Thursday, June 20, 2013

จงบากบั่นมุ่งไป

ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป

เมื่อเราเกิดมาในโลก เส้นทางชีวิตของเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะสุขสบายตั้งแต่เกิด มีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม บางคนทุกข์ยากลำบากแสนสาหัส เช่นนั้นก็ตาม ทุกคนจะต้องเคยผ่านความผิดหวัง สมหวัง ความทุกข์ใจ ความกลัดกลุ้มใจมาบ้าง ไม่ว่าจะรวยหรือจน เส้นทางชีวิตนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุกคนในโลกคงไม่มีใครที่อยากจะมีชีวิตที่สั่นคลอน หรือประสบความล้มเหลวในชีวิต และคงไม่มีใครอยากจะทุกข์ยากไปตลอดชีวิต
และการมาเชื่อในพระเจ้าก็ไม่ใช่จุดประสงค์ที่จะได้มาหรือได้รับการแก้ไขในสิ่งที่เราขาดไปเหล่านั้น แน่นอนสิ่งเหล่านั้นพระเจ้าก็จะประทานให้เราตามน้ำพระทัยของพระองค์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการได้พระเยซูคริสต์มาอยู่ในชีวิตของเรา และเราจะต้องลืมสิ่งเก่าๆที่ผ่านพ้นมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชีวิตเดิมๆ ความผิดหวัง การสูญเสียต่างๆ เพื่อเราจะมุ่งไปสู่เป้าหมายใหม่ในชีวิตที่มีความเชื่อในพระเจ้า

"มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ" (ฟิลิปปี 3:12-14)

พระคัมภีร์ตอนนี้บอกว่า

บากบั่นมุ่งไป
ความหมายของคำว่า บากบั่น คือ พากเพียร ตั้งหน้าฝ่าความยากลำบาก
เราจะต้องมีความพากเพียรที่จะฝ่าปัญหา ความยากลำบากต่างๆ รวบรวมทั้งกำลังกายและกำลังใจที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายใหม่ของชีวิต เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าก็จะเกิดเป้าหมายใหม่ขึ้นในชีวิตของเรา เราจะไม่ดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย ซึ่งจะเปรียบก็เหมือนนักฟุตบอลที่เลี้ยงลูกบอลไปเรื่อยๆโดยไม่รู้ว่าประตูอยู่ที่ไหนซึ่งจะไม่มีวันพบความสำเร็จ บางคนอาจจะคิดว่าพอแล้ว ชีวิตแค่นี้ก็ดีแล้ว แต่เปาโลบอกเราให้บากบั่นมุ่งไปและฉวยเอาไว้ให้ได้ เมื่อเราทุ่มเทกำลังทุกอย่างสู่เป้าหมาย แน่นอนพระเจ้าทรงพอพระทัยและจะเคียงข้างเรา เช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงมุ่งสู่ไม้กางเขนซึ่งเป็นเป้าหมายของพระองค์

ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาและมุ่งสู่หลักชัย
"ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่งคือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย" 
เปาโลให้เราลืม มองข้าม หรือหันหลังให้กับสิ่งที่ได้ผ่านไปแล้วในชีวิต ตัวเปาโลเองถ้าท่านไม่ลืมอดีตที่ผ่านมาของท่าน สิ่งเหล่านั้นคงจะรบกวนและฟ้องผิดท่านตลอดเวลา เพราะท่านได้ข่มเหงผู้เชื่อจำนวนมาก จับขังคุก และการขว้างก้อนหินสเทเฟนท่านก็มีส่วนเห็นดีด้วย
ชาวอิสราเอลเดินทางออกจากอียิปต์ โดยมีเป้าหมายคือแผ่นดินคานาอันแผ่นดินแห่งพันธสัญญา แต่พวกเขาจะต้องสูญเสียทั้งเวลาและโอกาส ทุกข์ยากลำบาก เดินวนเวียนในถิ่นทุรกันดารถึง 40 ปี เพราะเขายอมแพ้ และคิดที่จะให้โมเสสพากลับไปยังอียิปต์ทั้งๆที่กำลังจะถึงเส้นชัยแล้ว 
ไม่มีนักกีฬาคนไหนในโลก ที่จะได้เข้าสู่เส้นชัยง่ายๆ ทุกคนล้วนต้องฟันฝ่าอุปสรรค ต้องบากบั่นมุ่งไป และลืมความผิดพลาด ความล้มเหลวในระหว่างฝึกซ้อม
ชีวิตเราก็เช่นเดียวกัน อย่าให้ความผิดหวัง ความล้มเหลว ความทุกข์ยากในอดีตมาเป็นสิ่งที่จะบั่นทอนให้เราหมดกำลัง แต่จงบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้เตรียมรางวัลไว้สำหรับเรา 

รางวัลของคริสเตียนคือสิ่งที่อยู่เบื้องบน ชีวิตของเราที่อยู่บนโลกนี้ อาจจะไม่ได้สุขสบาย อาจล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่จงลุกขึ้นสู้ใหม่ ถามตัวเองว่าได้ทำเต็มที่หรือยัง ถ้าเราได้ทำเต็มที่แล้วก็ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ทรงดูแลเราอยู่ 

"เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย" (ยอห์น 14:27)

-จงพากเพียรและบากบั่นมุ่งไปสู่เป้าหมายโดยไม่ให้อดีตเป็นสิ่งที่คอยถ่วง
จะมีประโยชน์อะไรที่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าหลักชัยคืออะไร และอยู่ที่ไหน
คนที่มุ่งไปสู่หลักชัย จะไม่ปล่อยชีวิตไปวันๆ แต่ต้องเป็นคนที่มีเป้าหมายชีวิตอย่างชัดเจน

ขอพระเจ้าอวยพร
วิจิตร วารินทร์ศิริกุล

Sunday, June 9, 2013

ความตาย

คงไม่มีใครที่เกิดมาแล้วไม่ต้องเผชิญกับความทุกข์เลย 
     บางคนทุกข์เพราะโรคภัยไข้เจ็บ .....
           บางคนทุกข์เพราะปัญหาทางเศรษฐกิจ .....
ความทุกข์ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันและปัญหาก็ไม่เท่ากัน มากน้อยแตกต่างกันไป
..... แต่จะมีสักกี่คนที่ต้องตายเพราะความทุกข์ 
คนเราทุกคนต้องมีการวางแผนเพื่อจะรับมือกับปัญหาต่างๆในชีวิต แม้กระทั่งความตาย....

แต่น้อยคนที่จะคิดว่าถ้าต้องจากโลกนี้ไป
.... เราได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง
............ เราพร้อมที่จะเผชิญกับมันหรือยัง??

เราพร้อมที่จะเผชิญกับความตายหรือไม่ ??
      หรือว่าเรากำลังระเริงอยู่กับความสุขที่เรากำลังได้รับจากโลกนี้ 
            หรือว่ากำลังจมอยู่กับความทุกข์ โดยที่ลืมไปว่าสักวันหนึ่งเราจะได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์

พระคัมภีร์หลายบทหลายตอนได้บอกเราว่า ทั้งความทุกข์ยาก ทั้งความตาย พระเยซูได้รับแบกไว้แล้วบนพระกายของพระองค์ โดยข่าวประเสริฐนี้เราทั้งหลายได้รับการปลดปล่อยและเป็นไท

"เรื่องซึ่งข้าพเจ้ารับไว้นั้น ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่านทั้งหลาย เป็นเรื่องสำคัญที่สุดคือว่าพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์ เพราะบาปของเราทั้งหลาย ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์"   (1 โครินธ์ 15:3)

หัวใจของข่าวประเสริฐคือ พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเรา ทรงถูกลงโทษทั้งที่เป็นโทษที่เราควรจะเป็นผู้รับ ทรงถูกฝังเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์จริงๆ และพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายเพื่อยืนยันว่าเราจะเป็นขึ้นมาจากความตายในวันสุดท้ายเช่นกัน

"เพราะว่าถ้าการชุบให้เป็นขึ้นมาไม่มี พระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา ความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์ ท่านก็ยังตกอยู่ในบาปของตน และคนทั้งหลายที่ล่วงหลับในพระคริสต์ก็พินาศไปด้วย ถ้าในชีวิตนี้ พวกเราซึ่งอยู่ในพระคริสต์มีแต่ความหวังเท่านั้น เราก็เป็นพวกที่น่าสังเวชที่สุดในบรรดาคนทั้งปวง แต่ความจริงพระคริสต์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และทรงเป็นผลแรกในพวกคนทั้งหลายที่ได้ล่วงหลับไปแล้วนั้น เพราะว่าความตายได้อุบัติขึ้น เพราะมนุษย์คนหนึ่งเป็นเหตุฉันใด การเป็นขึ้นมาจากความตายก็ได้อุบัติขึ้น เพราะมนุษย์ผู้หนึ่งเป็นเหตุฉันนั้น เพราะว่าคนทั้งปวงต้องตายเกี่ยวเนื่องกับอาดัมฉันใด คนทั้งปวงก็จะกลับได้ชีวิตเกี่ยวเนื่องกับพระคริสต์ฉันนั้น" (1 โครินธ์ 15:16-22)

ถ้าพระเยซูไม่ได้ทรงเป็นขึ้นจากความตาย  ความเชื่อของเราก็ไร้ประโยชน์  พระเยซูก็คงเป็นนักโกหกระดับโลก และคำสอนของพระองค์ก็คงจะเป็นเรื่องหลอกลวง เราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อก็จะไม่ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นคนที่ไม่มีความหวังใดๆ ซ้ำยังเป็นคนที่น่าสมเพชที่สุด

แต่พระคัมภีร์ยืนยันว่า ในวันสุดท้ายที่พระเยซูกลับมา ร่างกายของเราทั้งหลายจะเป็นขึ้นมาเหมือนกับพระองค์ เป็นกายใหม่ที่ไม่มีวันเปื่อยเน่า และจะได้อยู่ในสวรรค์ร่วมกับพระองค์ ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อก็จะไม่ได้มีส่วนและเขาทั้งหลายจะได้รับผลแห่งความไม่เชื่อ คือไปอยู่ในนรกชั่วนิรันดร์

"ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะว่าจะมีเสียงแตร และคนที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาปราศจากเน่าเปื่อย แล้วเราทั้งหลายจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่ เพราะว่าสิ่งซึ่งเน่าเปื่อยนี้ต้องสวมซึ่งไม่เน่าเปื่อย และสภาพมตะนี้ต้องสวมสภาพอมตะ เมื่อสิ่งซึ่งเน่าเปื่อยนี้ จะสวมซึ่งไม่เน่าเปื่อย และสภาพมตะนี้จะสวมสภาพอมตะ เมื่อนั้นตามซึ่งเขียนไว้ในพระคัมภีร์จะสำเร็จว่า ความตายก็ถูกกลืนถึงปราชัยแล้ว โอ มัจจุราชเอ๋ย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน โอ มัจจุราชเอ๋ย เหล็กไนของเจ้าอยู่ที่ไหน เหล็กไนของความตายนั้นคือบาป และฤทธิ์ของบาปคือธรรมบัญญัติ สาธุการแด่พระเจ้าผู้ทรงประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลาย โดยพระเยซูคริสตเจ้าของเรา"  (1 โครินธ์ 15:52-57)

เราจะต้องอธิษฐานขอพระเจ้าให้เรามีใจจดจ่อที่ชีวิตในสวรรค์ ซึ่งเป็นชีวิตที่จะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์ ในบ้านนิรันดร์ เพื่อเราจะเผชิญกับความทุกข์ยากในโลกนี้ด้วยกำลังและฤทธานุภาพที่มาจากพระเจ้า และเพื่อเราจะมองความทุกข์ยากในโลกนี้เป็นเพียงเรื่องชั่วคราว

 วิจิตร วารินทร์ศิริกุล                              

ข้าวสาลีกับข้าวละมาน

เช้าวันนี้อากาศดีหลังจากเมื่อคืนฝนได้ตกพรำๆลงมา วันนี้เป็นวันว่างๆออกมาเดินเล่นในสวนที่บ้าน ดูต้นไม้ที่ได้รับความชุ่มฉ่ำจากฝน ใบถูกน้ำฝนชะล้างจนเขียวสด แลดูสดชื่น สนามหญ้าก็ดูจะสวยงามกว่าวันอื่นๆ เดินผ่านแปลงปลูก watercrest ที่กำลังงอกงามเขียวชอุ่ม แต่เมื่อได้สังเกตดีๆก็เห็นวัชพืชขึ้นแซมมาเยอะเลย ทั้งต้นแก่ต้นอ่อน ทำให้อดไม่ได้ที่จะนั่งลงและเก็บวัชพืชออกทิ้งเสีย 

เมื่อเก็บไปสักพักก็ได้รู้ว่ามันไม่ได้ง่ายเลย เพราะมันอยู่ปะปนไปทั่วกับต้นที่เราปลูก เมื่อถอนวัชพืชก็กระทบไปถึงต้นดี บางครั้งวัชพืชก็หยั่งรากลึก การถอนก็ลำบากหรือเด็ดได้แต่ต้นแต่รากไม่สามารถถอนขึ้นมาได้ บางครั้งเมื่อถอนวัชพืชก็พลาดไปถอนต้นดีที่ยังอ่อนอยู่ด้วย ไม่ใช่ง่ายเลยนะกับการเป็นเกษตรกรจำเป็น
ทำให้ได้คิดถึงพระคัมภีร์ตอนหนึ่งใน พระธรรมมัทธิว 13:24-30

“พระองค์ตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า "แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือน คนหนึ่งได้หว่านพืชดีในนาของตน แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวดีนั้นไว้แล้วก็หลบไป ครั้นต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ขึ้นปรากฏด้วย ทาสแห่งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า "นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีไว้ในนาของท่านมิใช่หรือ แต่มีข้าวละมานมาจากไหน" นายก็ตอบว่า "นี่เป็นการกระทำของศัตรู" พวกทาสจึงถามว่า "ท่านปรารถนาจะให้พวกเราไปถอนและเก็บข้าวละมานหรือ" แต่นายตอบว่า "อย่าเลยเกลือกว่า เมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวดีด้วย ให้ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้เกี่ยวว่า "จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวดีนั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา"”

เชื่อว่าเกษตรกรตัวจริงจะเข้าใจพระธรรมข้อนี้ได้ดีกว่าคนเมืองอย่างเรา แต่ก็พอจะอธิบายได้ว่า ข้าวสาลีเป็นข้าวที่ดี มีประโยชน์ ซึ่งเปรียบได้กับคริสเตียนแท้ ส่วนข้าวละมานน้นไม่ดีและไม่มีประโยชน์อันใด ข้าวทั้งสองชนิดอยู่ปะปนกันในแปลงปลูก ข้าวสาลีเกิดผลมาก ออกดอกออกรวง ส่วนข้าวละมานไม่เกิดผลเลย ในพระคัมภีร์ตอนนี้ ทาสผู้ดูแลนาข้าวจะไปถอนต้นข้าวละมานทิ้งเสีย แต่นายได้ห้ามไว้เพราะกลัวจะไปถอนข้าวดีด้วย ให้รอจนกว่าถึงฤดเก็บเกี่ยวเพราะจะได้เห็นอย่างชัดเจนว่าข้าวดีนั้นออกรวงมากและโน้มต่ำลงอย่างถ่อมตน ส่วนข้าวละมานที่ไม่ออกดอกออกรวงก็จะยังชูคอเด่นอย่างเย่อหยิ่ง ถึงตอนนั้นจึงค่อยตัดต้นข้าวละมานแยกออกมาแล้วเผาทิ้งเสีย ส่วนข้าวดีก็จะได้รับการเก็บเกี่ยวและเก็บไว้ในยุ้งฉางอย่างดี
ในคริสตจักรของพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน เมื่อถึงเวลาทุ่งนาเหลืองอร่าม ได้เวลาเก็บเกี่ยวผลที่พระเจ้ากำหนด ผู้ที่ไม่เกิดผลใดๆก็จะทรงทำลายเสียในบึงไฟนรก....
ส่วนผู้ที่เกิดผลดี....พระองค์ทรงจัดเตรียมที่ไว้ให้ในแผ่นดินสวรรค์ของพระองค์

                                                                  ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกท่าน
                                                                      วิจิตร วารินทร์ศิริกุล