Friday, August 5, 2016

ชีวิตแบบพระเยซูคริสต์

ชีวิตแบบพระเยซูคริสต์

คนไทยมีภาษิตว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นหมายความว่าอย่างไร
หมายความว่า ถ้าหากพ่อแม่เป็นอย่างไร ลูกๆมักจะเป็นอย่างนั้น เพราะลูกจะหน้าตา กริยาท่าทาง อุปนิสัยที่คล้ายคลึงกับผู้บังเกิดเกล้า บุคลิกของลูกมักมีส่วนเลียนแบบเหมือนพ่อแม่ของท่าทาง ท่าที  การพูดจา และการแสดงออก   เพราะลูกอยู่กับพ่อแม่   ฟัง ดู ท่าทีท่าทาง  อากัปกริยาที่แสดงออกของพ่อแม่   แล้วลูกทำตามทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจหรือรู้ตัวเลย   ทั้งนี้เพราะความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกันแต่สิ่งเหล่านี้แทรกซึมเข้าในชีวิตของลูกเข้าไปเต็มๆ
คนไทยเรามีสุภาษิตหรือข้อเตือนสำหรับชายหนุ่มที่จะเลือกหญิงสาวมาเป็นคู่ครองว่า จะดูวัวให้ดูที่หาง จะดูนางให้ดูที่แม่”  (แต่ไม่เห็นมีสุภาษิตสำหรับหญิงสาวที่จะเลือกชายหนุ่ม)
ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ถ้าท่านอยากจะเห็นพระเจ้า ให้ดูที่พระเยซู ถ้าท่านอยากจะเห็นพระเยซู ให้ดูที่พวกคริสเตียน(ผู้เชื่อ)
             การที่จะมีชีวิตตามอย่างพระเยซูนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่นั่นคือจุดหมาย เป้าหมายของคริสเตียนทุกคน ก่อนอื่นใด  เราต้องเรียนรู้จักกับพระเยซูให้เป็นอย่างดีเสียก่อน พระเยซูทรงปรารถนาให้เรารู้จักพระองค์อย่างถูกต้อง อย่าทำเหมือนคนตาบอดคลำช้าง ถ้าคลำที่งวงก็จะบอกว่าช้างมันเป็นท่อนยาวๆ งอไปงอมาได้ ถ้าไปคลำที่ขาหลัง ก็จะบอกว่าช้างเป็นเหมือนท่อนซุงใหญ่ ถ้าบังเอิญไปคลำที่หางก็จะบอกไปอีกแบบ หรือถ้าไปคลำที่งาก็ยิ่งไปกันใหญ่ ถ้าเราอยากจะรู้จักกับพระเยซูอย่างแท้จริง ต้องเรียนรู้ชีวิตของพระองค์ในทุกๆด้านในพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม
ในพระธรรม มัทธิว 16:13-20 ขณะที่พระเยซูพาสาวกของพระองค์ไปทิศเหนือของแคว้นกาลิลี ที่เรียกว่า เมืองซีซาเรีย ฟีลิปปี และถามพวกเขาว่า คนทั้งหลายพูดกันว่า บุตรมนุษย์เป็นผู้ใดสาวกก็ตอบตามที่ได้ยินมาว่า ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา ... เอลียาห์ ... เยเรมีย์ .. หรือคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะคำตอบเหล่านี้ถูกมั๊ยครับ.............พระเยซูคงไม่อยากให้สาวกตอบเช่นนั้น และพระองค์ไม่อยากที่จะฟังคำตอบแบบนี้ พระองค์ทรงปรารถนาฟังคำตอบที่ถูกต้อง จึงถามสาวกของพระองค์โดยตรงว่า แล้วพวกท่านเล่า ว่าเราเป็นใครเพราะสาวกของพระองค์ได้อยู่ใกล้ชิดกับพระเยซูมาแล้วเป็นเวลาประมาณสามปี พระองค์คงจะเสียพระทัยมากหากเหล่าสาวกไม่สามารถตอบได้
เปโตรได้ตอบว่า พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่...นี่เป็นคำสารภาพแห่งความเชื่อของเปโตร ซึ่งเป็นคำสารภาพแห่งความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเป็นคำสารภาพที่พระเยซูทรงพอพระทัยที่สุด แล้วพี่น้องละครับ ถ้าพระเยซูทรงถามเราเหมือนกับที่ถามเปโตร เราจะตอบเหมือนอย่างเปโตรหรือไม่ เป็นคำตอบที่มาจากใจของเรา  ไม่เพียงเท่านั้นครับพี่น้อง ยังขึ้นอยู่กับว่าเรามองเห็นคุณค่าของพระเยซูมากน้อยแค่ไหน  พระองค์มีคุณค่าเพียงพอที่เราจะติดตามหรือไม่ ในพระคัมภีร์นั้นเราจะเห็นแต่ละคนให้คุณค่าของพระเยซูไม่เท่ากัน
            สำหรับยูดาเห็นว่าพระเยซูมีค่าเพียง 30  เหรียญ ซึ่งเป็นราคาเท่ากับการขายทาสคนหนึ่งในสมัยนั้น  และเขาได้ขายพระเยซูให้กับพวกธรรมาจารย์ด้วยราคา 30 เหรียญ 
อ่านพระธรรม ฟิลิปปี 3:7-9
            แต่​ว่า​สิ่ง​ใด​ที่​เคย​เป็น​คุณประโยชน์​แก่​ข้าพเจ้า ข้าพเจ้า​ถือ​ว่า​สิ่ง​นั้น​ไร้​ประโยชน์​แล้ว เพื่อ​เห็น​แก่​พระคริสต์ 
        8 ที่​จริง​ข้าพเจ้า​ถือ​ว่า​สิ่ง​สารพัด​ไร้​ประโยชน์ เพราะ​เห็น​แก่​ความ​ประเสริฐ​แห่ง​ความ​รู้​ถึง​พระเยซูคริสต์ องค์​พรผู้​เป็น​เจ้า​ของ​ข้าพเจ้า เพราะ​เหตุ​พระองค์ ข้าพเจ้า​จึง​ได้​ยอม​สละ​สิ่ง​สารพัด และ​ถือ​ว่า​สิ่ง​เหล่า​นั้น​เป็น​เหมือน​หยากเยื่อ​เพื่อ​ข้าพเจ้า​จะ​ได้​พระคริสต์ 
        9 และ​จะ​ได้​ปรากฏ​อยู่​ใน​พระองค์ ไม่​มี​ความ​ชอบธรรม​ของ​ข้าพเจ้า​เอง ซึ่ง​ได้​มา​โดย​ธรรมบัญญัติ แต่​มี​มา​โดย​ความ​เชื่อ​ใน​พระคริสต์ เป็น​ความ​ชอบธรรม​ซึ่ง​มา​จาก​พระเจ้า​ซึ่ง​ขึ้น​อยู่​กับ​ความ​เชื่
          สำหรับเปาโลนั้น เขาเป็นฟาริสี เป็นผู้ที่เคร่งครัดในธรรมบัญญัติ เป็นผู้ที่มีความรู้สูง เป็นคนหัวรุนแรง เป็นคนร้อนรนในความเชื่อของตนเอง ด้วยเหตุนี้ก่อนที่เขาจะพบพระเยซูคริสต์นั้น เขาได้ออกตามข่มเหงคริสเตียนหรือผู้เชื่อในพระเยซูไปทั่วอาณาจักร เพราะเขาคิดว่าพวกนี้เป็นพวกนอกรีต หมิ่นประมาณพระเจ้า เป็นพวกที่ทำให้ศาสนายิวปั่นป่วน ทำให้คนเปลี่ยนจากศาสนายิวไปเป็นศาสนาพระเยซู และคิดว่าพวกนี้น่าจะมีโทษถึงตาย เขาจึงไม่รู้สึกผิดที่ไปทำเช่นนั้น พระเยซูคงจะรู้จักเปาโลดี หลังจากเหตุการณ์ในพระธรรมกิจการบทที่ 9  ขณะที่เปาโลกำลังเดินทางไปเมืองดามัสกัส เพื่อที่จะจัดการกับพวกที่เชื่อในทางนั้น โดยตัวของเปาโลเองคงไม่มีผู้เชื่อคนไหนกล้าที่จะไปประกาศกับเขาในเรื่องของพระเยซู ถ้าสมัยนั้นมีการแจกใบปลิวเหมือนเรา ก็คงไม่มีใครกล้าไปแจกใบปลิวให้เปาโล เพราะคงกลัวในชื่อเสียงของท่านในการออกปราบปรามพวกคริสเตียน พระเยซูก็คงจะรู้เหตุการณ์เหล่านี้ดี และเพียงเฉพาะพวกสาวกก็คงมุ่งประกาศแค่ในกลุ่มคนยิว เช่นนั้นข่าวประเสริฐก็คงไม่สามารถแพร่ขยายไปจนสุดปลายแผ่นดินโลกตามพระมหาบัญชา
ด้วยเหตุนี้ พระเยซูเองจึงได้มาปรากฏต่อหน้าเปาโล เปาโลล้มลงถึงดิน และตรัสกับเขาว่า เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม เปาโลจึงถามว่า พระองค์คือผู้ใด พระเยซูตอบเปาโลว่า เราคือเยซูที่เจ้าข่มเหง  เหตุการณ์นี้ทำให้เปาโลตาบอดมืดมัวไป
หลังเหตุการณ์นี้ ท่านก็ได้ติดตามเป็นสาวกของพระเยซูไปตลอดชีวิต  ท่านประกาศ เป็นพยานตั้งแต่ทวีปเอเชียไปถึงทวีปยุโรป นำคนมารับเชื่อพระเจ้าและตั้งคริสตจักรขึ้นหลายแห่ง ท่านกล่าวไว้ในพระธรรมฟีลิปปี 3:8  ว่า  ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์   เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์   องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า   เพราะเหตุพระองค์   ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด   และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์
            “หยากเยื่อตามความหมายของพจนานุกรมคือ  เศษของที่ทิ้งแล้ว   มูลฝอย 
สิ่งต่างๆในชีวิตของท่าน ทรัพย์สมบัติ เกียรติ ตำแหน่ง ความเป็นฟาริสี เป็นผู้ที่เคร่งครัดในธรรมบัญญัติ เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงดี แต่ท่านบอกว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนขยะ เมื่อเทียบกับการที่ได้รู้จักพระเยซูคริสต์
เปาโลเป็นคนที่มองเห็นคุณค่าของพระองค์  แล้วก็จะสละทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เพื่อจะได้สิ่งที่ดีกว่าซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้
            พระเยซูคริสต์ได้ตรัสถึงพระองค์เองในพระคัมภีร์ยอห์นว่า  เราเป็นความสว่างของโลก  เราเป็นอาหารแห่งชีวิต  เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต  และเราเป็นประตูดังนั้น ถ้าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นอย่างไร ผู้ติดตามพระองค์ คริสเตียนก็ควรจะเป็นอย่างนั้นด้วย
            การที่เราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อ เรามองเห็นคุณค่าสูงส่งของพระเยซูแน่นอน และเราจะดำเนินชีวิตตามแบบอย่างพระองค์ได้นั้น   ผมขอยกแนวทาง 2 ประการ
การที่จะมีชีวิตตามแบบอย่างพระเยซูได้นั้น......
1.  ต้องเป็นสาวกของพระเยซู  ลูกา 6:12-16
             พระธรรมลูกา 6:12-16   เป็นพระธรรมตอนที่พระเยซูทรงเรียกและแต่งตั้งสาวก 12 คน หลังจากนั้นพระองค์ก็สร้างสาวกวกอย่างต่อเนื่อง  ต่อมาก็ได้เรียกอีกเจ็ดสิบคนและส่งเขาออกไปประกาศข่าวประเสริฐ
การที่เราจะเป็นสาวกของพระเยซูได้นั้น เพราะพระองค์ทรงเลือกเรา ไม่ใช่เราเป็นผู้เลือกพระองค์
ในคริสตจักรสมัยแรกๆ ซึ่งปรากฏในพระธรรมกิจการ  มีการเรียกชื่อของคนที่ติดตามพระเยซูแตกต่างกันออกไป เช่น  ผู้เชื่อ  พวกทางนั้น  พวกคริสเตียน (เรียกครั้งแรกที่เมืองอันทิโอก)  พวกพระคริสต์   พวกเยซู  ธรรมิกชนและพวกคว่ำโลก ซึ่งคำเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคำเรียกเชิงดูถูก เหยียดหยาม พี่น้องหลายท่านอาจจะเคยถูกเรียกแบบเชิงดูถูก หรือถูกล้อเลียนมาบ้างเหมือนกัน สมัยผมยังเรียนหนังสือเป็นนักศึกษาอยู่ เมื่อกลับใจมาเชื่อพระเจ้าก็ถูกเพื่อนๆในคณะเรียกว่า พระบุตร เขาคงไม่ได้ยกย่องเราหรอกแต่เรียกแบบเยาะเย้ยมากกว่า  แต่ผมก็พอใจที่ชีวิตได้สำแดงชัดเจนว่าเราเป็นคนของพระเจ้า บางทีก็อาจจะเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ทรงให้เขาเรียกเราอย่างถูกต้อง เพราะในพระธรรมยอห์น 1:12 บอกเราไว้อย่างชัดเจนว่า  12แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์   ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์   พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า   ขอบคุณพระเจ้า
ความหมายคำว่า สาวก(Disciple)  มาจากภาษากรีกซึ่งมีความหมาย 3 อย่าง คือ
            -    ผู้ฟัง    -    ผู้ติดสอยห้อยตาม    -   ผู้ทำตาม หรือผู้เลียนแบบ
ในการสอนของอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงของกรีกโบราณ เช่น โสเครตีส อริสโตเติ้ล พลาโต จะสอนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ  อาจารย์จะพูด แสดงทัศนะ ท่าทาง อาการต่างๆ เพื่อให้ลูกศิษย์เลียนแบบตามนั้น  ดังนั้น สาวกจึงหมายความว่า ผู้ฟัง ผู้ประพฤติและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเยซู” 
ในภาษาอังกฤษมีคำหนึ่งที่ใกล้เคียงกับคำว่าสาวก คือ ระเบียบวินัย( Discipline) สาวกของพระเยซูคริสต์ต้องมีระเบียบวินัยในการดำเนินชีวิต ในการศึกษาพระวจนะ   การอธิษฐาน  การนมัสการพระเจ้า การไปโบสถ์  การใช้เวลาและการอุทิศ
ใน พระธรรมยอห์น ๑๕.๑๖ พระเยซูตรัสว่าดังนี้
ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา   แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย   และได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านไปเกิดผล   และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่  
1) เราได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายหมายถึงการทรงเรียกอย่างเฉพาะเจาะจง   ซึ่งถือว่าเป็นการให้เกียรติอย่างสูง เราทุกคนที่นี่เป็นคนที่มีเกียรติ เพราะเราได้รับเกียรติที่พระเจ้าทรงเลือกเรา
2) พระองค์ตรัสว่า ให้ไปเกิดผล”  ตรงนี้ชัดเจนพระองค์ทรงเรียกสาวกเพื่อให้ออกไปทำงาน มิใช่แค่เรียก ให้มาเป็นคริสเตียนเฉยๆ  ต้องรับใช้ครับพี่น้อง ท่านมีส่วนในงานของพระเจ้าในคริสตจักรหรือยัง
3) ให้ผลนั้นคงอยู่หมายถึงเป็นการเกิดผลในฝ่ายจิตวิญญาณ ไม่ใช่แค่ปีสองปี แต่ผลนั้นจะดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์  การเป็นสาวกนั้นต้องเป็นตลอดไปครับ ไม่ใช่วันไหนอยากเป็นก็เป็น วันไหนเบื่อไม่อยากเป็นล่ะก็ไม่มาโบสถ์ หรือแค่มาต่อวีซ่าที่โบสถ์ปีละครั้งสองครั้งในวันคริสตมาส อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลยครับ   ในพระธรรมลูกา 9.57-62 ได้พูดถึงลักษณะของผู้ที่จะเป็นสาวกของพระองค์ไว้   ลองอ่านดู
            พี่น้องครับ  การทรงเรียกของพระเจ้าจะไม่สัมฤทธิ์ผล หากเรามิได้ตอบสนองต่อพระประสงค์แห่งการทรงเรียกนั้น
1.1   ลักษณะสาวกแท้   2 ทิโมธี 2.3-6
จง​ทน​การ​ยาก​ลำบาก​ด้วย​กัน​กับ​ทหาร​ที่​ดี​ของ​พระเยซูคริสต์ 4ไม่​มี​ทหาร​คน​ใด​ที่​เข้า​ประจำการ​แล้ว​จะ​ยุ่ง​อยู่​กับ​งาน​ฝ่าย​พลเรือน ด้วย​ว่า​เขา​มุ่ง​ที่​จะ​ทำ​ให้​ผู้​บังคับบัญชา​พอใจ 5นักกีฬา​จะ​มิได้​สวม​พวงมาลัย​ถ้า​เขา​ไม่​แข่งขัน​ตาม​กติกา 6กสิกร​ผู้​ตรากตรำ​ทำงาน​ก็​ควร​เป็น​คน​แรก​ที่​ได้​รับ​ผล
             1. ทหาร  วิถีการดำเนินชีวิต  เข้มแข็ง อดทน อยู่ในวินัย ออกวิ่งทุกวันเพื่อร่างกายจะแข็งแกร่ง ทหารจะขี้แย ร้องไห้กลับบ้านได้มั๊ยครับ ไม่ขึ้นกับอารมณ์ความรู้สึก วันนี้อารมณืไม่ดี ไม่ไปฝึก หนีไปเที่ยวได้มั๊ย วันนี้อารมณ์ไม่ดีไม่มาโบสถ์ ทหารไม่ว่าจะชอบหรือไม่ถ้ามีคำสั่งก็ต้องทำ ชีวิตสาวกที่ดีจึงเหมือนทหารที่จะต้องมีวินัย อดทนและเข้มแข็ง เพื่อเป้าหมายและภารกิจที่ได้รับมอบหมายจะสำเร็จ
              2. นักกีฬา ต้องเป็นที่ที่เคร่งครัดในระเบียบ มีวินัยในการฝึกซ้อม นักกีฬาที่ไม่มีวินัย ชอบหนีเที่ยว ชอบไปเมา เป็นไงครับสุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝัน ถูกคัดตัวออก นักกีฬาเพื่อการแข่งเพียง 1 ชั่วโมง เขาต้องผ่านการซ้อมเป็นพันๆชั่วโมง ต้องอุทิศตัว ตั้งใจ เพื่อชิงรางวัลให้ได้ คงไม่มีนักกีฬาคนใดต้องการเพียงเพื่อเป็นเครื่องประดับ เป็นเพียงตัวสำรอง อีอย่างคือต้องยึดหลักกติกา สาวกนั้ก็ต้องรับใช้ในทางของพระเจ้า ไม่ออกนอกลู่นอกทาง
              3. กสิกร เป็นอาชีพที่ต้องหว่าน ต้องลงทุน เพื่อจะเกิดผลสูงสุด มีความหวัง สาวกก็ต้องลงทุนชีวิต เพื่อเก็บเกี่ยวพระพรจากพระเจ้าโดยมีความเชื่อและความหวัง
1.2 สัญลักษณ์ของสาวกแท้
              1. ยอห์น 8.31  พระเยซู​จึง​ตรัส​กับ​พวกยิว​ที่​ศรัทธา​ใน​พระองค์​แล้ว​ว่า ถ้า​ท่าน​ทั้งหลาย​ดำรง​อยู่​ใน​คำ​ของ​เรา ท่าน​ก็​เป็น​สาวก​ของ​เรา​อย่าง​แท้จริ
คนที่เชื่อฟังและทำตามคำสอนของพระเยซู
              2. ยอห์น 13.35  ถ้า​เจ้า​ทั้งหลาย​รัก​กัน​และ​กัน ดังนี้​แหละ​คน​ทั้งปวง​ก็​จะ​รู้​ได้​ว่า​เจ้า​ทั้งหลาย​เป็น​สาวก​ของ​เรา
รักซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะมาจากต่างถิ่นฐานกัน ไม่รักแค่คำพูดหรือด้วยปากเท่านั้น
              3. ยอห์น 15.16  ท่าน​ทั้งหลาย​ไม่​ได้​เลือก​เรา แต่​เรา​ได้​เลือก​ท่าน​ทั้งหลาย และ​ได้​แต่งตั้ง​ท่าน​ทั้งหลาย​ไว้​ให้​ท่าน​ไป​เกิด​ผล และ​เพื่อ​ให้​ผล​ของ​ท่าน​คง​อยู่ เพื่อ​ว่า​เมื่อ​ท่าน​ทูล​ขอ​สิ่งใด​จาก​พระบิดา​ใน​นาม​ของ​เรา พระองค์​จะ​ได้​ประทาน​สิ่ง​นั้น​ให้​แก่​ท่าน
เราได้รับเกียรติอย่างสูงที่พระเจ้าได้ทรงเลือกและเรียกเรา เราได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบุตร ให้เป็นผู้รับมรดก เพราะฉะนั้นการดำเนินชีวิตต้องเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ไม่ใช่เดินไปที่ไหนคนก็เบ้ปาก คนก็เดินหนี นี่เหรอคริสเตียน  ไม่เพียงเท่านั้นต้องมีชีวิตที่เกิดผล มีผลของพระวิญญาณปรากฎในชีวิตของเรา
                            พระธรรมยอห์น 14:8-9  ได้กล่าวถึงฟีลิปซึ่งเป็นตัวแทนของบรรดาสาวกของพระเยซู มาทูลว่า พระองค์เจ้าข้า ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ได้เห็น ก็พอใจข้าพระองค์แล้วพระเยซูตรัสตอบว่า ผู้ที่ได้เห็นเราก็เห็นพระบิดา...เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา
                พูดอย่างง่ายก็คือว่า ถ้าใครอยากจะเห็นพระเจ้า ก็ดูที่พระเยซูคริสต์ก็แล้วกัน เพราะพระองค์ทรงได้สำแดงพระสิริของพระเจ้าอย่างชัดเจน  (ยอห์น 1:14) และตัวเราก็เช่นเดียวกัน เรากล้าบอกคนรอบข้างเรา คนที่เราเป็นพยานด้วยมั๊ย เมื่อเขาถามว่าพระเยซูเป็นคนเช่นไร เรากล้าพูดเชิญชวนให้เขาดูที่ชีวิตของเราหรือไม่ ชีวิตของเราได้สำแดงพระเยซูอย่างไร
เป็นการง่ายที่จะอ้างตนว่าเป็นคริสเตียน แต่เมื่อคนอื่นมองเข้ามาในชีวิตของเรา เขาได้เห็นพระเยซูคริสต์อย่างชัดเจนหรือไม่?    เมื่อใดท่านได้เชื่อฟัง ทำตามและเลียนแบบจากพระเยซู เมื่อนั้นท่านเป็นสาวกที่แท้จริงของพระองค์
2.  ต้องเลียนแบบพระคริสต์   1 โครินธ์ 11:1
ท่านทั้งหลายก็จงปฏิบัติตามอย่างข้าพเจ้า เหมือนอย่างข้าพเจ้าปฏิบัติตามอย่างพระคริสต์
            มีพระคัมภีร์หลายตอนที่บอกอย่างชัดเจนว่า ให้ผู้เชื่อเลียนแบบอย่างจากพระเยซูคริสต์
               - เอเฟซัส 5:1ท่านจงเลียนแบบพระเจ้าให้สมกับเป็นบุตรที่รัก
               - เอเฟซัส 4:24พระเจ้าทรงสร้างเราขึ้นมาใหม่ตามแบบอย่างของพระองค์
               - ฟีลิปปี 3:17  เปาโลกล่าวกับคริสเตียนที่เมืองฟีลิปปีว่า ท่านจงร่วมกันตามแบบอย่างของข้าพเจ้า    เมื่อพระคัมภีร์กล่าวว่า ผู้เชื่อเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ นั่นมิได้หมายถึงให้พยายามทำตัวเป็นคนยิว ไว้ผมยาวและมีหนวดไว้เครา ใส่เสื้อผ้ารุ่มร่ามกรอมเท้า  แต่หมายถึงให้คริสเตียนเลียนแบบอย่างทางด้านชีวิตและความประพฤติของพระองค์ ในความรัก ปราศจากบาป ความบริสุทธิ์และการเสียสละ
ในพระธรรมฟิลิปปี 2:5-8    5ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ 6ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า   แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ 7แต่ได้กลับทรงสละ   และทรงรับสภาพทาส   ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ 8และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว   พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา   กระทั่งความมรณาที่กางเขน    และในพระธรรมตอนนี้ให้เราได้เห็นถึงท่าทีที่น่าประทับใจของพระเยซูคริสต์ 2 ประการ
2.1  ทรงถ่อมพระทัย    ฟิลิปปี 2:5-7
            ข้อที่ 6  “ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ”   คำว่า ผู้ทรงสภาพของพระเจ้าหมายความว่า พระเยซูเป็นพระเจ้าเอง   พระเยซูเคยตรัสเรื่องนี้หลายครั้ง เช่น เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”   “ผู้ที่เห็นเรา ก็ได้เห็นพระบิดา”     พระเยซูมีฤทธิ์อำนาจ พระสิริ ความสรรเสริญ ปัญญา คำโมทนา และพระเกียรติเท่ากับพระเจ้า  แต่พระองค์ได้ทรงสละทุกอย่างด้วยพระองค์เอง พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า แต่ได้ทรงสละ นี่คือความถ่อมพระทัยของพระองค์
            ในวันนี้  เราทุกคนมีเหตุผลที่จะไว้ใจในตัวเอง  เช่น ตระกูล ความฉลาด รูปร่างงาม หน้าตาดี การศึกษาสูง  เกียรติยศชื่อเสียง ฐานะในสังคม ความร่ำรวย  ดังนั้น เราจึงสามารถอ้างสิทธิของตนได้  เราสามารถอวดในสิ่งที่เรามีอยู่   แต่เราควรละทิ้งสิ่งเหล่านี้ เพื่อพระคริสต์ และเพื่อจะสร้างคุณงามความดีในชีวิตตามแบบอย่างของพระเยซู นี่แหละ คือความถ่อมใจแท้
แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์”  
            แม้พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ แต่พระองค์ไม่ได้ทรงใช้สิทธิของพระเจ้าและถือกำเนิดเป็นมนุษย์  พระองค์ได้ทรงรับสภาพทาส   พระเยซูผู้ทรงสถิตในสวรรค์ด้วยพระสิริและพระเกียรติ ได้เสด็จลงในโลกท่ามกลางมนุษย์ที่บาป  นี่คือความถ่อมพระทัยของพระเยซู
เมื่อพระเยซูทรงบังเกิด พระองค์ได้ทรงบังเกิดในรางหญ้า  ในฐานะเป็นลูกของช่างไม้   หลังจากนั้น   พระองค์ได้ทรงสำแดงชีวิตแห่งการถ่อมใจ  พระเยซูทรงเป็นชาวนาซาเร็ธที่คนอื่นได้ดูถูก   พระเยซูไม่มีการศึกษาสูง (ยน.7.15)  พระเยซูไม่มีที่ที่จะวางศีรษะของพระองค์ (ลก.9.58)   พระเยซูตรัสว่า เราจะทำสิ่งใดตามอำเภอใจไม่ได้ ... เรามิได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา(ยน.5.30)   สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความถ่อมพระทัยของพระเยซู  พระองค์จึงตรัสว่า เพราะว่า เราสุภาพและใจอ่อนน้อม...(มธ.11.29)  
            มนุษย์เป็นอย่างไร  เราทุกคนอยากเป็นใหญ่ อยากเป็นเจ้านาย  อยากให้คนอื่นปรนนิบัติเรา และวางตัวเป็นเหมือนกษัตริย์ใช่ไหม  แต่พระเยซูได้ทรงบังเกิดอย่างต่ำต้อย  ดำเนินชีวิตอย่างมีความถ่อมพระทัย และสิ้นพระชนม์อย่างคนบาป   พระเยซูได้ทรงปรนนิบัติคนมากมาย แทนที่จะได้รับการปรนนิบัติจากคนอื่น   พระเยซูทรงล้างเท้าของสาวกในฐานะเป็นอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า   และพระองค์สอนเราว่า  “...ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย  ถ้าผู้ใดใคร่จะเป็นเอกเป็นต้น  ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสสมัครของพวกท่านอย่างที่บุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ  แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขาและประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก”  (มธ.20.26-28)   ใจที่ถ่อมลงเช่นนี้เป็นน้ำใจที่มีในพระเยซูคริสต์
            ในพระธรรม 1 เปโตร 5:5 กล่าวว่า  “...พระเจ้าทรงเป็นปฎิปักษ์กับคนเหล่านั้นที่ถือตัวจองหอง แต่พระองค์ทรงสำแดงพระคุณแก่คนที่อ่อนน้อมถ่อมตน

            2.2   ทรงเชื่อฟัง    ฟิลิปปี 2:8
 “และเมื่อทรงปรากฎพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน” 
            ในขณะที่อยู่ในสวนเกเสมเน พระเยซูทรงปรารถนาที่จะพ้นจากไม้กางเขน  ขอให้เรามองดูพระเยซูคริสต์ผู้ทรงอธิษฐานขอให้ถ้วยนี้เลื่อนออกไป ลูกาบันทึกว่าเหงื่อของพระองค์เป็นเหมือนเลือดไหลหยดลงถึงดินเป็นเม็ดใหญ่ พระองค์ตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า ใจของเราเป็นทุกข์แทบจะตาย...(มธ.26.38)  แล้วทรงอธิษฐานกับพระเจ้าว่า ถ้าเป็นได้ ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด”   แต่ในที่สุด พระองค์ทรงยอมทำตามน้ำพระทัยของพระบิดา อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”  (26.39)   ชีวิตของพระเยซูบนโลกนี้เป็นชีวิตที่มอบทุกอย่างไว้กับพระเจ้าพระบิดา   พระเยซูมิได้ถือว่าทรงเท่าเทียมกับพระเจ้า  พระองค์ทรงถ่อมพระทัยลง รับสภาพทาส และบังเกิดมาเป็นมนุษย์ เพื่อทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าบรรลุผล  เพื่อจะทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จ พระเยซูยอมเชื่อฟังจนถึงความตายที่กางเขน
            แม้แต่เปโตรยังทนไม่ได้ เขาชักดาบออกฟันหูของพวกที่จะมาจับกุมคนหนึ่งขาด พระเยซูทรงห้ามและสั่งให้เก็บดาบ  แท้จริงพระเยซูสามารถเคลื่อนพลทูตสวรรค์กว่า 12 กองได้ (ประมาณ 72,000 คน)   พระองค์ทรงทำลายพวกศัตรูด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ได้   แต่พระองค์ไม่ได้ทำประการใดเลย   กลับทรงยอมเชื่อฟังพระเจ้าพระบิดา จนถึงความมรณาที่กางเขน
            พระองค์ทรงขอร้องสิ่งเดียวกันแก่เราในวันนี้ให้ถ่อมใจลงยอมเชื่อฟังพระเจ้า  มีบ่อย ครั้งที่ไม่อยากเชื่อฟัง หรือคิดว่าเชื่อฟังไม่ได้  มีกำลังไม่พอที่จะเชื่อฟัง  แต่เราต้องเชื่อฟัง เพราะเป็นน้ำพระทัยของพระองค์  และต้องเชื่อฟังจนถึงวันสุดท้าย  
                
ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น  เช่นเดียวกันครับ  เรากับพระเจ้าก็เช่นกัน   เมื่อเราใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้าทั้งในการใคร่ครวญพระวจนะ   มีเวลาที่จะพูดคุยอธิษฐานกับพระองค์   หรือครุ่นคิดตัดสินใจตามพระประสงค์ของพระองค์   เราก็จะเลียนแบบของพระเยซูในชีวิตท่าที ท่าทาง และพฤติกรรมที่แสดงออก   เอเฟซัสบอกกับเราทุกคนว่า  ให้เราเลียนแบบพระเจ้าให้สมกับเป็นบุตรที่รัก
เราต้องเป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น

 ขอพระเจ้าทรงอวยพระพร

No comments:

Post a Comment