Wednesday, September 12, 2018

คริสเตียนต้องอดทนและรอคอย

คริสเตียนต้องอดทนและรอคอย

คงจะเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวของ จอร์จ มูลเลอร์ มาบ้างแล้วนะครับ แต่ก็อยากจะเล่าบางเรื่องบางตอนของชีวิต จอร์จ มูลเลอร์ให้ฟังอีกสักครั้งหนึ่งก่อนจะเข้าสู่พระคำของพระเจ้า
จอร์จ มูลเลอร์ เป็นชาวเยอรมันที่อาศัยในประเทศอังกฤษ ท่านเป็นผู้บุกเบิกก่อตั้งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ชื่อว่า Ashley Down Orphanage in Bristol ประเทศอังกฤษ ท่านเป็นผู้ที่ยืนหยัดอยู่บนพระดำรัสของพระเจ้า มีจิตใจที่เต็มไปด้วยการอธิษฐาน จนกระทั่งมีชัยเหนืออุปสรรคต่างๆ  ท่านเล่าว่า พระเจ้าของข้าพเจ้าไม่เคยทำให้ข้าพเจ้าผิดหวังเลย เกือบ 70 ปีแล้วที่พระเจ้าประทานสิ่งของจำเป็นทุกอย่างสำหรับการเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงบัดนี้มีจำนวนถึงประมาณหนึ่งหมื่นคน พวกเราไม่เคยอดอยากเลยแม้สักมื้อเดียว พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานและให้มีเพียงพอสำหรับเด็กๆ เราไม่มีองค์กรณ์ ไม่มีผู้เรี่ยไรเงิน  ทุกสิ่งที่ได้รับเป็นการตอบคำอธิษฐานโดยความเชื่อทั้งสิ้น
เล่ากันว่า สมุดบันทึกประจำวันของ จอร์จ มูลเลอร์ ล้วนเต็มไปด้วยการบันทึกคำตอบคำอธิษฐานจากพระเจ้า นั่นเป็นเพราะท่านอธิษฐานจนความไม่เชื่อพ่ายแพ้ไป เช่น
ครั้งหนึ่งในบ้านเด็กกำพร้า ซึ่งมีเด็กๆประมาณ 2000 คน ได้มานั่งลงเพื่อรับประทานอาหาร แต่บนโต๊ะอาหารนั้นกลับว่างเปล่า ไม่มีอาหารใดๆ  จอร์จ มูลเลอร์นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ และเชิญชวนเด็กๆให้อธิษฐานขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหาร เด็กๆพากันแปลกใจและถามว่าไหนอาหาร จอร์จบอกเด็กๆว่า พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมอาหารให้เอง ให้ทุกคนอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าด้วยกัน หลังจากที่ทุกคนอธิษฐานจบลงสักครู่หนึ่ง มีเสียงเคาะที่ประตู จอร์จไปเปิดประตู มีคนขับรถมาถามว่าต้องการขนมปังกับนมไหม เพราะรถขนส่งขนมปังกับนมเกิดอุบัติเหตุและทำให้ขนมปังกับนมนั้นเกลื่อนเต็มพื้น ผู้จัดการบริษัทจึงไม่ต้องการขนมปังและนมเหล่านั้นแล้ว พวกเขาจึงอยากจะนำมาให้บ้านเด็กกำพร้า จอร์จตอบว่า ขอบคุณครับ กำลังรออยู่พอดี พร้อมกับหันไปบอกเด็กๆว่า พระเจ้าอาจมาช้าหน่อยแต่พระองค์ไม่เคยมาสาย

ในชีวิตเราก็เช่นกัน ให้เราเชื่อและวางใจ กล้าที่จะทูลขอ อย่าสงสัยในคำอธิษฐานของตัวเอง  ไม่ใช่อธิษฐานเสร็จก็คิดต่อเลย เอ๊ มันจะเป็นไปได้มั๊ย หรือ ไม่ได้แน่ๆเลย ให้เรากล้าที่จะเชื่อ กล้าที่จะวางใจในพระเจ้า พระองค์ไม่เคยมาสาย ในพระธรรมมัทธิว 21.22 บอกว่า
สิ่งสารพัดซึ่งท่านอธิษฐานด้วยความเชื่อ ท่านจะได้

พระวจนะ ของพระเจ้าที่เราจะอ่านด้วยกันในวันนี้ อยู่ในพระธรรม ฮาบากุก 2.1-3
ข้าพเจ้าจะยืนเฝ้าดูอยู่  ข้าพเจ้าจะยืนที่หอคอย และมองออกไปเพื่อจะฟังดูว่า พระองค์จะตรัสอะไรแก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะทูลตอบพระองค์เกี่ยว ด้วยการร้องทุกข์ของข้าพเจ้าอย่างไร และพระเจ้าตรัสตอบข้าพเจ้าว่าจงเขียนนิมิตนั้นลงไปจงเขียนไว้บนแผ่นป้ายให้กระจ่าง เพื่อให้คนที่วิ่งอ่านได้คล่อง  เพราะว่านิมิตนั้นยังรอเวลาของมันอยู่  มันกำลังรีบไปถึงความสำเร็จ  มันไม่มุสา ถ้าดูช้าไป ก็จงคอยสักหน่อย มันจะบังเกิดขึ้นเป็นแน่ คงไม่ล่าช้านัก

ฮาบากุก เป็นผู้เผยพระวจนะในรัชสมัยของกษัตริย์เยโฮยาคิม ระหว่างประมาณปี กคศ 606-604 ตอนนั้นอิสราเอลตอนเหนือได้ล่มสลายแล้วและได้ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย เหลือแต่อิสราเอลฝั่งใต้คืออาณาจักรยูดาห์ที่มีเมืองหลวงคือเยรูซาเล็ม
อาณาจักรฝั่งเหนือได้ถูกทำลายโดยอัสซีเรียตั้งแต่ปี กคศ 722 และประชากรถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ส่วนอาณาจักรใต้ในช่วงช่วงชีวิตของฮาบากุกเอง ก็ถูกรุกรานข่มเหงโดยกองทัพของเนบูคัดเนสซาแห่งอาณาจักรบาบิโลน
ฮาบากุก เป็นผู้เผยพระวจนะที่ต่างจากคนอื่นๆ ผู้เผยพระวจนะคนอื่นจะเป็นผู้นำข่าวสารจากพระเจ้าไปถึงประชาชน แต่ฮาบากุกจะสนทนากับพระเจ้า ถามพระเจ้าและร้องทุกข์เกี่ยวกับความทุกข์ยากของประชาชน
ฮาบากุกเริ่มต้นด้วยการถามข้อสงสัยต่อพระเจ้า  ท่านไม่เข้าใจว่า ทำไมพระเจ้ายอมให้ผู้คนที่ทรงเลือกสรรหรือประชากรของพระองค์ต้องพบกับ การข่มเหง ความทุกข์ทรมาน ภายใต้เงื้อมือของศัตรู  ในเวลานั้นสภาพของชนชาติอิสราเอลบอบช้ำมาก เมื่อฮาบากุกมองดูสภาพบ้านเมืองที่เลวร้ายในเวลานั้น รู้สึกเศร้าสลดใจ ท่านร้องทูลพระเจ้าในบทที่ 1 ว่า

2 ข้าแต่พระเจ้า  ข้าพระองค์จะร้องทุกข์นานสักเท่าใดและพระองค์มิได้ทรงฟัง หรือข้าพระองค์จะร้องทูลต่อพระองค์ว่า ทารุณ พระเจ้าข้าและพระองค์ก็ไม่ทรงช่วย
3 ไฉนพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์เห็นการชั่วและให้มองเห็นความยากลำบาก ทั้งการทำลายและความทารุณก็อยู่ตรงหน้าข้าพระองค์ การวิวาทและการทุ่มเถียงกันก็เกิดขึ้น
4 ดังนั้น ธรรมบัญญัติจึงหย่อนยานและความยุติธรรมก็มิได้ปรากฏเสียเลย
เพราะว่าคนอธรรมล้อมรอบคนชอบธรรมไว้ ความยุติธรรมจึงปรากฏอย่างวิปลาส

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าฮาบากุกเป็นปัญหาที่เกินกำลังที่เขาจะรับได้
เมื่อเรามีปัญหา เราเลือกที่จะเผชิญปัญหาแบบไหน
เครียด  -> เหล้า - กิน – บางคนไม่กิน อด – ร้องไห้ฟูมฟาย –พูดมาก เห็นใครก็ระบาย บางทีแมวหมาที่บ้านก็โดนหมด
พระเจ้าไม่ต้องการให้เราหนีปัญหา หรือพึ่งพามนุษย์เพียงอย่างเดียว หรือโยนความผิดให้คนอื่น โทษคนอื่น โทษชะตากรรม บางคนก็ไปบนบานศาลกล่าว เจ้าพ่อเจ้าแม่อะไรก็เอาหมด แม้แต่ใต้ต้นมะขามก็เอา
ในแต่ละวันที่เราดูหน้าทีวี หนังสือพิมพ์ หรือโซเชียลที่แชร์กัน มีแต่เรื่อง ปล้น จี้ ทำร้ายร่างกาย ข่มขืน หย่าร้าง เราเสพข่าวมากมาย แต่เราเข้าไปแก้ไขได้มั๊ยครับ ไม่ได้เพราะเราเป็นแค่ประชาชนธรรมดา ตัวเล็กๆ เราได้แต่มองดูแต่ยื่นมือเข้าไปแก้ไขอะไรไม่ได้

ฮาบากุกก็เช่นเดียวกัน ท่านมองเห็นความชั่ว คนชั่วร้ายกำลังล้อมคนชอบธรรมไว้
ฮาบากุกถามพระเจ้าว่า - นานเท่าไร ?? จะต้องทนอีกนานเท่าไร หรือจะต้องร้องทารุณพระเจ้าข้า แล้วพระองค์ก็ไม่ทรงช่วย
ดูจากน้ำเสียงแล้ว ฮาบากุกคงจะทุกข์ใจ ทรมานใจมากทีเดียว เพราะมีแต่ความทารุณอยู่ตรงหน้า ธรรมบัญญัติก็หย่อนยาน ความยุติธรรมก็ไม่มี  ไม่พียงแต่ความทารุณอยู่ตรงหน้าเท่านั้น แต่คนยูดาห์เองก็หย่อนยานต่อธรรมบัญญัติของพระเจ้า ไม่เอาจริงเอาจัง
พี่น้องครับ สายกีตาร์ เวลามันหย่อนยานเป็นไงครับ เสียงเพราะมั๊ย ??
พระธรรมฮาบากุกมีแค่ 3 บท เริ่มต้นด้วยการที่ฮาบากุกร้องทูลถามพระเจ้าด้วยสงสัยและความทุกข์ใจและจบลงด้วยคำทูลวิงวอนต่อพระเจ้าเพื่อประชาชน  
พระธรรมฮาบากุกได้ชี้ให้เห็นถึง

การเป็นคริสเตียนที่ดีจะต้องรู้จักการรอคอย  เราจะต้องมี 3 ต้อง

1    ต้องอดทนนาน
ฮาบากุกเองเป็นผู้เผยพระวจนะที่พูดคุยโต้ตอบกับพระเจ้าตลอดพระธรรมทั้ง 3 บท เขาต้องอดทนต่อหลายสิ่งหลายอย่างที่ล้อมรอบตัวเขา ต้องอดทนต่อการเห็นความชั่วร้ายของบาบิโลน ต้องทนต่อสิ่งที่น่าสลดใจยิ่งคือการที่ชนชาติของเขาเพิกเฉยต่อพระธรรมบัญญัติ และต้องทนรอคอยคำตอบจากพระเจ้า ในบทที่ 1.3 ฮาบากุกได้กล่าวว่า

ไฉนพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์เห็นการชั่ว
และให้มองเห็นความยากลำบาก
การวิวาทและการทุ่มเถียงกันก็เกิดขึ้น

คำถามขึ้นต้นด้วยคำว่า ไฉน หรือ ทำไม เพราะเขาสงสัยว่าทำไมพระเจ้าจึงปล่อยให้ชนชาติของพระองค์ถูกข่มเหงทำร้าย และพระเจ้าก็ได้ตอบความสงสัยของฮาบากุก และเปิดเผยถึงแผนการของพระองค์ที่ทรงใช้บาบิโลนโจมตียูดาห์  เป็นการลงโทษพลไพร่ของพระองค์ เพราะยูดาห์เองก็ไม่ใช่ผู้ชอบธรรมอย่างที่ฮาบากุกมอง และยูดาห์เองก็ได้ประพฤติบาปชั่วไม่ต่างจากบาบิโลน พระองค์จึงใช้บาบิโลนเป็นแส้เพื่อที่จะตีสอนยูดาห์ให้สำนึกผิด เพื่อที่พวกเขาจะหันกลับมาหาพระองค์  คำตอบของพระเจ้าคือ คนชอบธรรมจะดำรงชีวิตอยู่โดยความเชื่อเท่านั้น เมื่อถึงเวลาพระองค์จะทรงลงโทษบาบิโลนเช่นเดียวกัน ซึ่งทำให้ฮาบากุกรู้สึกพอใจในคำตอบของพระเจ้า ที่ทำให้ท่านเกิดความเชื่อ ความหวังและความยินดี แม้สิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยจะทำให้ฮาบากุกตกใจ  ในบทที่ 3.16

ข้าพเจ้าได้ยิน และท้องของข้าพเจ้าก็สั่นเทา พอได้ยินเสียง ริมฝีปากของข้าพเจ้าก็สั่น
กระดูกของข้าพเจ้าก็ผุพัง และข้าพเจ้าก็สั่นเทาอยู่ในที่ของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะคอยวันแห่งความลำบากอย่างเงียบๆ คือวันที่จะมาถึงประชาชนที่บุกรุกพวกเรา

เรื่องราวการลงโทษที่ได้ฟังทำให้ฮาบากุกตัวชา น้ำตาไหล เต็มไปด้วยคำถาม เต็มไปด้วยความกลัว เหมือนกับชีวิตที่ดำเนินมาอย่างราบรื่น แต่กลับสะดุด ถูกขัดจังหวะด้วยมีโศกนาฏกรรมที่ถาโถมเช้ามาในชีวิตหลายอย่าง แต่ฮาบากุกก็เฝ้าอดทนรอด้วยความหวัง

เมื่อพระเจ้าทรงตอบ ถึงแม้จะไม่ตรงกับความต้องการของเขา แต่ก็ทำให้
ความสงสัย ความกังวลก็ถูกเปลี่ยนเป็นการอธิษฐาน
ความกลัวกลับกลายเป็นความเชื่อ  ความสิ้นหวังกลับกลายเป็นความหวัง
ความหวาดระแวงกลับกลายเป็นความไว้วางใจ
สิ่งที่เริ่มต้นด้วยความสงสัย กลับจบลงด้วยความอัศจรรย์ใจ
ความสับสนทั้งหมดได้รับการเยียวยา จนฮาบากุกเชื่อมั่นว่า ผู้ควบคุมอยู่เหนือสถานการณ์ทั้งสิ้นก็คือพระเจ้านั่นเอง
ฮาบากุกมีเคล็ดลับอย่างไรในการอดทนนาน ?

ในพระธรรมบทที่  2.1
ข้าพเจ้าจะยืนเฝ้าดูอยู่  ข้าพเจ้าจะยืนที่หอคอย และมองออกไปเพื่อจะฟังดูว่า พระองค์จะตรัสอะไรแก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะทูลตอบพระองค์เกี่ยว ด้วยการร้องทุกข์ของข้าพเจ้าอย่างไร
1.1            เฝ้าดู  คำว่า เฝ้าดูเป็นลักษณะของยามที่คอยดูแล สอดส่อง สังเกตความเป็นไป คนที่ยืนอยู่บนหอคอยหรือในที่สูงจะได้เปรียบ จะสามารถมองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้ชัดเจนกว่า และการเฝ้าดูเป็นการเปิดตาคอยคำตอบจากพระเจ้าด้วยความอดทนและไว้วางใจ และไม่กระวนกระวายใจ มอบปัญหาของเราไว้กับพระเจ้า เราควรจะหันหลังให้กับความกังวลใจทั้งหลายแล้วเพ่งมองไปที่พระเจ้า
ในพระธรรม ฟิลิปปี 4.6  อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ
1.2            ฟังดู  การที่จะฟังได้ชัดเจน เข้าใจ ต้อง นิ่ง เงียบ สงบ ต้องตั้งใจฟัง เปิดหูของเราต่อพระเจ้า  ยิ่งถ้าเราฟังบ่อยๆก็จะคุ้นเคย 
            ในพระธรรมยากอบ 1.19 ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ
ฮาบากุกจึงตั้งใจฟังพระเจ้าว่าจะตรัสอะไรกับท่าน เพื่อที่ท่านจะได้บอกกับพระเจ้าถึงความทุกข์ใจขอท่าน และความทุกข์ยากของประชาชน
พี่น้องจำเรื่องซามูเอลได้มั๊ยครับ ตอนเป็นเด็ก นางฮันนาห์แม่ของซามูเอลได้พามาถวายกับพระเจ้า ให้รับใช้กับเอลีปุโรหิต  ในขณะที่ซามูเอลนอนอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า มีเสียงเรียกเขาถึง 4 ครั้ง    พระเจ้าทรงได้เรียกซามูเอล และซามูเอลก็ทูลตอบว่า ข้าพเจ้าอยู่อยู่นี่ เขาจึงวิ่งไปหาเอลี ว่า ข้าพเจ้าอยู่นี่ ด้วยท่านร้องเรียกข้าพเจ้า แต่เอลีตอบว่าไม่ได้เรียก  ซามูเอลก็กลับไปนอนอีก และก็มีเสียงเรียกซามูเอลอีกเป็นครั้งที่สอง ซามูเอลก็วิ่งไปหาเอลีและถามว่า ท่านเรียกข้าพเจ้าหรือ เอลีก็ตอบว่าไม่ได้เรียก ซามูเอลก็กลับไปนอน ฝ่ายซามูเอลยังไม่เคยรู้จักพระเจ้าเพราะพระเจ้ายังไม่เคยสำแดงกับซามูเอล และเสียงเรียกนั้นเป็นเสียงเรียกครั้งที่สาม ซามูเอลก็ลุกขึ้นวิ่งไปหาเอลีอีก ถามว่าท่านเรียกข้าพเจ้าหรือ  เอลีตอบว่าไม่ได้เรียก และเอลีก็รู้แล้วว่า พระเจ้าทรงเรียกซามูเอล เพราะฉะนั้นเอลีจึงพูดกับซามูเอลว่า จงไปนอนเสียเถิด  ถ้าพระองค์ทรงเรียกเจ้า เจ้าจงทูลว่า  พระเจ้าเจ้าข้า ขอพระองค์ตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้พระองค์คอยฟังอยู่  ซามูเอลจึงไปนอนในที่ของตน  และพระเจ้าเรียกซามูเอลเป็นครั้งที่สี่ ซามูเอลจึงตอบพระเจ้าตามคำแนะนำของเอลี และพระเจ้าก็ตรัสให้ซามูเอลรับรู้เรื่อง ที่พระเจ้าจะทำ  (1ซมอ.3.1-15)
           ให้เราเรียนรู้ในการที่ฟังเสียงของพระเจ้า ถ้าเราไม่นิ่ง ไม่สงบ ไม่เฝ้าคอยฟัง เราก็จะไม่รู้จักเสียงของพระเจ้าว่าเป็นเสียงอย่างไร และเราอาจจะตัดสินใจผิดๆก็ได้ เมื่อเราฟังบ่อยๆ เราก็จะมั่นใจและรู้ว่าเสียงนี้เป็นเสียงของพระเจ้าแน่นอน  เราต้องไม่แค่ระบายความทุกข์ให้พระเจ้าฟังเท่านั้น แต่เราต้องเฝ้าดูว่าพระเจ้าจะตอบอะไรกับเรา ปัญหาของเราส่วนใหญ่คือ ชอบพูดแต่ไม่ชอบฟัง จริงมั๊ยครับ ?? ขอพระเจ้าช่วยเหลือให้เราฝึกฟังเสียงของพระเจ้า ด้วยการใคร่ครวญพระคำพระเจ้า ศึกษาพระคัมภีร์เพื่อเป็นพื้นฐานในการฟังเสียงของพระเจ้า

2          ต้องเชื่อฟัง
ในบทที่ 2.2  และพระเจ้าตรัสตอบข้าพเจ้าว่า  จงเขียนนิมิตนั้นลงไป จงเขียนไว้บนแผ่นป้ายให้กระจ่าง  เพื่อให้คนที่วิ่งอ่านได้คล่อง
เมื่อพระเจ้าตรัสบอกให้เขียนนิมิตนั้นลงไป ฮาบากุกก็เขียนลงไป และฮาบากุกพร้อมที่จะนำข่าวไปสู่ประชาชนด้วย ฮาบากุกได้เป็นแบบอย่างในการรอคอยและเชื่อฟังพระเจ้า  เมื่อได้ยิน
         2.1 ลงมือทำตาม  เราจะเห็นว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม เมื่อเรามีการลงมือทำ  สิ่งนั้นมักจะเกิดผลตามมาและเป็นไปได้ แต่ถ้าเราฟังและไม่ได้ทำตาม ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย  
          ในพระธรรม มัทธิว 7.24-27 ได้เปรียบเทียบรากฐานสองชนิด ผู้ที่ได้ฟังได้ยินคำของพระเจ้าและทำตาม ผู้นั้นก็เปรียบเหมือนผู้ที่มีสติปัญญา ได้สร้างเรือนของตนไว้บนศิลา เมื่อพายุฝนตกน้ำไหลเชี่ยวเรือนนั้นก็ตั้งมั่นคง คือชีวิตผู้เชื่อเมื่อได้ฟังได้ยินได้อ่านพระคัมภีร์ทุกวันด้วยความเชื่อฟังคำของพระเจ้า ชีวิตความเชื่อของเราจะไม่หวั่นไหวเลย เมื่อมีปัญหาประดังเข้ามาในชีวิตเรา ความเชื่อของเราจะไม่สั่นคลอนแคลนไป  รากฐานชนิดที่ สอง คือผู้ที่ได้ฟังได้ยินถ้อยคำของพระเจ้าแล้วแต่ไม่ทำตาม เขาเปรียบเหมือนคนโง่เขลาที่สร้างเรือนของตนไว้บนทราย เมื่อมีพายุฝนตกหนัก น้ำไหลเชี่ยว บ้านหลังนั้นก็พังทลายลง ตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะฐานรากไม่แข็งแรง
เช่นเดียวกันกับชีวิตผู้เชื่อ ถ้าไม่มีการเชื่อฟังและทำตามแล้ว จะไม่สามารถยืนหยัดได้เลย
         2.2 จดจำ  ในปลายข้อที่ 2 บอกว่า เพื่อให้คนที่วิ่งอ่านได้คล่องก็คือให้คนที่อ่าน สามารถอ่านได้ชัดเจนและจดจำได้
 ในพระธรรม กันดารวิถี 15.40  เพื่อว่าเจ้าจะจดจำและกระทำตามบัญชาทั้งสิ้นของเรา และเป็นคนบริสุทธิ์แด่พระเจ้าของเจ้า  และ
ในเฉลยธรรมบัญญัติ 11.18     เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงจดจำถ้อยคำเหล่านี้ของ ข้าพเจ้าไว้ในจิตในใจของท่านทั้งหลาย จงเอาถ้อยคำเหล่านี้พันไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ และจารึกไว้ที่หว่างคิ้วของท่าน 
         การจดจำข้อพระคัมภีร์นั้นเป็นการดีที่เราจะมีคำตอบให้แก่คนอื่นเมื่อเขาถามเรา  และเราสามารถที่จะตอบเขาได้   เราจำเพื่อเป็นคำตอบ  เราจำเพื่อเป็นการหนุนใจและสอนเราให้เรียนรู้ที่ทำตามสิ่งที่ถูกที่ควร การจดจำได้กำไรแน่นอน การจดจำเป็นการเตรียมพร้อมอย่างหนึ่ง พร้อมทุกเมื่อ เมื่อมีปัญหาหรือพบอุปสรรค พระคำของพระเจ้าที่เราจดจำจะเป็นคำตอบให้กับเรา เราสามารถนำพระคำเหล่านั้นมาใช้ในชีวิตประจำวันได้
3. ต้องเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้า
    บทที่ 2.3 เพราะว่านิมิตนั้นยังรอเวลาของมันอยู่ มันกำลังรีบไปถึงความสำเร็จ มันไม่มุสา ถ้าดูช้าไป ก็คงคอยสักหน่อยมันจะบังเกิดขึ้นเป็นแน่ คงไม่ล่าช้านัก
           น้ำพระทัยพระเจ้าหมายถึง สิ่งที่พระเจ้าได้กำหนดไว้แล้ว หรือเหตุการณ์ที่พระเจ้ากำหนดแล้วว่าจะเป็นไปอย่างนั้น สิ่งดีเกิดขึ้นก็น้ำพระทัยพระเจ้าที่ให้เป็นเช่นนี้  สิ่งไม่ดีเกิดขึ้นได้ก็เป็นน้ำพระทัยที่ให้เป็นเช่นนั้น  ทุกสิ่งนั้นไม่ได้เป็นมาจากมนุษย์คนใดคนหนึ่งที่คิดขึ้นมาเอง หรือตัดสินเอง 
ในพระธรรม เอเฟซัส 5.17เหตุฉะนั้นอย่าเป็นคนโง่เขลา แต่จงเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นอย่างไร” 
            น้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นอะไรที่น่าชื่นชมยินดี  น้ำพระทัยพระเจ้าทำให้เราได้รู้และเข้าใจแผนการของพระองค์ น้ำพระทัยพระเจ้าทำให้เราไว้วางใจในพระเจ้าได้ ทำให้เรารู้ว่ามีผู้หนึ่งที่ควบคุมอยู่นั่นคือพระองค์เอง  เหตุผลที่ฮาบากุกมีความเข้าใจในน้ำพระทัยพระเจ้าได้เพราะ..
         3.1 ไม่มุสา  
1ซมอ.15.29และผู้เป็นกำลังของอิสราเอล จะไม่มุสาหรือกลับใจ เพราะว่าพระองค์หาใช่มนุษย์ ที่จะกลับใจไม่”  
กดว. 23.19พระเจ้ามิใช่มนุษย์จึงมิได้มุสา และมิได้เป็นบุตรของมนุษย์จึงไม่ต้องกลับใจ ที่พระองค์ตรัสไปแล้ว พระองค์ก็จะมิทรงกระทำตามหรือ ที่พระองค์ลั่นวาจาแล้วจะไม่ทรงกระทำให้สำเร็จหรือ?”
           พระเจ้าไม่เคยที่จะพูดอะไรแล้ว ไม่ได้รักษาคำพูดของพระองค์เอง  พระเจ้าสัญญาอย่างไรและพระองค์ก็กระทำให้สำเร็จเสร็จสิ้นอย่างนั้น  ทุกอย่างพระเจ้ามีพระประสงค์สำหรับวาระของทุกสิ่ง ได้อย่างเหมาะสม สิ่งที่สำคัญคือพระเจ้ารักษาคำพูดของพระองค์
          3.2 ไม่ล่าช้านัก   แผนการของพระเจ้าไม่ช้าเกินไป และไม่เร็วจนเกินไป   อสค.12.25-28แต่เราคือพระเจ้า จะพูดคำที่เราจะพูด และจะต้องเป็นไปตามคำนั้น จะไม่ล่าช้าต่อไปอีก เพราะฉะนั้นจงกล่าวแก่เขาว่าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า บรรดาถ้อยคำของเราจะไม่ล่าช้าอีกต่อไปเลย แต่วาจาที่เราลั่นออกมานั้นจะต้องเป็นไปจริงพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
            บางครั้ง บางสิ่งบางอย่างที่เราทูลขอจากพระเจ้า อาจจะดูล่าช้าเกินไปสำหรับเราหรือบางครั้งก็ไม่มีวี่แววให้เราได้รู้และเข้าใจเลย  แน่นอนผลที่ตามคือความสงสัย  ความเชื่อสั่นคลอน รู้สึกสิ้นหวัง แต่จริงๆแล้วมันยังไม่ถึงเวลาของมัน   ยังไม่เหมาะสม  หรือยังไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดที่พระเจ้าจะจัดเตรียมให้กับเรา  พระเจ้าของเรามักจะจัดเตรียมอะไรที่ยอดเยี่ยมไว้สำหรับเราที่รอคอยเสมอ 
ในพระธรรม โรม 12.2 “อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม

  สรุป     การที่เราจะเป็นคริสเตียนที่อดทนรอคอยได้เหมือนฮาบากุก เราต้องมี 3 ต้อง คือ
1.     ต้องอดทนนาน
2.     ต้องเชื่อฟัง
3.     ต้องเข้าใจน้ำพระทัย
ถ้าเรายืนมองจากหอคอยของตนเอง เราจะเริ่มสงสัยพระเจ้า เริ่มมีคำถามต่างๆ ทำไม ทำไม ?? บ่นว่าพระเจ้า ไม่อยากทำตามในพระคัมภีร์โดยอ้างว่าสมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว  เอามาตรฐานของตัวเองและยึดสิ่งนั้น เริ่มเรียกร้องให้พระเจ้าทำตามสิ่งที่เราต้องการ ตั้งเวลากับพระเจ้าจะต้องได้วันนั้นวันนี้ แต่เราที่เป็นผู้เชื่อ ต้องยืนอยู่บนหอคอยของพระเจ้า ยืนอยู่บนบันทัดฐานของพระเจ้า คือ พระคัมภีร์
สำหรับฮาบากุกแล้ว เขาได้เฝ้ารอคอยพระเจ้าตรัสกับเขาด้วยความอดทน
พระธรรมฮาบากุกได้จบลงอย่างสวยงาม โดยที่มุมมองและทัศนคติของฮาบากุกก็ได้เปลี่ยนไป
จาก พระธรรมฮาบากุก 3.17-19
แม้ต้นมะเดื่อไม่มีดอกบาน หรือเถาองุ่นไม่มีผล
ผลมะกอกก็ขาดไป ทุ่งนามิได้ผลิตอาหาร
แม้ฝูงแพะแกะขาดไปจากคอก และไม่มีฝูงวัวที่ในโรง
ถึงกระนั้น ข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระยาห์เวห์
ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า
พระยาห์เวห์องค์เจ้านายทรงเป็นกำลังของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงทำให้เท้าของข้าพเจ้าเหมือนตีนกวางตัวเมีย

พระองค์ทรงทำให้ข้าพเจ้าเดินไปบนที่สูงทั้งหลาย

ขอพระเจ้าอวยพร