Thursday, June 18, 2020

ของประทานของพระวิญญาณ

ของประทานของพระวิญญาณ
ของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นความสามารถพิเศษบางอย่างที่ผู้เชื่อได้รับจากพระองค์ตามชอบพระทัย ผู้เชื่อทุกคนควรมีผลของพระวิญญาณทุกอย่าง แต่อาจจะไม่มีของประทานทุกอย่าง นอกจากนี้ การใช้ของประทานอย่างโดดเด่น ไม่อาจเป็นการรับรองได้ว่าชีวิตของเขาเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า แต่ผลของพระวิญญาณในชีวิตผู้นั้นต่างหากที่เป็นสิ่งรับรองได้

“<<มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า <พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า> จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า <พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์กล่าวพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์ มิใช่หรือ> เมื่อนั้นเราจะได้กล่าวแก่เขาว่า <เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา>”
‭‭มัทธิว‬ ‭7:21-23‬ ‭TH1971‬‬

เพราะฉะนั้น เราไม่สมควรยกย่องหรือศรัทธาคนที่ใช้ของประทานเก่ง เพราะพระเจ้าประสงค์ให้เราใช้ของประทานเพื่อนำผู้อื่นเข้าใกล้ชิดกับพระองค์ และมีความศรัทธาในพระเจ้า ไม่ใช่ศรัทธาในผู้ใช้ของประทาน

ผลของพระวิญญาณ

ผลของพระวิญญาณ
เปาโลได้บันทึกผลของพระวิญญาณไว้ใน กาลาเทีย ว่า

“ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย”
‭‭กาลาเทีย‬ ‭5:22-23‬ ‭TH1971‬‬

จะเห็นว่าผลแต่ละอย่างเหล่านี้เป็นบุคลิกของพระเยซูเอง สำหรับเราแล้วผลของพระวิญญาณในชีวิตของเรานั้น ไม่ได้มาโดยที่เราพยายามสร้างขึ้นมาเอง แต่ต้องเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติตามการยอมจำนนของเราต่อพระวิญญาณและรับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ผู้เชื่อที่แท้จริงนั้น ไม่ได้ดูที่ของประทานหรือความสามารถ แต่ดูที่ผลของพระวิญญาณในชีวิตของผู้นั้น

“<<ท่านทั้งหลายจงระวังผู้เผยพระวจนะเท็จ ที่มาหาท่านนุ่งห่มดุจแกะ แต่ภายในเขาร้ายกาจดุจหมาป่า ท่านจะรู้จักเขาได้ด้วยผลของเขา ผลองุ่นนั้นเก็บได้จากต้นไม้มีหนามหรือ หรือว่าผลมะเดื่อนั้นเก็บได้จากพืชหนาม ต้นไม้ดีย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้ ต้นไม้ซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ เหตุฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา”
‭‭มัทธิว‬ ‭7:15-20‬ ‭TH1971‬‬

Wednesday, June 17, 2020

พระคุณและความรัก

พระคุณและความรัก
ในพระคัมภีร์เดิม อภิสุทธิสถานเป็นที่บริสุทธิ์ที่สุด เป็นที่ทรงสถิตของพระเจ้า เป็นที่เฉพาะมหาปุโรหิตจะพบพระเจ้าได้โดยตรงปีละครั้ง แต่เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์สร้างวิหารขึ้นมาใหม่คือพระกายของพระองค์เอง

“พระเยซูจึงตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า <<ถ้าทำลายวิหารนี้เสีย เราจะยกขึ้นในสามวัน>> พวกยิวจึงทูลว่า <<พระวิหารนี้เขาสร้างถึงสี่สิบหกปีจึงสำเร็จ และท่านจะยกขึ้นใหม่ในสามวันหรือ>> แต่พระวิหารที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือพระกายของพระองค์”
‭‭ยอห์น‬ ‭2:19-21‬ ‭TH1971‬‬

ผู้ที่เห็นพระเยซูก็ได้เห็นพระเจ้า ทุกวันนี้คริสตจักรคือพระกายของพระเยซูคริสต์ เป็นวิหารบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อใครเข้ามาในคริสตจักรคือเขาได้เข้ามาในที่ซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระคุณและความรักของพระเจ้า
แต่เราคงต้องยอมรับว่า หลายครั้งคริสตจักรไม่ได้เป็นอย่างนั้น เรายังอยู่ในขบวนการการรับการเปลี่ยนแปลง แต่อย่างไรก็ตาม คริสตจักรที่กำลังรับการเปลี่ยนแปลง กำลังจำเริญขึ้นในพระเยซูคริสต์ ย่อมต้องมีบรรยากาศของพระคุณและความรักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พี่น้องมีความอดทนต่อกัน ให้อภัยกัน ไม่อิจฉากัน มีความปรานี ชื่นชมส่วนดีซึ่งกันและกัน

“ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ”
‭‭1 โครินธ์‬ ‭13:4-6‬ ‭TH1971‬‬

เมื่อคริสตจักรเป็นเช่นนี้ พระเยซูทรงตรัสว่า ‘ทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา’

“ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา>>”
‭‭ยอห์น‬ ‭13:35‬ ‭TH1971‬‬

ความบริสุทธิ์และความถ่อมใจ

ความบริสุทธิ์และความถ่อมใจ
คริสตจักรเป็นชุมชนที่เอาจริงเอาจังในการแสวงหาชีวิตที่บริสุทธิ์ เราทุกคนอยากใกล้ชิดพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ อยากถวายเกียรติและให้พระองค์ทรงพอพระทัย และเราต้องไม่เหมือนพวกฟาริสีที่โอ้อวดยกตัวเอง ดูหมิ่นผู้อื่นที่ไปไม่ถึงมาตรฐานของพวกเขา เราต้องตระหนักเสมอว่า การที่จะเป็นผู้บริสุทธิ์ได้นั้นก็เนื่องจากว่าพระเยซูทรงสถิตในเรา ไม่ใช่ความชอบธรรมหรือความพยายามของเราเอง
เราต้องยอมรับว่าเราทั้งหลายเป็นคนป่วย ไปไม่ถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้าด้วยตัวเราเอง เราจึงไม่ควรแยกตัวออกจากสังคมรอบๆตัวเรา โดยคิดถือว่าเราดีกว่าเขา แต่คริสตจักรคือโรงพยาบาลรักษาชีวิต ที่ยินดีต้อนรับทุกคนที่รู้ตัวว่าเป็นคนป่วยโดยไม่มีการแบ่งแยก ถ้ามีความถ่อมใจเช่นนี้ คนภายนอกก็จะรู้สึกว่าเข้ามาหาเราได้ง่ายขึ้น
ในอีกแง่หนึ่ง เมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้น เราต้องถ่อมใจยอมรับการลงวินัยและการตักเตือนจากคริสตจักร เพื่อจะช่วยเราเดินในทางที่ถูก กลับเข้าสู่การคืนดีกับพระเจ้าและกับพี่น้อง พร้อมกับการให้อภัยซึ่งกันและกัน

“เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ”
‭‭มัทธิว‬ ‭5:48‬ ‭TH1971‬‬

ความเชื่อความศรัทธา

ความเชื่อความศรัทธา

“ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเขตเมืองซีซารียา ฟีลิปปี จึงตรัสถามพวกสาวกของพระองค์ว่า <<คนทั้งหลายพูดกันว่าบุตรมนุษย์เป็นผู้ใด>>”
‭‭มัทธิว‬ ‭16:13‬ ‭TH1971‬‬
สาวกได้ตอบตามสิ่งที่เขาได้ยินมา บ้างก็ว่าเป็นยอห์นผู้ให้บัดติดา บ้างก็ว่าเป็นเยเรมีย์ บ้างว่าเอลียาห์หรือไม่ก็เป็นหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะ นั่นคือสิ่งที่พวกเขาได้ยินมา เหมือนได้รับรู้ผ่านทางเฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์หรือสื่อโซเชี่ยลในยุคนั้น แต่พระเยซูทรงถามพวกเขากลับไป

“พระองค์ตรัสถามเขาว่า <<แล้วพวกท่านเล่า ว่าเราเป็นใคร>>”
‭‭มัทธิว‬ ‭16:15‬ ‭TH1971‬‬

ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย ท่านก็เป็นสุขเพราะว่ามนุษย์มิได้แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ ฝ่ายเราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลา นี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้” (มัทธิว‬ ‭16:16-18)
ครั้งแรกที่สาวกตอบพระเยซู ดูเหมือนว่าพวกเขาได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่คนอื่นพูด เป็นความรู้ที่ได้รับผ่านการถ่ายทอดจากผู้อื่น แต่พระเยซูประสงค์ที่จะช่วยพวกเขาก้าวข้ามความรู้สึกที่ได้รับจากการถ่ายทอด เพื่อจะได้พบกับสิ่งที่พระเจ้าจะสำแดงกับเขาด้วยตัวเขาเอง

รากฐานของคริสตจักรแท้คือความเชื่อและความศรัทธาแบบเดียวกันกับเหล่าสาวกที่ได้เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ซึ่งพวกเขาได้ตอบสนองการทรงสำแดงของพระเจ้าที่มาถึงพวกเขา คริสตจักรจึงเป็นชุมชนแห่งความเชื่อและความศรัทธา มีบรรยากาศแห่งการไว้วางใจพระเจ้าทั้งในการดำเนินชีวิตส่วนตัว และการเชื่อฟังเสียงพระเจ้าด้วยกันแบบส่วนรวมในคริสตจักร
“เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ” (โรม‬ ‭1:17‬)

Tuesday, June 16, 2020

สิทธิอำนาจของพระคัมภีร์และกฏบัญญัติ

สิทธิอำนาจของพระคัมภีร์และกฏบัญญัติ
เราต้องระมัดระวังไม่เข้าใจผิดว่า พระคัมภีร์เป็นกฏบัญญัติของคริสเตียน หรือเข้าใจผิดว่าการดำเนินชีวิตคริสเตียนคือการดำเนินชีวิตตามกฏต่างๆที่พบในพระคัมภีร์ การเป็นคริสเตียนไม่ใช่การถือกฏบัญญัติ แต่เป็นความสัมพันธ์ของผู้เชื่อกับพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระองค์เคยตรัสและทรงทำพระราชกิจอย่างไรในอดีต พระองค์ก็ยังทรงตรัสและทรงทำพระราชกิจอย่างนั้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคตด้วย พระคัมภีร์ได้บันทึกถึงพระลักษณะความยิ่งใหญ่และความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ได้บันทึกแบบบอย่างของคนจากยุคสมัยต่างๆและวัฒนธรรมต่างๆ ทั้งตัวอย่างที่ดีและไม่ดี นอกจากนี้พระคัมภีร์ยังเปิดเผยให้รู้อนาคตของเราจะเป็นเช่นไรในระดับหนึ่ง เพื่อชี้ให้เห็นว่า เราจะต้องดำเนินชีวิตอย่างไรและเตรียมตัวอย่างไรเพื่อจะก้าวไปสู่สิ่งเหล่านั้นได้
หน้าที่ของเราคือดำเนินชีวิตในปัจจุบันให้สอดคล้องกับสิ่งที่ได้บันทึกไว้ ไม่ใช่ในแง่ของกฏบัญญัติ แต่ในแง่ที่ชี้ให้เห็นว่าอะไรเป็นชีวิตและทิศทางที่แท้จริง

“แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ อย่าสนองความต้องการของเนื้อหนัง เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังต่อสู้พระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้นสิ่งที่ท่านทั้งหลายปรารถนาทำจึงกระทำไม่ได้ แต่ถ้าพระวิญญาณทรงนำท่าน ท่านก็จะไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ”
‭‭กาลาเทีย‬ ‭5:16-18‬ ‭TH1971‬‬

ที่กางเขนและโดยกางเขน

ที่กางเขนและโดยกางเขน
ความเป็นจริงในเรื่องที่พระเยซูกระทำสำเร็จแล้วที่กางเขน พระองค์สิ้นพระชนม์ไม่ใช่เพื่อยกโทษบาปของเราเท่านั้น แต่เป็นการชนะตัวเก่าของเราด้วย เพราะตัวเก่าของเราได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว

“เราทั้งหลายรู้แล้วว่า ตัวเก่าของเรานั้นได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้นจะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป”
‭‭โรม‬ ‭6:6‬ ‭TH1971‬‬

“เหมือนกันเช่นนั้นแหละ ท่านทั้งหลายจงถือว่าท่านได้ตายต่อบาป และมีชีวิตสนิทกับพระเจ้าในพระเยซูคริสต์”
‭‭โรม‬ ‭6:11‬ ‭TH1971‬‬

และใน โรม 6:11 บอกให้เรารู้ว่าเราไม่ได้ขึ้นกับตัวเก่าของเราอีก แต่เราได้ตายจากตัวเก่าและมีชีวิตที่เข้าสนิทกับพระเจ้าได้โดยทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งเปรียบเทียบได้กับผีเสื้อที่ควรตระหนักว่ามันไม่ใช่ตัวหนอนอีกต่อไป จึงไม่ต้องคืบคลานบนดินอีก แต่สามารถโบยบินไปบนท้องฟ้าที่สวยงาม
เช่นเดียวกัน คริสเตียนควรตระหนักถึงสภาพและสถานะใหม่ที่มีในพระเยซูคริสต์ ซึ่งได้ทำจนสำเร็จแล้วที่กางเขน

“เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”
‭‭2 โครินธ์‬ ‭5:17‬ ‭TH1971‬‬