าคริสตจักรมีสามสิ่งเหล่านี้เท่านั้น  ยังไม่สมบูรณ์
คริสตจักรเยรูซาเล็มเป็นคริสตจักรที่มีชีวิตที่สมบูรณ์ เพราะไม่ลำเอียงไปข้างเดียว ถึงแม้พวกเขาได้ขะมักเข้มนฟังคำสอน สามัคคีธรรมและนมัสการพระเจ้า แต่ยังไม่ลืมการเป็นพยานฝ่ายพระเยซูแก่คนนอกคริสตจักร
มีสามสิ่งที่เราควรเรียนรู้เกี่ยวกับการประกาศของคริสตจักร
             4.1  คำว่า ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าแสดงถึง  พระเยซูเองได้ทรงการะทำ   พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ประกาศยอดเยี่ยม เราจึงประกาศโดยพึ่งวางใจในพระองค์ด้วยความถ่อมใจ
             4.2   พระเยซูทรงโปรดนำคนที่จะรอด มาเข้ากับพวกสาวก และเข้ามาในคริสตจักร คนที่พระองค์ทรงนำมานั้น พระองค์ทรงให้เขาได้รับความรอดด้วย   ความรอดกับการเข้าโบสถ์ควรเดินไปเคียงข้างกัน ไม่ใช่เชิญคนมาที่โบสถ์เฉย มาสนุกสนานกับงานคริสตมาสหรือเทศกาล งานรื่นเริงต่างๆ แต่ลืมบอกหรือไม่ได้บอกเขาเกี่ยวกับความรอดที่พระเจ้าทรงประทานให้ หัวใจสำคัญของการประกาศคือ ข่าวประเสริฐเรื่องความรอด
             4.3   พระเยซูทรงเพิ่มเติมคนทุกวันๆเรื่อยไป ลูกาได้รายงานให้เราทราบว่า พระองค์ทรงเพิ่มคนให้เข้ามาโบสถ์อย่างไร  ในข้อ 2.41  มี 3,000คน   ในข้อ 4.4 มี  5,000 คนเฉพาะผู้ชาย   ในข้อ 5.4 มากกว่าก่อน  ในข้อ  6.1-2 ทวีมากขึ้น และในข้อ  9.31 คริสตจักรในที่ต่างๆจำเริญขึ้น และคริสตสมาชิกก็ยิ่งทวีมากขึ้น
          เราได้เห็นเครื่องหมายของคริสตจักรที่มีชีวิตจากคริสตจักรเยรูซาเล็มอย่างชัดเจน นั่นก็คือ คริสตจักรที่ชอบเรียนพระคัมภีร์    ชอบร่วมสามัคคีธรรม      ชอบนมัสการพระเจ้า และชอบประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู
          อย่าลืมให้คริสตจักรของเราเป็นเหมือนแหล่งผลิต Oxygen ซึ่งเปรียบได้กับคำหนุนใจ ให้คริสตจักรอบอวลไปด้วยคำหนุนใจ หันไปทางซ้ายก็หนุนใจ หันไปทางขวาก็กำลังใจ ใครคนไหนใกล้ตายเหมือนคนขาดออกซิเจน พอก้าวเข้ามาในโบสถ์ เขาจะหายใจโล่งทันที เพราะโบสถ์เราเป็นแหล่งผลิตออกซิเจน และจะให้ดีกว่านั้น ให้เราสามารถส่งออกซิเจนไปให้ผู้อื่นที่อยู่ไกลไม่สามารถมาโบสถ์ ได้ โดยใช้สื่อ Social network
ให้ออกซิเจนนะครับ แต่อย่าปล่อยคารบอนไดออกไซด์ในโบสถ์ เดี๋ยวคนอื่นจะอึดอัดหายใจไม่ออก
ขอให้เราาร่วมมือร่วมใจสร้างคริสตจักรของเราให้เป็นคริสตจักรที่มีชีวิต
ขอพระเจ้าอวยพระพร


ชีวิตมีคุณค่า ด้วยเมตตาของพระคริสต์

ชีวิตมีคุณค่า ด้วยเมตตาของพระคริสต์

เมื่อรถไฟแล่นออกจากสถานีตามปกติได้สักครู่ ระหว่างจะเข้าสู่สถานีหนึ่งระหว่างทาง ได้เกิดอุบัติเหตุชนชายคนหนึ่งที่สติไม่ดี ทำให้ต้องหยุดรถกะทันหัน ปรากฎว่าชายสติไม่ดีนั้นขาขาด แต่ยังไม่เสียชีวิต จึงเกิดความชุลมุนขึ้น ต่างตะโกนให้โทรหามูลนิธิ และรถพยาบาลเพื่อมาช่วยนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล ระหว่างนั้นก็มีเสีนงบ่นของผู้โดยสารบางคน ซวยชิบหาย ...ไปทำงานไม่ทันแน่ๆหลายคนทำหน้าตาหงุดหงิด เซ็ง ที่ตนเองต้องเสียนัด หรือเสียผลประโยชน์ส่วนตน 
เมื่อชาวบ้านที่อยู่ระแวกนั้นต่างมามุงดูเหตุการณ์ แล้วพูดถึงชายคนนี้ว่าเขาสติไม่ดี เที่ยวไปขอของชาวบ้านกิน แล้วบางครั้งก็เห็นเอามานั่งกินที่รางรถไฟ  พร้อมกับพูดด้วยความสมเพชถึงคนเจ็บว่า ตายเสียได้ก็ดี จะได้ไม่ต้องมารบกวนคนอื่น
หลังจากรถมูลนิธิได้มานำตัวคนเจ็บส่งโรงพยาบาล รถไฟก็สามารแล่นต่อไปได้ ผู้โดยสารที่บ่นๆต่างก็แสดงสีหน้าด้วยความยินดีออกมาอย่างชัดเจน ไม่รู้ว่ายินดีที่ชายคนนั้นได้รับความช่วยเหลือ หรือยินดีที่ตนเองจะได้รีบไปทำธุระหรือไปทำงานเสียทีหลังจากที่เสียเวลามานาน ทำไมบางคนเห็นธุระเร่งด่วนของตนสำคัญกว่าชีวิตของคนๆหนึ่ง หรือชาวบ้านคนนั้นที่มากำหนดชีวิตของชายคนนี้ว่า ตายเสียได้ก็ดี
ชีวิตคนๆหนึ่งมันไร้ค่าขนาดนั่นเชียวหรือ แม้ว่าชายคนนั้นจะสติไม่ดี ดูมีฐานะทางสังคมที่ด้อยกว่าคนอื่น ไม่มีอาชีพที่เชิดหน้าชูตาเหมือนคนอื่น ต้องเก็บขยะ ต้องขอชาวบ้านกิน แต่เขาก็เป็นคนๆหนึ่งที่มีสิทธิเท่าเทียมที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกเช่นเราเหมือนกัน อย่าให้เราเห็นคนอื่นไร้ค่าหรือมีค่าน้อยกว่าเรา
โดยเฉพาะในสายพระเนตรของพระเจ้า เขาเป็นผู้ที่พระองค์ทรงรักมากเช่นเดียวกับที่ทรงรักเรา
พระธรรม มาระโก 5:1-20
พระธรรมตอนนี้ พระเยซูทรงรักษาชายที่ถูกผีสิง จากคาเปอรนาอูม พระเยซูกับเหล่าสาวกข้ามทะเลสาบกาลิลี ไปยังฝั่งเกราซา เมื่อเราอ่านพระธรรมตอนนี้ เราจะเห็นว่าพระองค์ทรงตั้งใจไปเพื่อภารกิจนี้อย่างเดียว พระองค์ทรงเห็นคุณค่าของคน มากกว่าทรัพย์สินเงินทองหรือเวลาที่จะต้องเสียไป
พระธรรมตอนนี้ได้ชี้ให้เราเห็นถึงชีวิต 4 แบบ คือ
1.     ชีวิตที่ไร้ค่า
- ใครรู้สึกว่าชีวิตตัวเองไร้ค่าบ้าง
- แต่คงไม่มีใครไร้ค่าเท่าชายที่ถูกผีสิงในพระคำตอนนี้
- เขามีพลังมาก แต่ต้องอยู่ลำพังตามอุโมงค์ฝังศพ
- เขาทำร้ายตัวเอง
- ผีใช้ร่างกายของมนุษย์ในทางที่เสียหาย เพื่อบิดเบือนและทำลายความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า และทำให้พระลักษณะของพระเจ้าในมนุษย์นั้นเสียไป แม้ในโลกปัจจุบัน ผีมารซาตานก็ยังสามารถสร้างความพินาศให้กับมนุษย์เช่นเดิม แต่วิธีการอาจจะเปลี่ยนไป เราจึงต้องรู้ทันกิจการชั่วของมัน อย่าให้มันหลอกเราว่าชีวิตของเราหรือคนอื่นใดนั้นไร้ค่า
- เป้าหมายของผีมารคือ เพื่อควบคุมคนที่มันสิงอยู่ เป้าหมายของพระเยซูคือ เพื่อปลดปล่อยมนุษย์จากความผิดบาปและจากการควบคุมของผีมาร
2.     ชีวิตที่มีค่ามากกว่าทุกสิ่ง
-          พระเยซูกับเหล่าสาวกนั่งเรือข้ามทะเลกาลิลีไปยังฝั่งตรงกันข้าม และพวกเขาได้เจอกับพายุ พระเยซูทรงห้ามพสยุ
-          ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกชัดเจนถึงพระประสงค์ของพระเยซูที่ทรงข้ามไปฝั่งโน้น แต่อ่านแล้วก็เห็นว่าพระองค์ไปเพื่อช่วยชายคนนี้ พระเยซูทรงทำพระราชกิจเพียงอย่างเดียว คือ ขับผีโสโครกออก แล้วก็กลับ
-          ฝั่งโน้นเป็นฝั่งที่ชาวต่างชาติอาศัยอยู่ เพราะชาวยิวไม่เลี้ยงหมู (ลนต 11.7)
-          แสดงว่าพระเยซูทรงให้ความสำคัญกับชายคนนี้มาก ในขณะที่คนส่วนใหญ่มองว่าเขาเป็นคนไร้ค่า
-          หากเราคิดในแง่ความคุ้มค่า เราอาจจะคิดว่าคุ้มหรือไม่ที่อุตส่าห์เดินทางมาไกล เพียงเพื่อช่วยเหลือชายผีเข้าเพียงคนเดียว (พระองค์มีคนติดตามมาก)
-          ไม่เพียงแต่ที่พระเยซูยอมอุทิศเวลาให้ชายคนนี้ พระองค์ยังเห็นว่าชีวิตของชายคนนี้มีค่ามากกว่าทรัพย์สินเงินทอง
-          กอง เป็นหน่วยใหญ่ที่สุดของกองทหารโรมัน กองหนึ่งอาจจะมีทหารถึง 3000 คน ผีมารรู้ว่ามันไม่มีอำนาจเหนือพระเยซู ฉะนั้นเมื่อมันเห็นพระองค์ ผีทั้งกองพลจึงอ้อนวอนพระองค์ไม่ให้ส่งมันไปนรกขุมลึก (ในลูกา 8.31) ให้อนุญาตให้มันไปสิงในฝูงสุกร พระองค์ก็ทรงยอม  พระองค์สามารถส่งพวกมันไปลงนรกขุมลึก แต่พระองค์ไม่ได้ทำเช่นนั้นเพราะยังไม่ถึงเวลาพิพากษา แต่ในท้ายที่สุดนั้น ผีมาทั้งหลายจะถูกทิ้งในบึงไฟนิรันดร์ (มัทธิว 25.41)
-          ใครทราบว่าสุกรตัวหนึ่งราคาเท่าไหร่
-          ราคาสุกรที่ฟาร์มโดยเฉลี่ยราคากิโลกรัมละประมาณ 70 บาท
-          สุกรขุนมีน้ำหนักประมาณ 100 กิโลกรัม
-          สุกร 1 ตัวจึงมีราคาประมาณ 7000 บาท
-          สุกร 2000 ตัว มีราคาประมาณ 14 ล้านบาท
-          มีคริสตจักรหรือองค์กรใดบ้างที่ยอมลงทุน 14 ล้านบาทเพื่อดวงวิญญาณ 1 ดวง
3.     ชีวิตที่ลดคุณค่า
-          เจ้าของสุกรแทนที่จะดีใจที่ชายที่ถูกผีสิงหายเป็นปกติพวกเขากลับตกใจและไม่พอใจกับสิ่งที่พระเยซูทำ (เหมือนชายที่สติไม่ดีถูกรถไฟทับ)
-          แทนที่พวกเขาจะต้อนรับพระเยซู แต่พวกเขากลับอ้อนวอนให้พระเยซูออกไปจากเมืองของพวกเขา พวกเขาคงกลัวว่าพระเยซูจะทำลายหมูของเขาอีก พวกเขายอมไม่เอาพระเยซูดีกว่าเสียรายได้ของเขา
-          พวกเขาเห็นคุณค่าของสุกรมากกว่าชายคนนั้น
-          พวกเราอาจจะรู้สึกเสียดายทรัพย์สินเงินทองของเราเช่นกัน ถ้าเราต้องเลือกระหว่างความรอดกับทรัพย์สินเงินทอง เราจะเลือกอะไร
-          เราอาจจะคิดว่าสุกรมีค่ามาก แต่เมื่อเทียบกับความรอดที่เราได้รับแล้วมันมีค่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
-          เราต้องตระหนักว่า เมื่อถึงวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาพิพากษาโลกนั้น  ทรัพย์สิ่งของทุกอย่างนั้นก็ไร้ค่าและจะถูกทำลายหมดสิ้น


4.     ชีวิตที่ทวีคุณค่า
-          ในพระธรรมตอนอื่นๆ พระเยซูมักจะเรียกสาวกให้ติดตามพระองค์และเมื่อมีเรือลำอื่นติดตามพระองค์มาด้วย พระองค์ก็ไม่ได้ว่าอะไร
-          เมื่อชายที่ถูกผีสิงขอติดตามพระองค์ไป พระองค์กลับไม่อนุญาต แต่สั่งให้เขากลับไปยังบ้านเมืองของเขาและให้บอกคนอื่นถึงเรื่องที่พระองค์ได้ทรงกระทำกับเขา
-          การรักษาครั้งอื่นๆ ส่วนมากพระเยซูจะตรัสกำชับในผู้ที่ได้รับการรักษาให้นิ่งเงียบไว้ แต่ทำไมครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งอื่น  อาจจะ
1.  ชายที่ถูกผีสิงอยู่โดดเดี่ยวมานาน พูดไม่ได้ การไปเล่าให้ผู้อื่นฟังถึงสิ่งที่พระเยซูทรงทำกับเขาเป็นการพิสูจน์ว่าเขาหายแล้ว อยู่ในสังคมได้
2.  ที่นี่เป็นเขตคนต่างาติ ประชาชนไม่รู้จักพระเจ้า ฉะนั้นจะไม่มีประชาชนมารุมเบียดเสียดพระองค์ หรือจะมีพวกผู้นำศาสนามาขัดขวางพระองค์
3.  เป็นการส่งชายผู้นี้ไปเผยแพร่ข่าวประเสริฐเกี่ยวกับพระราชกิจของพระองค์ไปยังคนต่างชาติ
-          เขาก็ได้ทำตามที่พระองค์บอก โดยไปประกาศทั่วแคว้นทศบุรี
-          ชายคนนี้ไม่ได้ฟังคำสอนของพระเยซู เขาเคยถูกผีสิง แต่บัดนี้เป็นแบบอย่างที่มีชีวิต ซึ่งแสดงถึงฤทธิ์อำนาจของพระเยซู
-          ไม่ได้เห็นการอัศจรรย์อื่นๆของพระเยซู
-          แต่ประสบการณ์ที่เขาได้รับจากการปลดปล่อยจากผีสิงก็เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ที่จะนำไปประกาศบอกเล่าให้คนมาสนใจเรื่องของพระเยซู
-          การที่พวกเราบางคนไม่ได้จบโรงเรียนพระคัมภีร์ ก็ไม่ได้เป็นเหตุให้เราไม่สามารถประกาศข่าวประเสริฐ
-          การที่พระเยซูไม่อนุญาตให้ชายคนนี้ติดตามพระองค์ไป แต่กลับสั่งให้เขากลับไปบอกเรื่องราวกับพวกของเขาเอง ทำให้คนอีกจำนวนมากได้รับพระพรของพระองค์
-          ชีวิตคนหนึ่งได้รับความรอด ก็สามารถทำให้เกิดพระพรอย่างทวีคูณต่อคนจำนวนมาก
-          หากเรามีประสบการณ์ในฤทธิ์อำนาจของพระเยซู เราก็สามารถเป็นแบบอย่างที่มีชีวิตได้ เราจะทำเหมือนชายคนนี้มั๊ย???
การประกาศ อย่าละเลยแม้มีเพียงคนคนเดียว
การประกาศไม่ใช่เรื่องยาก หากเรามีประสบการณ์ตรงกับพระเจ้า

สรุป  พระเมตตาคุณของพระเจ้ามีสำหรับทุกคน

ชีวิตแบบพระเยซูคริสต์

ชีวิตแบบพระเยซูคริสต์

คนไทยมีภาษิตว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นหมายความว่าอย่างไร
หมายความว่า ถ้าหากพ่อแม่เป็นอย่างไร ลูกๆมักจะเป็นอย่างนั้น เพราะลูกจะหน้าตา กริยาท่าทาง อุปนิสัยที่คล้ายคลึงกับผู้บังเกิดเกล้า บุคลิกของลูกมักมีส่วนเลียนแบบเหมือนพ่อแม่ของท่าทาง ท่าที  การพูดจา และการแสดงออก   เพราะลูกอยู่กับพ่อแม่   ฟัง ดู ท่าทีท่าทาง  อากัปกริยาที่แสดงออกของพ่อแม่   แล้วลูกทำตามทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจหรือรู้ตัวเลย   ทั้งนี้เพราะความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกันแต่สิ่งเหล่านี้แทรกซึมเข้าในชีวิตของลูกเข้าไปเต็มๆ
คนไทยเรามีสุภาษิตหรือข้อเตือนสำหรับชายหนุ่มที่จะเลือกหญิงสาวมาเป็นคู่ครองว่า จะดูวัวให้ดูที่หาง จะดูนางให้ดูที่แม่”  (แต่ไม่เห็นมีสุภาษิตสำหรับหญิงสาวที่จะเลือกชายหนุ่ม)
ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ถ้าท่านอยากจะเห็นพระเจ้า ให้ดูที่พระเยซู ถ้าท่านอยากจะเห็นพระเยซู ให้ดูที่พวกคริสเตียน(ผู้เชื่อ)
             การที่จะมีชีวิตตามอย่างพระเยซูนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่นั่นคือจุดหมาย เป้าหมายของคริสเตียนทุกคน ก่อนอื่นใด  เราต้องเรียนรู้จักกับพระเยซูให้เป็นอย่างดีเสียก่อน พระเยซูทรงปรารถนาให้เรารู้จักพระองค์อย่างถูกต้อง อย่าทำเหมือนคนตาบอดคลำช้าง ถ้าคลำที่งวงก็จะบอกว่าช้างมันเป็นท่อนยาวๆ งอไปงอมาได้ ถ้าไปคลำที่ขาหลัง ก็จะบอกว่าช้างเป็นเหมือนท่อนซุงใหญ่ ถ้าบังเอิญไปคลำที่หางก็จะบอกไปอีกแบบ หรือถ้าไปคลำที่งาก็ยิ่งไปกันใหญ่ ถ้าเราอยากจะรู้จักกับพระเยซูอย่างแท้จริง ต้องเรียนรู้ชีวิตของพระองค์ในทุกๆด้านในพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม
ในพระธรรม มัทธิว 16:13-20 ขณะที่พระเยซูพาสาวกของพระองค์ไปทิศเหนือของแคว้นกาลิลี ที่เรียกว่า เมืองซีซาเรีย ฟีลิปปี และถามพวกเขาว่า คนทั้งหลายพูดกันว่า บุตรมนุษย์เป็นผู้ใดสาวกก็ตอบตามที่ได้ยินมาว่า ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา ... เอลียาห์ ... เยเรมีย์ .. หรือคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะคำตอบเหล่านี้ถูกมั๊ยครับ.............พระเยซูคงไม่อยากให้สาวกตอบเช่นนั้น และพระองค์ไม่อยากที่จะฟังคำตอบแบบนี้ พระองค์ทรงปรารถนาฟังคำตอบที่ถูกต้อง จึงถามสาวกของพระองค์โดยตรงว่า แล้วพวกท่านเล่า ว่าเราเป็นใครเพราะสาวกของพระองค์ได้อยู่ใกล้ชิดกับพระเยซูมาแล้วเป็นเวลาประมาณสามปี พระองค์คงจะเสียพระทัยมากหากเหล่าสาวกไม่สามารถตอบได้
เปโตรได้ตอบว่า พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่...นี่เป็นคำสารภาพแห่งความเชื่อของเปโตร ซึ่งเป็นคำสารภาพแห่งความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเป็นคำสารภาพที่พระเยซูทรงพอพระทัยที่สุด แล้วพี่น้องละครับ ถ้าพระเยซูทรงถามเราเหมือนกับที่ถามเปโตร เราจะตอบเหมือนอย่างเปโตรหรือไม่ เป็นคำตอบที่มาจากใจของเรา  ไม่เพียงเท่านั้นครับพี่น้อง ยังขึ้นอยู่กับว่าเรามองเห็นคุณค่าของพระเยซูมากน้อยแค่ไหน  พระองค์มีคุณค่าเพียงพอที่เราจะติดตามหรือไม่ ในพระคัมภีร์นั้นเราจะเห็นแต่ละคนให้คุณค่าของพระเยซูไม่เท่ากัน
            สำหรับยูดาเห็นว่าพระเยซูมีค่าเพียง 30  เหรียญ ซึ่งเป็นราคาเท่ากับการขายทาสคนหนึ่งในสมัยนั้น  และเขาได้ขายพระเยซูให้กับพวกธรรมาจารย์ด้วยราคา 30 เหรียญ 
อ่านพระธรรม ฟิลิปปี 3:7-9
            แต่​ว่า​สิ่ง​ใด​ที่​เคย​เป็น​คุณประโยชน์​แก่​ข้าพเจ้า ข้าพเจ้า​ถือ​ว่า​สิ่ง​นั้น​ไร้​ประโยชน์​แล้ว เพื่อ​เห็น​แก่​พระคริสต์ 
        8 ที่​จริง​ข้าพเจ้า​ถือ​ว่า​สิ่ง​สารพัด​ไร้​ประโยชน์ เพราะ​เห็น​แก่​ความ​ประเสริฐ​แห่ง​ความ​รู้​ถึง​พระเยซูคริสต์ องค์​พรผู้​เป็น​เจ้า​ของ​ข้าพเจ้า เพราะ​เหตุ​พระองค์ ข้าพเจ้า​จึง​ได้​ยอม​สละ​สิ่ง​สารพัด และ​ถือ​ว่า​สิ่ง​เหล่า​นั้น​เป็น​เหมือน​หยากเยื่อ​เพื่อ​ข้าพเจ้า​จะ​ได้​พระคริสต์ 
        9 และ​จะ​ได้​ปรากฏ​อยู่​ใน​พระองค์ ไม่​มี​ความ​ชอบธรรม​ของ​ข้าพเจ้า​เอง ซึ่ง​ได้​มา​โดย​ธรรมบัญญัติ แต่​มี​มา​โดย​ความ​เชื่อ​ใน​พระคริสต์ เป็น​ความ​ชอบธรรม​ซึ่ง​มา​จาก​พระเจ้า​ซึ่ง​ขึ้น​อยู่​กับ​ความ​เชื่
          สำหรับเปาโลนั้น เขาเป็นฟาริสี เป็นผู้ที่เคร่งครัดในธรรมบัญญัติ เป็นผู้ที่มีความรู้สูง เป็นคนหัวรุนแรง เป็นคนร้อนรนในความเชื่อของตนเอง ด้วยเหตุนี้ก่อนที่เขาจะพบพระเยซูคริสต์นั้น เขาได้ออกตามข่มเหงคริสเตียนหรือผู้เชื่อในพระเยซูไปทั่วอาณาจักร เพราะเขาคิดว่าพวกนี้เป็นพวกนอกรีต หมิ่นประมาณพระเจ้า เป็นพวกที่ทำให้ศาสนายิวปั่นป่วน ทำให้คนเปลี่ยนจากศาสนายิวไปเป็นศาสนาพระเยซู และคิดว่าพวกนี้น่าจะมีโทษถึงตาย เขาจึงไม่รู้สึกผิดที่ไปทำเช่นนั้น พระเยซูคงจะรู้จักเปาโลดี หลังจากเหตุการณ์ในพระธรรมกิจการบทที่ 9  ขณะที่เปาโลกำลังเดินทางไปเมืองดามัสกัส เพื่อที่จะจัดการกับพวกที่เชื่อในทางนั้น โดยตัวของเปาโลเองคงไม่มีผู้เชื่อคนไหนกล้าที่จะไปประกาศกับเขาในเรื่องของพระเยซู ถ้าสมัยนั้นมีการแจกใบปลิวเหมือนเรา ก็คงไม่มีใครกล้าไปแจกใบปลิวให้เปาโล เพราะคงกลัวในชื่อเสียงของท่านในการออกปราบปรามพวกคริสเตียน พระเยซูก็คงจะรู้เหตุการณ์เหล่านี้ดี และเพียงเฉพาะพวกสาวกก็คงมุ่งประกาศแค่ในกลุ่มคนยิว เช่นนั้นข่าวประเสริฐก็คงไม่สามารถแพร่ขยายไปจนสุดปลายแผ่นดินโลกตามพระมหาบัญชา
ด้วยเหตุนี้ พระเยซูเองจึงได้มาปรากฏต่อหน้าเปาโล เปาโลล้มลงถึงดิน และตรัสกับเขาว่า เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม เปาโลจึงถามว่า พระองค์คือผู้ใด พระเยซูตอบเปาโลว่า เราคือเยซูที่เจ้าข่มเหง  เหตุการณ์นี้ทำให้เปาโลตาบอดมืดมัวไป
หลังเหตุการณ์นี้ ท่านก็ได้ติดตามเป็นสาวกของพระเยซูไปตลอดชีวิต  ท่านประกาศ เป็นพยานตั้งแต่ทวีปเอเชียไปถึงทวีปยุโรป นำคนมารับเชื่อพระเจ้าและตั้งคริสตจักรขึ้นหลายแห่ง ท่านกล่าวไว้ในพระธรรมฟีลิปปี 3:8  ว่า  ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์   เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์   องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า   เพราะเหตุพระองค์   ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด   และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์
            “หยากเยื่อตามความหมายของพจนานุกรมคือ  เศษของที่ทิ้งแล้ว   มูลฝอย 
สิ่งต่างๆในชีวิตของท่าน ทรัพย์สมบัติ เกียรติ ตำแหน่ง ความเป็นฟาริสี เป็นผู้ที่เคร่งครัดในธรรมบัญญัติ เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงดี แต่ท่านบอกว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนขยะ เมื่อเทียบกับการที่ได้รู้จักพระเยซูคริสต์
เปาโลเป็นคนที่มองเห็นคุณค่าของพระองค์  แล้วก็จะสละทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เพื่อจะได้สิ่งที่ดีกว่าซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้
            พระเยซูคริสต์ได้ตรัสถึงพระองค์เองในพระคัมภีร์ยอห์นว่า  เราเป็นความสว่างของโลก  เราเป็นอาหารแห่งชีวิต  เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต  และเราเป็นประตูดังนั้น ถ้าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นอย่างไร ผู้ติดตามพระองค์ คริสเตียนก็ควรจะเป็นอย่างนั้นด้วย
            การที่เราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อ เรามองเห็นคุณค่าสูงส่งของพระเยซูแน่นอน และเราจะดำเนินชีวิตตามแบบอย่างพระองค์ได้นั้น   ผมขอยกแนวทาง 2 ประการ
การที่จะมีชีวิตตามแบบอย่างพระเยซูได้นั้น......
1.  ต้องเป็นสาวกของพระเยซู  ลูกา 6:12-16
             พระธรรมลูกา 6:12-16   เป็นพระธรรมตอนที่พระเยซูทรงเรียกและแต่งตั้งสาวก 12 คน หลังจากนั้นพระองค์ก็สร้างสาวกวกอย่างต่อเนื่อง  ต่อมาก็ได้เรียกอีกเจ็ดสิบคนและส่งเขาออกไปประกาศข่าวประเสริฐ
การที่เราจะเป็นสาวกของพระเยซูได้นั้น เพราะพระองค์ทรงเลือกเรา ไม่ใช่เราเป็นผู้เลือกพระองค์
ในคริสตจักรสมัยแรกๆ ซึ่งปรากฏในพระธรรมกิจการ  มีการเรียกชื่อของคนที่ติดตามพระเยซูแตกต่างกันออกไป เช่น  ผู้เชื่อ  พวกทางนั้น  พวกคริสเตียน (เรียกครั้งแรกที่เมืองอันทิโอก)  พวกพระคริสต์   พวกเยซู  ธรรมิกชนและพวกคว่ำโลก ซึ่งคำเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคำเรียกเชิงดูถูก เหยียดหยาม พี่น้องหลายท่านอาจจะเคยถูกเรียกแบบเชิงดูถูก หรือถูกล้อเลียนมาบ้างเหมือนกัน สมัยผมยังเรียนหนังสือเป็นนักศึกษาอยู่ เมื่อกลับใจมาเชื่อพระเจ้าก็ถูกเพื่อนๆในคณะเรียกว่า พระบุตร เขาคงไม่ได้ยกย่องเราหรอกแต่เรียกแบบเยาะเย้ยมากกว่า  แต่ผมก็พอใจที่ชีวิตได้สำแดงชัดเจนว่าเราเป็นคนของพระเจ้า บางทีก็อาจจะเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ทรงให้เขาเรียกเราอย่างถูกต้อง เพราะในพระธรรมยอห์น 1:12 บอกเราไว้อย่างชัดเจนว่า  12แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์   ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์   พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า   ขอบคุณพระเจ้า
ความหมายคำว่า สาวก(Disciple)  มาจากภาษากรีกซึ่งมีความหมาย 3 อย่าง คือ
            -    ผู้ฟัง    -    ผู้ติดสอยห้อยตาม    -   ผู้ทำตาม หรือผู้เลียนแบบ
ในการสอนของอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงของกรีกโบราณ เช่น โสเครตีส อริสโตเติ้ล พลาโต จะสอนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ  อาจารย์จะพูด แสดงทัศนะ ท่าทาง อาการต่างๆ เพื่อให้ลูกศิษย์เลียนแบบตามนั้น  ดังนั้น สาวกจึงหมายความว่า ผู้ฟัง ผู้ประพฤติและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเยซู” 
ในภาษาอังกฤษมีคำหนึ่งที่ใกล้เคียงกับคำว่าสาวก คือ ระเบียบวินัย( Discipline) สาวกของพระเยซูคริสต์ต้องมีระเบียบวินัยในการดำเนินชีวิต ในการศึกษาพระวจนะ   การอธิษฐาน  การนมัสการพระเจ้า การไปโบสถ์  การใช้เวลาและการอุทิศ
ใน พระธรรมยอห์น ๑๕.๑๖ พระเยซูตรัสว่าดังนี้
ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา   แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย   และได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านไปเกิดผล   และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่  
1) เราได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายหมายถึงการทรงเรียกอย่างเฉพาะเจาะจง   ซึ่งถือว่าเป็นการให้เกียรติอย่างสูง เราทุกคนที่นี่เป็นคนที่มีเกียรติ เพราะเราได้รับเกียรติที่พระเจ้าทรงเลือกเรา
2) พระองค์ตรัสว่า ให้ไปเกิดผล”  ตรงนี้ชัดเจนพระองค์ทรงเรียกสาวกเพื่อให้ออกไปทำงาน มิใช่แค่เรียก ให้มาเป็นคริสเตียนเฉยๆ  ต้องรับใช้ครับพี่น้อง ท่านมีส่วนในงานของพระเจ้าในคริสตจักรหรือยัง
3) ให้ผลนั้นคงอยู่หมายถึงเป็นการเกิดผลในฝ่ายจิตวิญญาณ ไม่ใช่แค่ปีสองปี แต่ผลนั้นจะดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์  การเป็นสาวกนั้นต้องเป็นตลอดไปครับ ไม่ใช่วันไหนอยากเป็นก็เป็น วันไหนเบื่อไม่อยากเป็นล่ะก็ไม่มาโบสถ์ หรือแค่มาต่อวีซ่าที่โบสถ์ปีละครั้งสองครั้งในวันคริสตมาส อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลยครับ   ในพระธรรมลูกา 9.57-62 ได้พูดถึงลักษณะของผู้ที่จะเป็นสาวกของพระองค์ไว้   ลองอ่านดู
            พี่น้องครับ  การทรงเรียกของพระเจ้าจะไม่สัมฤทธิ์ผล หากเรามิได้ตอบสนองต่อพระประสงค์แห่งการทรงเรียกนั้น
1.1   ลักษณะสาวกแท้   2 ทิโมธี 2.3-6
จง​ทน​การ​ยาก​ลำบาก​ด้วย​กัน​กับ​ทหาร​ที่​ดี​ของ​พระเยซูคริสต์ 4ไม่​มี​ทหาร​คน​ใด​ที่​เข้า​ประจำการ​แล้ว​จะ​ยุ่ง​อยู่​กับ​งาน​ฝ่าย​พลเรือน ด้วย​ว่า​เขา​มุ่ง​ที่​จะ​ทำ​ให้​ผู้​บังคับบัญชา​พอใจ 5นักกีฬา​จะ​มิได้​สวม​พวงมาลัย​ถ้า​เขา​ไม่​แข่งขัน​ตาม​กติกา 6กสิกร​ผู้​ตรากตรำ​ทำงาน​ก็​ควร​เป็น​คน​แรก​ที่​ได้​รับ​ผล
             1. ทหาร  วิถีการดำเนินชีวิต  เข้มแข็ง อดทน อยู่ในวินัย ออกวิ่งทุกวันเพื่อร่างกายจะแข็งแกร่ง ทหารจะขี้แย ร้องไห้กลับบ้านได้มั๊ยครับ ไม่ขึ้นกับอารมณ์ความรู้สึก วันนี้อารมณืไม่ดี ไม่ไปฝึก หนีไปเที่ยวได้มั๊ย วันนี้อารมณ์ไม่ดีไม่มาโบสถ์ ทหารไม่ว่าจะชอบหรือไม่ถ้ามีคำสั่งก็ต้องทำ ชีวิตสาวกที่ดีจึงเหมือนทหารที่จะต้องมีวินัย อดทนและเข้มแข็ง เพื่อเป้าหมายและภารกิจที่ได้รับมอบหมายจะสำเร็จ
              2. นักกีฬา ต้องเป็นที่ที่เคร่งครัดในระเบียบ มีวินัยในการฝึกซ้อม นักกีฬาที่ไม่มีวินัย ชอบหนีเที่ยว ชอบไปเมา เป็นไงครับสุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝัน ถูกคัดตัวออก นักกีฬาเพื่อการแข่งเพียง 1 ชั่วโมง เขาต้องผ่านการซ้อมเป็นพันๆชั่วโมง ต้องอุทิศตัว ตั้งใจ เพื่อชิงรางวัลให้ได้ คงไม่มีนักกีฬาคนใดต้องการเพียงเพื่อเป็นเครื่องประดับ เป็นเพียงตัวสำรอง อีอย่างคือต้องยึดหลักกติกา สาวกนั้ก็ต้องรับใช้ในทางของพระเจ้า ไม่ออกนอกลู่นอกทาง
              3. กสิกร เป็นอาชีพที่ต้องหว่าน ต้องลงทุน เพื่อจะเกิดผลสูงสุด มีความหวัง สาวกก็ต้องลงทุนชีวิต เพื่อเก็บเกี่ยวพระพรจากพระเจ้าโดยมีความเชื่อและความหวัง
1.2 สัญลักษณ์ของสาวกแท้
              1. ยอห์น 8.31  พระเยซู​จึง​ตรัส​กับ​พวกยิว​ที่​ศรัทธา​ใน​พระองค์​แล้ว​ว่า ถ้า​ท่าน​ทั้งหลาย​ดำรง​อยู่​ใน​คำ​ของ​เรา ท่าน​ก็​เป็น​สาวก​ของ​เรา​อย่าง​แท้จริ
คนที่เชื่อฟังและทำตามคำสอนของพระเยซู
              2. ยอห์น 13.35  ถ้า​เจ้า​ทั้งหลาย​รัก​กัน​และ​กัน ดังนี้​แหละ​คน​ทั้งปวง​ก็​จะ​รู้​ได้​ว่า​เจ้า​ทั้งหลาย​เป็น​สาวก​ของ​เรา
รักซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะมาจากต่างถิ่นฐานกัน ไม่รักแค่คำพูดหรือด้วยปากเท่านั้น
              3. ยอห์น 15.16  ท่าน​ทั้งหลาย​ไม่​ได้​เลือก​เรา แต่​เรา​ได้​เลือก​ท่าน​ทั้งหลาย และ​ได้​แต่งตั้ง​ท่าน​ทั้งหลาย​ไว้​ให้​ท่าน​ไป​เกิด​ผล และ​เพื่อ​ให้​ผล​ของ​ท่าน​คง​อยู่ เพื่อ​ว่า​เมื่อ​ท่าน​ทูล​ขอ​สิ่งใด​จาก​พระบิดา​ใน​นาม​ของ​เรา พระองค์​จะ​ได้​ประทาน​สิ่ง​นั้น​ให้​แก่​ท่าน
เราได้รับเกียรติอย่างสูงที่พระเจ้าได้ทรงเลือกและเรียกเรา เราได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบุตร ให้เป็นผู้รับมรดก เพราะฉะนั้นการดำเนินชีวิตต้องเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ไม่ใช่เดินไปที่ไหนคนก็เบ้ปาก คนก็เดินหนี นี่เหรอคริสเตียน  ไม่เพียงเท่านั้นต้องมีชีวิตที่เกิดผล มีผลของพระวิญญาณปรากฎในชีวิตของเรา
                            พระธรรมยอห์น 14:8-9  ได้กล่าวถึงฟีลิปซึ่งเป็นตัวแทนของบรรดาสาวกของพระเยซู มาทูลว่า พระองค์เจ้าข้า ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ได้เห็น ก็พอใจข้าพระองค์แล้วพระเยซูตรัสตอบว่า ผู้ที่ได้เห็นเราก็เห็นพระบิดา...เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา
                พูดอย่างง่ายก็คือว่า ถ้าใครอยากจะเห็นพระเจ้า ก็ดูที่พระเยซูคริสต์ก็แล้วกัน เพราะพระองค์ทรงได้สำแดงพระสิริของพระเจ้าอย่างชัดเจน  (ยอห์น 1:14) และตัวเราก็เช่นเดียวกัน เรากล้าบอกคนรอบข้างเรา คนที่เราเป็นพยานด้วยมั๊ย เมื่อเขาถามว่าพระเยซูเป็นคนเช่นไร เรากล้าพูดเชิญชวนให้เขาดูที่ชีวิตของเราหรือไม่ ชีวิตของเราได้สำแดงพระเยซูอย่างไร
เป็นการง่ายที่จะอ้างตนว่าเป็นคริสเตียน แต่เมื่อคนอื่นมองเข้ามาในชีวิตของเรา เขาได้เห็นพระเยซูคริสต์อย่างชัดเจนหรือไม่?    เมื่อใดท่านได้เชื่อฟัง ทำตามและเลียนแบบจากพระเยซู เมื่อนั้นท่านเป็นสาวกที่แท้จริงของพระองค์
2.  ต้องเลียนแบบพระคริสต์   1 โครินธ์ 11:1
ท่านทั้งหลายก็จงปฏิบัติตามอย่างข้าพเจ้า เหมือนอย่างข้าพเจ้าปฏิบัติตามอย่างพระคริสต์
            มีพระคัมภีร์หลายตอนที่บอกอย่างชัดเจนว่า ให้ผู้เชื่อเลียนแบบอย่างจากพระเยซูคริสต์
               - เอเฟซัส 5:1ท่านจงเลียนแบบพระเจ้าให้สมกับเป็นบุตรที่รัก
               - เอเฟซัส 4:24พระเจ้าทรงสร้างเราขึ้นมาใหม่ตามแบบอย่างของพระองค์
               - ฟีลิปปี 3:17  เปาโลกล่าวกับคริสเตียนที่เมืองฟีลิปปีว่า ท่านจงร่วมกันตามแบบอย่างของข้าพเจ้า    เมื่อพระคัมภีร์กล่าวว่า ผู้เชื่อเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ นั่นมิได้หมายถึงให้พยายามทำตัวเป็นคนยิว ไว้ผมยาวและมีหนวดไว้เครา ใส่เสื้อผ้ารุ่มร่ามกรอมเท้า  แต่หมายถึงให้คริสเตียนเลียนแบบอย่างทางด้านชีวิตและความประพฤติของพระองค์ ในความรัก ปราศจากบาป ความบริสุทธิ์และการเสียสละ
ในพระธรรมฟิลิปปี 2:5-8    5ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ 6ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า   แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ 7แต่ได้กลับทรงสละ   และทรงรับสภาพทาส   ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ 8และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว   พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา   กระทั่งความมรณาที่กางเขน    และในพระธรรมตอนนี้ให้เราได้เห็นถึงท่าทีที่น่าประทับใจของพระเยซูคริสต์ 2 ประการ
2.1  ทรงถ่อมพระทัย    ฟิลิปปี 2:5-7
            ข้อที่ 6  “ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ”   คำว่า ผู้ทรงสภาพของพระเจ้าหมายความว่า พระเยซูเป็นพระเจ้าเอง   พระเยซูเคยตรัสเรื่องนี้หลายครั้ง เช่น เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”   “ผู้ที่เห็นเรา ก็ได้เห็นพระบิดา”     พระเยซูมีฤทธิ์อำนาจ พระสิริ ความสรรเสริญ ปัญญา คำโมทนา และพระเกียรติเท่ากับพระเจ้า  แต่พระองค์ได้ทรงสละทุกอย่างด้วยพระองค์เอง พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า แต่ได้ทรงสละ นี่คือความถ่อมพระทัยของพระองค์
            ในวันนี้  เราทุกคนมีเหตุผลที่จะไว้ใจในตัวเอง  เช่น ตระกูล ความฉลาด รูปร่างงาม หน้าตาดี การศึกษาสูง  เกียรติยศชื่อเสียง ฐานะในสังคม ความร่ำรวย  ดังนั้น เราจึงสามารถอ้างสิทธิของตนได้  เราสามารถอวดในสิ่งที่เรามีอยู่   แต่เราควรละทิ้งสิ่งเหล่านี้ เพื่อพระคริสต์ และเพื่อจะสร้างคุณงามความดีในชีวิตตามแบบอย่างของพระเยซู นี่แหละ คือความถ่อมใจแท้
แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์”  
            แม้พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ แต่พระองค์ไม่ได้ทรงใช้สิทธิของพระเจ้าและถือกำเนิดเป็นมนุษย์  พระองค์ได้ทรงรับสภาพทาส   พระเยซูผู้ทรงสถิตในสวรรค์ด้วยพระสิริและพระเกียรติ ได้เสด็จลงในโลกท่ามกลางมนุษย์ที่บาป  นี่คือความถ่อมพระทัยของพระเยซู
เมื่อพระเยซูทรงบังเกิด พระองค์ได้ทรงบังเกิดในรางหญ้า  ในฐานะเป็นลูกของช่างไม้   หลังจากนั้น   พระองค์ได้ทรงสำแดงชีวิตแห่งการถ่อมใจ  พระเยซูทรงเป็นชาวนาซาเร็ธที่คนอื่นได้ดูถูก   พระเยซูไม่มีการศึกษาสูง (ยน.7.15)  พระเยซูไม่มีที่ที่จะวางศีรษะของพระองค์ (ลก.9.58)   พระเยซูตรัสว่า เราจะทำสิ่งใดตามอำเภอใจไม่ได้ ... เรามิได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา(ยน.5.30)   สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความถ่อมพระทัยของพระเยซู  พระองค์จึงตรัสว่า เพราะว่า เราสุภาพและใจอ่อนน้อม...(มธ.11.29)  
            มนุษย์เป็นอย่างไร  เราทุกคนอยากเป็นใหญ่ อยากเป็นเจ้านาย  อยากให้คนอื่นปรนนิบัติเรา และวางตัวเป็นเหมือนกษัตริย์ใช่ไหม  แต่พระเยซูได้ทรงบังเกิดอย่างต่ำต้อย  ดำเนินชีวิตอย่างมีความถ่อมพระทัย และสิ้นพระชนม์อย่างคนบาป   พระเยซูได้ทรงปรนนิบัติคนมากมาย แทนที่จะได้รับการปรนนิบัติจากคนอื่น   พระเยซูทรงล้างเท้าของสาวกในฐานะเป็นอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า   และพระองค์สอนเราว่า  “...ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย  ถ้าผู้ใดใคร่จะเป็นเอกเป็นต้น  ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสสมัครของพวกท่านอย่างที่บุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ  แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขาและประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก”  (มธ.20.26-28)   ใจที่ถ่อมลงเช่นนี้เป็นน้ำใจที่มีในพระเยซูคริสต์
            ในพระธรรม 1 เปโตร 5:5 กล่าวว่า  “...พระเจ้าทรงเป็นปฎิปักษ์กับคนเหล่านั้นที่ถือตัวจองหอง แต่พระองค์ทรงสำแดงพระคุณแก่คนที่อ่อนน้อมถ่อมตน

            2.2   ทรงเชื่อฟัง    ฟิลิปปี 2:8
 “และเมื่อทรงปรากฎพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน” 
            ในขณะที่อยู่ในสวนเกเสมเน พระเยซูทรงปรารถนาที่จะพ้นจากไม้กางเขน  ขอให้เรามองดูพระเยซูคริสต์ผู้ทรงอธิษฐานขอให้ถ้วยนี้เลื่อนออกไป ลูกาบันทึกว่าเหงื่อของพระองค์เป็นเหมือนเลือดไหลหยดลงถึงดินเป็นเม็ดใหญ่ พระองค์ตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า ใจของเราเป็นทุกข์แทบจะตาย...(มธ.26.38)  แล้วทรงอธิษฐานกับพระเจ้าว่า ถ้าเป็นได้ ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด”   แต่ในที่สุด พระองค์ทรงยอมทำตามน้ำพระทัยของพระบิดา อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”  (26.39)   ชีวิตของพระเยซูบนโลกนี้เป็นชีวิตที่มอบทุกอย่างไว้กับพระเจ้าพระบิดา   พระเยซูมิได้ถือว่าทรงเท่าเทียมกับพระเจ้า  พระองค์ทรงถ่อมพระทัยลง รับสภาพทาส และบังเกิดมาเป็นมนุษย์ เพื่อทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าบรรลุผล  เพื่อจะทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จ พระเยซูยอมเชื่อฟังจนถึงความตายที่กางเขน
            แม้แต่เปโตรยังทนไม่ได้ เขาชักดาบออกฟันหูของพวกที่จะมาจับกุมคนหนึ่งขาด พระเยซูทรงห้ามและสั่งให้เก็บดาบ  แท้จริงพระเยซูสามารถเคลื่อนพลทูตสวรรค์กว่า 12 กองได้ (ประมาณ 72,000 คน)   พระองค์ทรงทำลายพวกศัตรูด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ได้   แต่พระองค์ไม่ได้ทำประการใดเลย   กลับทรงยอมเชื่อฟังพระเจ้าพระบิดา จนถึงความมรณาที่กางเขน
            พระองค์ทรงขอร้องสิ่งเดียวกันแก่เราในวันนี้ให้ถ่อมใจลงยอมเชื่อฟังพระเจ้า  มีบ่อย ครั้งที่ไม่อยากเชื่อฟัง หรือคิดว่าเชื่อฟังไม่ได้  มีกำลังไม่พอที่จะเชื่อฟัง  แต่เราต้องเชื่อฟัง เพราะเป็นน้ำพระทัยของพระองค์  และต้องเชื่อฟังจนถึงวันสุดท้าย  
                
ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น  เช่นเดียวกันครับ  เรากับพระเจ้าก็เช่นกัน   เมื่อเราใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้าทั้งในการใคร่ครวญพระวจนะ   มีเวลาที่จะพูดคุยอธิษฐานกับพระองค์   หรือครุ่นคิดตัดสินใจตามพระประสงค์ของพระองค์   เราก็จะเลียนแบบของพระเยซูในชีวิตท่าที ท่าทาง และพฤติกรรมที่แสดงออก   เอเฟซัสบอกกับเราทุกคนว่า  ให้เราเลียนแบบพระเจ้าให้สมกับเป็นบุตรที่รัก
เราต้องเป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น

 ขอพระเจ้าทรงอวยพระพร