Thursday, June 18, 2020

ของประทานของพระวิญญาณ

ของประทานของพระวิญญาณ
ของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นความสามารถพิเศษบางอย่างที่ผู้เชื่อได้รับจากพระองค์ตามชอบพระทัย ผู้เชื่อทุกคนควรมีผลของพระวิญญาณทุกอย่าง แต่อาจจะไม่มีของประทานทุกอย่าง นอกจากนี้ การใช้ของประทานอย่างโดดเด่น ไม่อาจเป็นการรับรองได้ว่าชีวิตของเขาเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า แต่ผลของพระวิญญาณในชีวิตผู้นั้นต่างหากที่เป็นสิ่งรับรองได้

“<<มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า <พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า> จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า <พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์กล่าวพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์ มิใช่หรือ> เมื่อนั้นเราจะได้กล่าวแก่เขาว่า <เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา>”
‭‭มัทธิว‬ ‭7:21-23‬ ‭TH1971‬‬

เพราะฉะนั้น เราไม่สมควรยกย่องหรือศรัทธาคนที่ใช้ของประทานเก่ง เพราะพระเจ้าประสงค์ให้เราใช้ของประทานเพื่อนำผู้อื่นเข้าใกล้ชิดกับพระองค์ และมีความศรัทธาในพระเจ้า ไม่ใช่ศรัทธาในผู้ใช้ของประทาน

ผลของพระวิญญาณ

ผลของพระวิญญาณ
เปาโลได้บันทึกผลของพระวิญญาณไว้ใน กาลาเทีย ว่า

“ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย”
‭‭กาลาเทีย‬ ‭5:22-23‬ ‭TH1971‬‬

จะเห็นว่าผลแต่ละอย่างเหล่านี้เป็นบุคลิกของพระเยซูเอง สำหรับเราแล้วผลของพระวิญญาณในชีวิตของเรานั้น ไม่ได้มาโดยที่เราพยายามสร้างขึ้นมาเอง แต่ต้องเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติตามการยอมจำนนของเราต่อพระวิญญาณและรับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ผู้เชื่อที่แท้จริงนั้น ไม่ได้ดูที่ของประทานหรือความสามารถ แต่ดูที่ผลของพระวิญญาณในชีวิตของผู้นั้น

“<<ท่านทั้งหลายจงระวังผู้เผยพระวจนะเท็จ ที่มาหาท่านนุ่งห่มดุจแกะ แต่ภายในเขาร้ายกาจดุจหมาป่า ท่านจะรู้จักเขาได้ด้วยผลของเขา ผลองุ่นนั้นเก็บได้จากต้นไม้มีหนามหรือ หรือว่าผลมะเดื่อนั้นเก็บได้จากพืชหนาม ต้นไม้ดีย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้ ต้นไม้ซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ เหตุฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา”
‭‭มัทธิว‬ ‭7:15-20‬ ‭TH1971‬‬

Wednesday, June 17, 2020

พระคุณและความรัก

พระคุณและความรัก
ในพระคัมภีร์เดิม อภิสุทธิสถานเป็นที่บริสุทธิ์ที่สุด เป็นที่ทรงสถิตของพระเจ้า เป็นที่เฉพาะมหาปุโรหิตจะพบพระเจ้าได้โดยตรงปีละครั้ง แต่เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์สร้างวิหารขึ้นมาใหม่คือพระกายของพระองค์เอง

“พระเยซูจึงตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า <<ถ้าทำลายวิหารนี้เสีย เราจะยกขึ้นในสามวัน>> พวกยิวจึงทูลว่า <<พระวิหารนี้เขาสร้างถึงสี่สิบหกปีจึงสำเร็จ และท่านจะยกขึ้นใหม่ในสามวันหรือ>> แต่พระวิหารที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือพระกายของพระองค์”
‭‭ยอห์น‬ ‭2:19-21‬ ‭TH1971‬‬

ผู้ที่เห็นพระเยซูก็ได้เห็นพระเจ้า ทุกวันนี้คริสตจักรคือพระกายของพระเยซูคริสต์ เป็นวิหารบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อใครเข้ามาในคริสตจักรคือเขาได้เข้ามาในที่ซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระคุณและความรักของพระเจ้า
แต่เราคงต้องยอมรับว่า หลายครั้งคริสตจักรไม่ได้เป็นอย่างนั้น เรายังอยู่ในขบวนการการรับการเปลี่ยนแปลง แต่อย่างไรก็ตาม คริสตจักรที่กำลังรับการเปลี่ยนแปลง กำลังจำเริญขึ้นในพระเยซูคริสต์ ย่อมต้องมีบรรยากาศของพระคุณและความรักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พี่น้องมีความอดทนต่อกัน ให้อภัยกัน ไม่อิจฉากัน มีความปรานี ชื่นชมส่วนดีซึ่งกันและกัน

“ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ”
‭‭1 โครินธ์‬ ‭13:4-6‬ ‭TH1971‬‬

เมื่อคริสตจักรเป็นเช่นนี้ พระเยซูทรงตรัสว่า ‘ทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา’

“ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา>>”
‭‭ยอห์น‬ ‭13:35‬ ‭TH1971‬‬

ความบริสุทธิ์และความถ่อมใจ

ความบริสุทธิ์และความถ่อมใจ
คริสตจักรเป็นชุมชนที่เอาจริงเอาจังในการแสวงหาชีวิตที่บริสุทธิ์ เราทุกคนอยากใกล้ชิดพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ อยากถวายเกียรติและให้พระองค์ทรงพอพระทัย และเราต้องไม่เหมือนพวกฟาริสีที่โอ้อวดยกตัวเอง ดูหมิ่นผู้อื่นที่ไปไม่ถึงมาตรฐานของพวกเขา เราต้องตระหนักเสมอว่า การที่จะเป็นผู้บริสุทธิ์ได้นั้นก็เนื่องจากว่าพระเยซูทรงสถิตในเรา ไม่ใช่ความชอบธรรมหรือความพยายามของเราเอง
เราต้องยอมรับว่าเราทั้งหลายเป็นคนป่วย ไปไม่ถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้าด้วยตัวเราเอง เราจึงไม่ควรแยกตัวออกจากสังคมรอบๆตัวเรา โดยคิดถือว่าเราดีกว่าเขา แต่คริสตจักรคือโรงพยาบาลรักษาชีวิต ที่ยินดีต้อนรับทุกคนที่รู้ตัวว่าเป็นคนป่วยโดยไม่มีการแบ่งแยก ถ้ามีความถ่อมใจเช่นนี้ คนภายนอกก็จะรู้สึกว่าเข้ามาหาเราได้ง่ายขึ้น
ในอีกแง่หนึ่ง เมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้น เราต้องถ่อมใจยอมรับการลงวินัยและการตักเตือนจากคริสตจักร เพื่อจะช่วยเราเดินในทางที่ถูก กลับเข้าสู่การคืนดีกับพระเจ้าและกับพี่น้อง พร้อมกับการให้อภัยซึ่งกันและกัน

“เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ”
‭‭มัทธิว‬ ‭5:48‬ ‭TH1971‬‬

ความเชื่อความศรัทธา

ความเชื่อความศรัทธา

“ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเขตเมืองซีซารียา ฟีลิปปี จึงตรัสถามพวกสาวกของพระองค์ว่า <<คนทั้งหลายพูดกันว่าบุตรมนุษย์เป็นผู้ใด>>”
‭‭มัทธิว‬ ‭16:13‬ ‭TH1971‬‬
สาวกได้ตอบตามสิ่งที่เขาได้ยินมา บ้างก็ว่าเป็นยอห์นผู้ให้บัดติดา บ้างก็ว่าเป็นเยเรมีย์ บ้างว่าเอลียาห์หรือไม่ก็เป็นหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะ นั่นคือสิ่งที่พวกเขาได้ยินมา เหมือนได้รับรู้ผ่านทางเฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์หรือสื่อโซเชี่ยลในยุคนั้น แต่พระเยซูทรงถามพวกเขากลับไป

“พระองค์ตรัสถามเขาว่า <<แล้วพวกท่านเล่า ว่าเราเป็นใคร>>”
‭‭มัทธิว‬ ‭16:15‬ ‭TH1971‬‬

ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย ท่านก็เป็นสุขเพราะว่ามนุษย์มิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลา นี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้” (มัทธิว‬ ‭16:16-18)
ครั้งแรกที่สาวกตอบพระเยซู ดูเหมือนว่าพวกเขาได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่คนอื่นพูด เป็นความรู้ที่ได้รับผ่านการถ่ายทอดจากผู้อื่น แต่พระเยซูประสงค์ที่จะช่วยพวกเขาก้าวข้ามความรู้สึกที่ได้รับจากการถ่ายทอด เพื่อจะได้พบกับสิ่งที่พระเจ้าจะสำแดงกับเขาด้วยตัวเขาเอง

รากฐานของคริสตจักรแท้คือความเชื่อและความศรัทธาแบบเดียวกันกับเหล่าสาวกที่ได้เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ซึ่งพวกเขาได้ตอบสนองการทรงสำแดงของพระเจ้าที่มาถึงพวกเขา คริสตจักรจึงเป็นชุมชนแห่งความเชื่อและความศรัทธา มีบรรยากาศแห่งการไว้วางใจพระเจ้าทั้งในการดำเนินชีวิตส่วนตัว และการเชื่อฟังเสียงพระเจ้าด้วยกันแบบส่วนรวมในคริสตจักร
“เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ” (โรม‬ ‭1:17‬)

Tuesday, June 16, 2020

สิทธิอำนาจของพระคัมภีร์และกฏบัญญัติ

สิทธิอำนาจของพระคัมภีร์และกฏบัญญัติ
เราต้องระมัดระวังไม่เข้าใจผิดว่า พระคัมภีร์เป็นกฏบัญญัติของคริสเตียน หรือเข้าใจผิดว่าการดำเนินชีวิตคริสเตียนคือการดำเนินชีวิตตามกฏต่างๆที่พบในพระคัมภีร์ การเป็นคริสเตียนไม่ใช่การถือกฏบัญญัติ แต่เป็นความสัมพันธ์ของผู้เชื่อกับพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระองค์เคยตรัสและทรงทำพระราชกิจอย่างไรในอดีต พระองค์ก็ยังทรงตรัสและทรงทำพระราชกิจอย่างนั้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคตด้วย พระคัมภีร์ได้บันทึกถึงพระลักษณะความยิ่งใหญ่และความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ได้บันทึกแบบบอย่างของคนจากยุคสมัยต่างๆและวัฒนธรรมต่างๆ ทั้งตัวอย่างที่ดีและไม่ดี นอกจากนี้พระคัมภีร์ยังเปิดเผยให้รู้อนาคตของเราจะเป็นเช่นไรในระดับหนึ่ง เพื่อชี้ให้เห็นว่า เราจะต้องดำเนินชีวิตอย่างไรและเตรียมตัวอย่างไรเพื่อจะก้าวไปสู่สิ่งเหล่านั้นได้
หน้าที่ของเราคือดำเนินชีวิตในปัจจุบันให้สอดคล้องกับสิ่งที่ได้บันทึกไว้ ไม่ใช่ในแง่ของกฏบัญญัติ แต่ในแง่ที่ชี้ให้เห็นว่าอะไรเป็นชีวิตและทิศทางที่แท้จริง

“แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ อย่าสนองความต้องการของเนื้อหนัง เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังต่อสู้พระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้นสิ่งที่ท่านทั้งหลายปรารถนาทำจึงกระทำไม่ได้ แต่ถ้าพระวิญญาณทรงนำท่าน ท่านก็จะไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ”
‭‭กาลาเทีย‬ ‭5:16-18‬ ‭TH1971‬‬

ที่กางเขนและโดยกางเขน

ที่กางเขนและโดยกางเขน
ความเป็นจริงในเรื่องที่พระเยซูกระทำสำเร็จแล้วที่กางเขน พระองค์สิ้นพระชนม์ไม่ใช่เพื่อยกโทษบาปของเราเท่านั้น แต่เป็นการชนะตัวเก่าของเราด้วย เพราะตัวเก่าของเราได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว

“เราทั้งหลายรู้แล้วว่า ตัวเก่าของเรานั้นได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้นจะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป”
‭‭โรม‬ ‭6:6‬ ‭TH1971‬‬

“เหมือนกันเช่นนั้นแหละ ท่านทั้งหลายจงถือว่าท่านได้ตายต่อบาป และมีชีวิตสนิทกับพระเจ้าในพระเยซูคริสต์”
‭‭โรม‬ ‭6:11‬ ‭TH1971‬‬

และใน โรม 6:11 บอกให้เรารู้ว่าเราไม่ได้ขึ้นกับตัวเก่าของเราอีก แต่เราได้ตายจากตัวเก่าและมีชีวิตที่เข้าสนิทกับพระเจ้าได้โดยทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งเปรียบเทียบได้กับผีเสื้อที่ควรตระหนักว่ามันไม่ใช่ตัวหนอนอีกต่อไป จึงไม่ต้องคืบคลานบนดินอีก แต่สามารถโบยบินไปบนท้องฟ้าที่สวยงาม
เช่นเดียวกัน คริสเตียนควรตระหนักถึงสภาพและสถานะใหม่ที่มีในพระเยซูคริสต์ ซึ่งได้ทำจนสำเร็จแล้วที่กางเขน

“เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”
‭‭2 โครินธ์‬ ‭5:17‬ ‭TH1971‬‬

คริสตจักรและพระวิหาร

คริสตจักรและพระวิหาร
ในพระคัมภีร์เดิม ผู้เชื่อที่เป็นชุมชนของพระเจ้าคือชาวอิสราเอล ที่พระเจ้าทรงทวีขึ้นจากคนๆเดียวที่มีความเชื่อคืออับราฮัม ระหว่างอพยพพวกเขามีสถานนมัสการพระเจ้าคือพลับพลา ต่อมาคือพระวิหาร มีรูปแบบการนมัสการ มีธรรมบัญญัติ มีหลักของการปกครอง มีเทศกาลต่างๆ ชาวยิวเชื่อว่าพระวิหารเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่สวรรค์และโลกอยู่ด้วยกัน เป็นที่หนึ่งบนโลกที่พระเจ้าประทับอยู่ แต่สิ่งเหล่านี้พระคัมภีร์ใหม่อธิบายว่าเป็นเพียงแต่แบบและเงาแห่งสิ่งสมบูรณ์ที่ผ่านมาทางพระเยซูคริสต์

“ปุโรหิตเหล่านั้นปฏิบัติกิจในเต็นท์ ที่เป็นแต่แบบและเงาแห่งศักดิ์สิทธิสถาน ดังโมเสสเมื่อท่านจะตั้งเต็นท์นั้น พระเจ้าก็ได้ตรัสสั่งว่า จงระวังทำทุกสิ่งตามแบบที่เราแจ้งแก่เจ้าบนภูเขา”
‭‭ฮีบรู‬ ‭8:5‬ ‭TH1971‬‬

“สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเงาของเหตุการณ์ที่จะมีมาในภายหลัง แต่กายนั้นเป็นของพระคริสต์”
‭‭โคโลสี‬ ‭2:17‬ ‭TH1971‬‬

“โดยเหตุที่ธรรมบัญญัติเป็นแต่เพียงเงาของสิ่งประเสริฐที่จะมาในภายหลังมิใช่ตัวจริง เครื่องบูชาที่เขาถวายทุกปีเสมอมาตามธรรมบัญญัตินั้น จึงไม่สามารถทำให้ผู้ที่เข้าเฝ้านั้นไร้ข้อตำหนิได้”
‭‭ฮีบรู‬ ‭10:1‬ ‭TH1971‬‬

เปาโลอธิบายว่า ‘ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่า พวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน’ (1 โครินธ์ 3:16)
บัดนี้ ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สวรรค์และโลกอยู่ด้วยกัน ที่ซึ่งพระเจ้าอยู่บนโลกนั้นก็คือพวกเรานั่นเอง คือคริสตจักรที่เป็นพระกายของพระคริสต์ เป็นสิ่งที่ท้าทายเราให้ดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับสถานะพิเศษของพวกเรา

พระคัมภีร์เท่านั้น

พระคัมภีร์เท่านั้น Sola Scriptura
พระคัมภีร์เท่านั้น เป็นหลักสำหรับความเชื่อและการกระทำของคริสเตียน ไม่ใช่ขนบธรรมเนียมและประเพณีปฏิบัติของคริสตจักร พระคัมภีร์เท่านั้นจึงเป็นบรรทัดฐานสำหรับความเชื่อและการกระทำที่ถูกต้อง
* การสอนใดๆที่ขัดแย้งกับพระคัมภีร์เราต้องปฏิเสธ
* ประสบการ์ณใดๆที่ไม่พบในพระคัมภีร์ต้องได้รับการวินิจฉัยตามหลักพระคัมภีร์โดยมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางเสมอ
* สิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตคริสเตียนเห็นได้แจ่มชัดในพระคัมภีร์ โดยไม่ขึ้นกับคณะนิกายหรือกลุ่มคริสเตียนใดๆ ประสบการณ์อาจมีได้และอาจเป็นประโยชน์ แต่ไม่ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น
* ถ้อยคำที่เผยในรูปแบบของประทานการเผยพระวจนะย่อมมีน้ำหนักน้อยกว่าพระคัมภีร์ เพราะอาจมีความผิดพลาดได้ พระคัมภีร์เท่านั้นที่ไม่ผิดพลาดใดๆเลย

“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว”
‭‭มัทธิว‬ ‭5:18‬ ‭TH1971‬‬

พระคัมภีร์เขียนโดยได้รับการดลใจจากพระเจ้า

พระคัมภีร์เขียนโดยได้รับการดลใจจากพระเจ้า
พระคัมภีร์ประกอบด้วยหนังสือทั้งหมด 66 เล่ม เขียนในเวลาต่างๆกันรวมระยะเวลาทั้งหมด 1600 ปี มีผู้เขียนมากกว่า 40 คน ที่ต่างสังคม ฐานะและวัฒนธรรม แต่ข้อความทั้งหมดเป็นเรื่องเดียวกันและเป็นเอกภาพ
พระคัมภีร์มีความสำคัญมากกับชีวิตคริสเตียน เพราะพระคัมภีร์ทีสิทธิอำนาจในการสอน ตักเตือน ว่ากล่าว และกำหนดทิศทางการดำเนินชีวิตให้แก่เรา
พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่ทรงดลใจผู้เขียนแต่ละคน นี่ไม่ได้หมายความว่าเขียนตามคำบอกของพระเจ้าทีละคำ แต่เป็นการเขียนตามภาษาและตามลักษณะเฉพาะตัวของผู้เขียนแต่ละคนตามที่พระเจ้าทรงประทานภาระใจและแนวคิดให้ และพระองค์ทรงครอบครองเหนือการเขียนของพวกเขา รวมทั้งให้เขาเลือกใช้คำที่เหมาะสมเพื่อถ่ายทอดสิ่งที่พระองค์ต้องการจะสื่อสารผ่านเขาด้วย
เปโตรได้อธิบายว่า ‘คำของผู้เผยพระวจนะนั้น ไม่ได้มาจากความประสงค์ของมนุษย์เลย แต่มนุษย์กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้าตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจเขา’ (2 เปโตร 1:21)

** พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า วันนี้คุณอ่านพระคัมภีร์หรือยัง?

ร่วมมือกับพระเจ้าและรับการเปลี่ยนแปลง

ร่วมมือกับพระเจ้าและรับการเปลี่ยนแปลง
พระเจ้าทรงชำระเราให้เป็นผู้บริสุทธิ์ และเรามีส่วนสำคัญในการให้ความร่วมมือกับพระองค์ เพราะการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ในพระธรรมโรม เปาโลได้กำชับเราว่า ให้เราถวายตัวและรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยจึงจะเปลี่ยนใหม่

“พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม”
‭‭โรม‬ ‭12:1-2‬ ‭TH1971‬‬

สิ่งแรกคือ ให้ถวายตัวแด่พระเจ้า พระเจ้าจะไม่บังคับให้เราเปลี่ยนแปลงถ้าเรายังไม่พร้อม พระองค์เรียกร้องให้เราถวายตัว ยอมจำนน พร้อมที่จะตายต่อตัวเองและรับชีวิตใหม่ที่มาจากพระองค์
สิ่งที่สอง อุปนิสัยจะเปลี่ยนใหม่ เปาโลกำชับว่า จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ หมายถึงเรียนรู้ที่จะคิดอีกแบบหนึ่ง คิดอย่างที่พระเจ้าคิดโดยการอ่านและศึกษาพระคัมภีร์ สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ เปาโลจึงกำชับทิโมธีว่า จงอุตส่าห์สำแดงตนว่าได้ทรงพิสูจน์แล้ว เป็นคนงานที่ไม่ต้องอาย ใช้พระวจนะแห่งความจริงอย่างถูกต้อง
ในที่สุด อุปนิสัยใหม่จะค่อยๆกลายเป็นธรรมชาติใหม่ที่เป็นตัวเรา

เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์

เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์
บัพติศมา หมายถึงการจุ่มลงมิด ผู้เชื่อจะถูกจุ่มทั้งตัวในน้ำ แล้วค่อยโผล่ขึ้นมาใหม่ เป็นการแสดงว่าตัวเก่าได้ตายไปแล้วโดยถูกฝังในความตายของพระเยซูคริสต์ และเป็นคนใหม่แล้วโดยเป็นขึ้นมาจากตายด้วยกันกับพระองค์ พระเยซูสั่งให้เรารับบัพติศมาในพระนามพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งหมายความว่าเราได้ถูกจุ่มลงในพระเจ้าที่รวมทั้งพระบิดา พระเยซูและพระวิญญาณบริสุทธิ์
เปาโลได้เขียนไว้ว่า พระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของเรา (โคโลสี 3:4) และ ชีวิตของเราซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้า (โคโลสี 3:3) และ พระคริสต์ทรงมีชีวิตอยู่ในเรา (กาลาเทีย 2:20)

“เพราะว่าท่านได้ตายแล้ว และชีวิตของท่านซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้า เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของเราทรงปรากฏ ขณะนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในศักดิ์ศรีด้วย”
‭‭โคโลสี‬ ‭3:3-4‬ ‭TH1971‬‬

“ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า”
‭‭กาลาเทีย‬ ‭2:20‬ ‭TH1971‬‬

การเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์มีความหมายลึกซึ้งมากกว่าคำว่าพระเยซูเป็นสหายเลิศ หรือพระองค์ทรงเดินเคียงข้างเรา แต่การเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์คือ การที่ชีวิตของเราได้ถูกซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้า
การที่เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นพระเจ้าหรือมาเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ เรายังคงเป็นมนุษย์เหมือนเดิม แต่เป็นมนุษย์ที่อยู่ในพระเจ้า และเป็นมนุษย์ที่มีพระเจ้าอยู่ในเรา

“พระเจ้าทรงชอบพระทัยที่จะสำแดงให้ธรรมิกชนเหล่านั้นรู้ว่า ในหมู่คนต่างชาตินั้นอะไรเป็นความมั่งคั่งแห่งข้อล้ำลึกนี้ คือที่พระคริสต์ทรงสถิตในท่านอันเป็นที่หวังแห่งศักดิ์ศรี”
‭‭โคโลสี‬ ‭1:27‬ ‭TH1971‬‬

การบังเกิดใหม่

การบังเกิดใหม่
สิ่งสำคัญที่พระเจ้าได้กระทำต่อผู้เชื่อและกลับใจคือการให้ผู้นั้นบังเกิดใหม่ เหมือนกับที่พระเยซูได้บอกกับนิโคเดมัสใน ยอห์น 3:3

“พระเยซูตรัสตอบเขาว่า <<เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่ ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้>>”
‭‭ยอห์น‬ ‭3:3‬ ‭TH1971‬‬

ยอห์นให้บัพติศมาด้วยน้ำเพื่อแสดงถึงการกลับใจ แต่พระเยซูทรงให้บัพติศมาที่ยิ่งใหญ่กว่าคือให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (มก 1:8) ซึ่งเป็นการบังเกิดใหม่จากพระวิญญาณ

“เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่พระองค์นั้นจะให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์>>”
‭‭มาระโก‬ ‭1:8‬ ‭TH1971‬‬

การบังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณเป็นการทำงานที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เพื่อให้เราได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่อย่างแท้จริง (2 โครินธ์ 5:17, ทิตัส 3:5)

“เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”
‭‭2 โครินธ์‬ ‭5:17‬ ‭TH1971‬‬

“พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้รอด มิใช่ด้วยการกระทำที่ชอบธรรมของเราเอง แต่พระองค์ทรงพระกรุณาชำระให้เรามีใจบังเกิดใหม่ และทรงสร้างเราขึ้นมาใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
‭‭ทิตัส‬ ‭3:5‬ ‭TH1971‬‬

อย่างไรก็ตาม การบังเกิดใหม่เป็นเพียงการเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ ผู้ที่บังเกิดใหม่ยังต้องดำเนินชีวิตในพระเยซูอย่างต่อเนื่องต่อไป จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์ (โคโลสี 1:28, 2:6-7)
“พระองค์นั้นแหละเราประกาศอยู่ โดยเตือนสติทุกคนและสั่งสอนทุกคนให้มีสติปัญญาทุกอย่าง เพื่อจะได้ถวายทุกคนให้เป็นผู้ใหญ่แล้วในพระคริสต์”
‭‭โคโลสี‬ ‭1:28‬ ‭TH1971‬‬
“เหตุฉะนั้นเมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสตเจ้าแล้วฉันใด จงปฏิบัติพระองค์ด้วยฉันนั้น จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ และมั่นคงอยู่ในความเชื่อ ตามที่ท่านได้รับคำสั่งสอนมาแล้ว และจงบริบูรณ์ด้วยการขอบพระคุณ”
‭‭โคโลสี‬ ‭2:6-7‬ ‭TH1971‬‬

การรับเชื่อ และ การกลับใจ

การรับเชื่อ และ การกลับใจ
เรามักได้ยินเสมอว่า คนนั้นรับเชื่อ คนนี้รับเชื่อ การรับเชื่ออาจมีหลากหลาย บางคนอาจแค่หมายความว่าได้เริ่มต้นที่จะเชื่อว่ามีพระเจ้า ส่วนความเข้าใจในข่าวประเสริฐและมอบความไว้วางใจกับพระเจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก อย่างไรก็ตามเมื่อความเชื่อได้เริ่มต้นก็สามารถพัฒนาต่อไปได้
แต่สำหรับเรื่องการกลับใจนั้น คือความรู้สึกเสียใจเพราะสำนึกในความบาปและหันมาเดินในทางของพระเจ้า ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่ควรจะเกิดขึ้นพร้อมกันในเวลาที่รับเชื่อด้วย แต่ส่วนใหญ่มักจะพูดถึงสาเหตุที่เชื่อ เพราะ พระเจ้าช่วยให้หายจากความเจ็บป่วย พระเจ้าช่วยให้พ้นจากความทุกข์ยาก และพระเจ้าช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วจึงเชื่อและเกิดความชื่นชมยินดี

“เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้แจ้งในเรื่องความผิด ความชอบธรรม และการพิพากษา”
‭‭ยอห์น‬ ‭16:8‬ ‭TH1971‬‬

ในพระธรรมยอห์น 16:8 บอกว่า พระวิญญานจะนำให้เขารู้แจ้งในเรื่องความผิด ฉะนั้นจึงจำเป็นที่ผู้เชื่อจะต้องได้รับคำสอน คำอธิบายต่อไปจนกว่าจะเกิดการกลับใจอย่างสมบูรณ์แท้จริง นั่นแหละที่พระคัมภีร์เรียกว่าการบังเกิดใหม่

ความหมายของกางเขน

ความหมายของกางเขน
การประหารชีวิตโดยการตรึงกางเขน มีจุดประสงค์ให้นักโทษบนกางเขนได้รับความอับอายอย่างมาก ถูกเฆี่ยนและเปลื้องผ้าเปลือยกายก่อนตรึงมือและเท้า และยกกางเขนขึ้นต่อหน้าสาธารณชนทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก ที่นั่นผู้ถูกตรึงจะถูกประนาม เยาะเย้ยและถ่มน้ำลายรด ทนทุกข์ทรมานจนสิ้นใจในที่สุด ไม่เคยมีรูปแบบการประหารชีวิตที่นำความอับอายมาถึงผู้ถูกประหารเท่ากับการตรึงกางเขนนี้ พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ที่สุด ไม่สมควรเลยที่พระองค์ต้องได้รับความทุกข์ทรมานและอับอาย เช่นนี้
แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนี้?
เพราะความรักมากมายของพระองค์ที่มีต่อเราทั้งหลาย ทรงยอมและเสียสละเพื่อเราทุกคน รับแบกบาป ความทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสและความอับอายแทนเรา และบนกางเขนนั้นเราทั้งหลายได้รับการรักษาให้หายดี

“เพราะท่านได้เจริญขึ้นต่อพระพักตร์พระองค์อย่างต้นไม้อ่อน และเหมือนรากแตกหน่อมาจากพื้นดินแห้ง ท่านไม่มีรูปร่างหรือความสวยงามซึ่งเราทั้งหลายจะมองท่าน และไม่มีความงามที่เราจะพึงปรารถนาท่าน ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความเจ็บไข้ และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้ ท่านถูกดูหมิ่น และเราทั้งหลายไม่ได้นับถือท่าน แน่ทีเดียวท่านได้แบกความเจ็บไข้ของเราทั้งหลาย และหอบความเจ็บปวดของเราไป กระนั้นเราทั้งหลายก็ยังถือว่าท่านถูกตี คือพระเจ้าทรงโบยตีและข่มใจ แต่ท่านถูกบาดเจ็บเพราะความทรยศของเราทั้งหลาย ท่านฟกช้ำเพราะความบาปผิดของเรา การตีสอนอันทำให้เราทั้งหลายสมบูรณ์นั้น ตกแก่ท่าน ที่ท่านต้องฟกช้ำนั้นก็ให้เราหายดี เราทุกคนได้เจิ่นไปเหมือนแกะ เราทุกคนต่างได้หันไปตามทางของตนเอง และพระเจ้าทรงวางลงบนท่าน ซึ่งความบาปผิดของเราทุกคน ท่านถูกบีบบังคับและท่านถูกข่มใจ ถึงกระนั้นท่านก็ไม่ปริปาก เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนแกะที่เป็นใบ้อยู่หน้าผู้ตัดขนของมันฉันใด ท่านก็ไม่ปริปากของท่านเลยฉันนั้น”
‭‭อิสยาห์‬ ‭53:2-7‬ ‭TH1971‬‬

สำเร็จแล้ว ที่กางเขน

สำเร็จแล้ว ที่กางเขน
ความจริงที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้คือพระเจ้าทรงพระพิโรธต่อมนุษย์ที่พวกเขาปฏิเสธพระองค์ และกางเขนเป็นทางเดียวที่มนุษย์จะคืนดีกับพระเจ้าโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย แต่พระเยซูต่างหากที่ต้องสูญเสียอย่างมหาศาล ไม่เพียงพระเยซูเท่านั้น แต่พระเจ้าทั้งตรีเอกานุภาพ พระบิดา พระบุตร พระวิญญานบริสุทธิ์ทรงถูกกระทำที่กางเขนด้วย บนกางเขนพระเยซูทรงร้องว่า พระองค์เจ้าข้า ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์

“ครั้นประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า <<เอลี เอลี ลามาสะบักธานี>> แปลว่า <<พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย>>”
‭‭มัทธิว‬ ‭27:46‬ ‭TH1971‬‬

เป็นสิ่งล้ำลึกที่เข้าใจยาก พระบิดา พระบุตร พระวิญญานบริสุทธิ์ทรงเป็นหนึ่งเดียวตลอด แต่เมื่อขณะพระเยซูอยู่บนกางเขน ตรีเอกานุภาพถูกแยกเป็นช่วงเวลาหนึ่ง และสำหรับพระองค์การถูกแยกจากพระบิดาเป็นความทุกข์ที่แสนทรมานกว่าสิ่งใด

“<<พระบิดาเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดีอย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด>> [ทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาปรากฏแก่พระองค์ ช่วยชูกำลังพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงเป็นทุกข์มากนัก พระองค์ยิ่งปลงพระทัยอธิษฐาน พระเสโทของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตไหลหยดลงถึงดินเป็นเม็ดใหญ่]”
‭‭ลูกา‬ ‭22:42-44‬ ‭TH1971‬‬

นั่นเป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่พระเยซูได้ทรงเสียสละ ทรงเปิดทางให้เราได้คืนดีกับพระเจ้า และให้เราได้ดำรงชีวิตใหม่เนื่องด้วยการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์

Sunday, June 14, 2020

ความรอดเริ่มต้นที่พระเจ้า

ความรอดเริ่มต้นที่พระเจ้า

ควารอดไม่ใช่การรอดพ้นจากความทุกข์ หรือรอดพ้นจากเวรกรรม แต่ความรอดคือรอดจากสภาพที่ถูกแยกจากพระเจ้า กลับมาคืนดีกับพระองค์ มนุษย์เป็นคนบาป ไม่ยอมให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ถ้าพระองค์ไม่ช่วยก็จะไม่มีผู้ใดมาถึงพระองค์ได้

“เพื่อจะให้ชนชาติของพระองค์มีความรู้ถึงความรอด ที่มาทางการทรงยกบาปของเขา”
‭‭ลูกา‬ ‭1:77‬ ‭TH1971‬‬

“พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ ให้เป็นองค์พระผู้นำและองค์พระผู้ช่วยให้รอด เพื่อจะให้ชนอิสราเอลกลับใจใหม่ แล้วจะทรงโปรดยกความบาปผิดของเขา”
‭‭กิจการ‬ ‭5:31‬ ‭TH1971‬‬

“ถึงแม้ว่าเมื่อเราตายไปแล้วในการบาป พระองค์ยังทรงกระทำให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ (ซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณ)”
‭‭เอเฟซัส‬ ‭2:5‬ ‭TH1971‬‬

มนุษย์เป็นผู้ที่สมควรแก่พระอาชญาของพระเจ้า (เอเฟซัส 2:3) แต่ที่กางเขนพระเจ้าทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญาโดยพระโลหิตของพระองค์ (โรม 3:25) พระเยซูเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้เชื่อฟังพระเจ้าอย่างถึงที่สุด พระเจ้าจึงทรงพอพระทัยและทรงระงับพระพิโรธของพระองค์ที่มีต่อมนุษย์ ความรอดจึงไม่ได้ขึ้นกับการกระทำของเราแต่ขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยของพระเจ้า

พระคริสต์ทรงเป็นศูนย์กลางของการนมัสการ

พระคริสต์ทรงเป็นศูนย์กลางของการนมัสการ
เราต้องตระหนักว่าพระคริสต์ทรงเป็นศูนย์กลางการนมัสการ ไม่ใช่ตัวเราหรือบุคคลใด และต้องตระหนักว่าให้พระองค์ทรงพอพระทัยไม่ใช่ตัวเราพอใจ เมื่อพระคริสต์ทรงเป็นศูนย์กลางของการนมัสการ วิญญานชั่วจะไม่มีสิทธิ์มีส่วนในการนมัสการของเรา บางคนเข้าใจผิดว่าจะต้องผูกมัดวิญญานชั่วทุกครั้งก่อนจึงจะนมัสการพระเจ้าได้ ความคิดเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับการยอมรับพระองค์เป็นศูนย์กลางของการนมัสการ เมื่อเราเชื่อและรู้แล้วว่าพระองค์สูงส่งและยิ่งใหญ่กว่าวิญญานชั่วทั้งหลาย และพระวิญญานขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น

“องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น”
‭‭2 โครินธ์‬ ‭3:17‬ ‭TH1971‬‬

เราจะสัมผัสพระองค์ผ่านการนมัสการ ซึ่งจะไม่ขึ้นอยู่กับความเก่งของผู้นำนมัสการหรือความเชี่ยวชาญของนักดนตรี แต่ที่เราสัมผัสพระองค์ได้นั้น เป็นเพราะพระเยซูทรงอยู่ท่ามกลางเราและเป็นศูนย์กลางของการนมัสการ
“ด้วยว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหนๆในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางเขาที่นั่น>>”
‭‭มัทธิว‬ ‭18:20‬ ‭TH1971‬‬

พระคริสต์ทรงเป็นรากฐานชีวิตของเรา

พระคริสต์ทรงเป็นรากฐานชีวิตของเรา

“เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย”
‭‭ยอห์น‬ ‭15:5‬ ‭TH1971‬‬

 พระเยซูเปรียบพระองค์เองเป็นเถาองุ่นแท้ และตรัสว่า ถ้าแยกจากเราแล้ว พวกท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นการดำเนินชีวิตคริสเตียนหรือแม้แต่การรับใช้ ไม่ได้ขึ้นกับการตะเกียกตะกาย หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับกำลังและความพยายามสูงสุดของเราเพื่อให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า เพราะความจริงคือพระคริสต์ทรงเป็นศูนย์กลางไม่ใช่ตัวเรา

“ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยศรัทธาในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า”
‭‭กาลาเทีย‬ ‭2:20‬ ‭TH1971‬‬

เปาโลเองได้ยอมรับว่า พระคริสต์ต่างห่างที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า  ซึ่งหมายถึงเราและพระคริสต์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความสัมพันธ์ที่สนิทแน่น เปรียนเสมือนเส้นลวดเล็กๆที่เชื่อมสนิทแนบอยู่กับเสาเหล็กที่แข็งแกร่ง พระองค์ทรงเข้มแข็งแต่เราอ่อนแอ และเมื่อมีพระองค์อยู่ในเรา เราก็ดำเนินชีวิตโดยกำลังที่เข้มแข็งที่มาจากพระองค์

** เมื่อจะทำสิ่งใด ทำโดยมีพระคริสต์เป็นศูนย์กลางชีวิตของเรา

มีอำนาจเดียวที่ครอบครองเหนือทุกสิ่ง

มีอำนาจเดียวที่ครอบครองเหนือทุกสิ่ง
คนมักเข้าใจผิดว่ามี 2 อำนาจที่เท่าเทียมกันที่ต่อสู้กันอยู่ คือ อำนาจแห่งความดีของพระเจ้า กับอำนาจแห่งความชั่วของมาร

“พระเจ้าตรัสครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ยินอย่างนี้สองครั้งแล้ว ว่าฤทธานุภาพเป็นของพระเจ้า”
‭‭สดุดี‬ ‭62:11‬ ‭TH1971‬‬

ในพระธรรมสดุดี 62:11 ได้บอกเราว่าฤทธานุภาพเป็นของพระเจ้า
พระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งรวมทั้งมารซาตานด้วย ดังนั้นผู้สร้างก็แตกต่างจากสิ่งที่ถูกสร้างอย่างสิ้นเชิง อำนาจของมารก็เป็นอำนาจที่พระเจ้าได้ทรงอนุญาติให้มันใช้ได้

“และพระเจ้าตรัสกับซาตานว่า <<ดูเถิด บรรดาสิ่งที่เขามีอยู่ก็อยู่ในอำนาจของเจ้า เพียงแต่อย่ายื่นมือแตะต้องตัวเขาเท่านั้น>> ซาตานจึงออกไปจากพระพักตร์ของพระเจ้า”
‭‭โยบ‬ ‭1:12‬ ‭TH1971‬‬

ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของพระเจ้า พระองค์ทรงค้ำจุนสิ่งทั้งปวงด้วยพระวจนะอันทรงฤทธิ์ของพระองค์

“พระบุตรทรงเป็นแสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า และทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์ และทรงผดุงโลกไว้ด้วยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ เมื่อพระองค์ได้ทรงชำระบาปแล้ว ก็ได้ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าเบื้องบน”
‭‭ฮีบรู‬ ‭1:3‬ ‭TH1971‬‬

ทรงมีสติปัญญาเหนือกว่าสิ่งใดๆทั้งสิ้น
สำหรับมารซาตาน พระเจ้าได้กำหนดเวลาไว้แล้วที่จะจัดการกับมัน แม้ในขณะนี้จะยังทรงอนุญาตให้มันมีอำนาจในระดับหนึ่ง ก็เพื่อจะทรงใช้สิ่งที่มารกระทำนั้น ทำให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จ พระองค์ยังทรงครอบครองอยู่
เมื่อเรารู้ความจริงเช่นนี้ เราต้องไม่กลัวเหล่ามารและสมุนของมัน ต้องมองที่พระเจ้าผู้ทรงเป็นศูนย์กลาง ทรงอยู่เหนือทุกสิ่งและมีอำนาจเหนือทุกสิ่ง

** อย่ากลัวเลย! มีอำนาจเดียวที่ครอบครองอยู่ คืออำนาจสูงสุดของพระเจ้าของเรา

พระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางจักรวาล

พระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางจักรวาล
พระธรรมปฐมกาลได้บอกเราว่า พระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทุกสรรพสิ่งล้วนเกิดจากพระองค์รวมทั้งมนุษย์ด้วย
เมื่ออาดามและเอวาเลือกที่จะกินผลไม้ที่พระเจ้าสั่งห้าม นั่นคือความบาปที่ปฏิเสธการเป็นศูนย์กลางของพระเจ้าแต่ให้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง มนุษย์จึงแยกจากความสัมพันธ์ที่สนิทกับพระเจ้า
ถึงแม้มนุษย์จะเลือกทางตัวเองและถูกครอบครองและล่อลวงโดยวิญญาณชั่ว แต่ถึงกระนั้นพระเจ้าก็ยังคงเป็นศูนย์กลางและครอบครองอยู่เหนือทุกสถานะการณ์
โยบ 38

พระคริสต์ทรงเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง

พระคริสต์ทรงเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง

“เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ ข้าพเจ้าก็ล้มลงแทบพระบาทของพระองค์เหมือนกับคนที่ตายแล้ว แต่พระองค์ทรงแตะตัวข้าพเจ้าด้วยพระหัตถ์เบื้องขวา แล้วตรัสว่า <<อย่ากลัวเลย เราเป็นเบื้องต้นและเป็นเบื้องปลาย”
‭‭วิวรณ์‬ ‭1:17‬ ‭TH1971‬‬

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย
พระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางของความเชื่อที่ถูกต้องเสมอ เพราะความเชื่อที่ถูกต้องนั้นจะต้องเริ่มคิดถึงพระเจ้าก่อนและจบลงที่พระองค์ด้วย พระเจ้าทรงเป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่ง ทั้งสิ่งที่อยู่ในอดีต สิ่งที่อยู่ในปัจจุบัน และสิ่งซึ่งจะมีอยู่ในอนาคตด้วย ตัวเราจึงไม่ใช่ศูนย์กลาง แต่พระเยซูคริสต์ต่างหากที่ทรงเป็นศูนย์กลาง