Friday, August 5, 2016

คริสตจักรที่มีชีวิต

คริสตจักรที่มีชีวิต

    มนุษย์เรามีค่าก็ตอนที่มีชีวิตอยู่ เมือ่เราตายไปแล้วร่างกายก็จะกลับคืนสู่ดิน เพราะพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์จากผงคลีดิน  การที่เราจะรักใครก็ต้องรักตอนที่เขามีชีวิตอยู่ รักพ่อแม่ก็ต้องตอบแทนท่านตอนที่ท่านยังอยู่กับเรา ไม่ใช่เมื่อท่านจากไปแล้วค่อยหาอาหารดีๆไปไหว้คนเราเมื่อรักกันแล้วก็คงอยากพบอยากเจอ อยากอยู่ใกล้ชิด แต่ถึงอย่างไร เรารักเขาและแสดงออกได้ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ เมื่อคนหนึ่งคนใดตายแล้ว ไม่มีใครเอาศพวางไว้ในห้องนอนของตนเป็นแน่ ไม่ว่าจะเป็นดารารูปหล่อ หรือ สาวสวย หรือเป็นนางสาวไทย เมื่อตายไปแล้วก็คงไม่มีใครเก็บไว้ที่บ้าน นั่นก็แสดงว่าไม่มีใครชอบคนที่ตายแล้ว  บางคนยังมีชีวิตแต่อยู่ในอาการโคม่า หรือสมองตายแล้วแม้หัวใจยังเต้นอยู่ ในทางการแพทย์ย่อมถือว่าคนผู้นั้นได้ตายแล้ว
คริสตจักรก็เช่นเดียวกัน บางคริสตจักรมีกิจกรรมภายนอก แต่ภายในได้ตายเสียแล้ว ดูภายนอกเหมือนมีชีวิตอยู่ เป็นเหมือนคริสตจักรซาร์ดิส  หนึ่งในเจ็ดคริสตจักรซึ่งอัครสาวกยอห์นได้เขียนจดหมายและส่งไปนั้น วิวรณ์บทที่ 3:1-6  เป็นคริสตจักรที่ดูเหมือนว่า มีชีวิต แต่จริงๆแล้ว ตายเสียแล้ว พระเยซูตรัสว่า “...เจ้าได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ แต่ว่าเจ้าได้ตายเสียแล้ว”   จากพระธรรมตอนนี้เราจะเห็นว่า พระเจ้าไม่พอพระทัยคริสตจักรที่ตายแล้ว ไม่ใช่คริสต จักรทุกแห่งเหมือนกัน คริสตจักรที่มีชีวิตก็มี  คริสตจักรที่ตายแล้วก็มี
คริสตจักรที่เราพบเห็นอยู่ก็แตกต่างกันไป บางคริสตจักรมีสมาชิกเป็นพันคน บางคริสตจักรมีเป็นร้อย บางคริสตจักร มีหลายสิบคน แต่ละคริสตจักรก็มีแนวทางของตนเองตามการทรงนำของพระเจ้า คริสตจักรเล็กๆจะไปเลียนแบบคริสตจักรใหญ่ๆก็คงไม่ได้ เพราะมันคนละขนาด การดำเนินการก็ต่างกัน การบริหารคริสตจักรก็ต่างกัน แต่มีอยู่คริสตจักรหนึ่งที่สามารถเป็นแบบอย่างได้สำหรับทุกคริสตจักร คือคริสตจักรเริ่มแรกในพระคัมภีร์ นั่นก็คือคริสตจักรเยรูซาเล็มในพระธรมกิจการ
นับตั้งแต่วันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เสด็จลงมาเหนือผู้เชื่อในพระธรรมกิจการบทที่ 2  พระผู้ช่วยที่พระเยซูทรกำชับให้เหล่าสาวกรอคอยนั้นได้เสด็จลงมาประทับกับเขาแล้ว วันนั้นก็นับได้ว่าเป็นวันที่คริสตจักรได้ถูกสถาปนาขึ้นอย่างเป็นทางการ และผู้เชื่อได้เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จากผู้เชื่อ 120 คนที่รวมตัวกันรอคอยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ห้องชั้นบน (กิจการ 1.15)  เมื่อพวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันเพ็นเทคอสต์   เปโตรได้เทศนา มี  3000 คนได้กลับใจใหม่และรับบัพติศมาในวันเดียว (กิจการ 2.41) ต่อมาจำนวนผู้เชื่อนับเฉพาะผู้ชายเพิ่มเป็น 5000 คน (กิจการ 4.4) และยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องอีกหลายตอนที่กล่าวถึงในพระธรรมกิจการ ชีวิตของคริสตจักรแห่งนี้น่าประทับใจมาก และได้เห็นถึงเครื่องหมายของคริสตจักรที่มีชีวิต
การเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งที่ท้าทายเราให้มาศึกษาถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้คริสตจักรสมัยเริ่มแรกขับเคลื่อนอย่างมีพลัง
จะทำอย่างไร ที่จะให้คริสตจักรของเราเป็นคริสตจักรที่มีชีวิต โดยมีลักษณะของคริสตจักรเยรูซาเล็มเป็นต้นแบบ
พี่น้องครับ เราจะมาดูกันว่าคริสตจักรเยรูซาเล็มมีลักษณะอย่างไร เราจะอ่านพระธรรมกิจการ 2.42-47 ด้วยกัน
42เขาทั้งหลายได้ขะมักเขม้นฟังคำสอนของจำพวกอัครทูตและร่วมสามัคคีธรรม   ทั้งขะมัก เขม้นในการหักขนมปังและการอธิษฐาน 43เขามีความเกรงกลัวด้วยกันทุกคน   และพวกอัครทูตทำการอัศจรรย์   และหมายสำคัญหลายประการ 44บรรดาผู้ที่เชื่อถือนั้นก็อยู่พร้อมกัน   ณ   ที่แห่งเดียว   และทรัพย์สิ่งของของเขาเหล่านั้นเขาเอามารวมกันเป็นของกลาง 45เขาจึงได้ขายที่ดินและทรัพย์สิ่งของ   มาแบ่งให้แก่คนทั้งปวงตามซึ่งทุกคนต้องการ 46เขาได้ร่วมใจกันไปในพระวิหาร   และหักขนมปังตามบ้านของเขา   ร่วมรับประทานอาหารด้วยความชื่นชมยินดีและใจกว้างขวาง   ทุกวันเรื่อยไป 47ทั้งได้สรรเสริญพระเจ้าและคนทั้งปวงก็ชอบใจ   ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า   ได้ทรงโปรดให้คนทั้งหลายซึ่งกำลังจะรอด   มาเข้ากับพวกสาวกทุกวันๆ
เราจะเห็นคุณสมบัติ 4 ประการของคริสตจักรเยรูซาเล็ม
          1. เป็นคริสตจักรที่ชอบเรียนพระวจนะของพระเจ้า (42 ก)
           “เขาทั้งหลายได้ขะมักเขม้นฟังคำสอนของจำพวกอัครทูต”  หลังจากที่พวกเขาได้กลับใจใหม่และรับบัพติศมาแล้ว เขาขะมักเขม้นฟังคำสอนของอัครทูต   พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เปิดโรงเรียน  อัครทูตเป็นครู และคนที่รับบัพติศมา 3,000  คนเป็นนักเรียน ทำให้ความเชื่อของเขาเข้มแข็งและถูกต้อง การกระทำของพวกเขาก็ถูกต้องเช่นเดียวกัน
           มีสองคำที่น่าสังเกตุดู
          คำแรก คือ ขะมักเขม้นฟัง หรือในฉบับ2011 ใช้คำว่า อุทิศตัว ไม่ใช่ฟังเฉยๆ แต่ตั้งใจฟัง เอาจริงเอาจัง ฟังอย่างจริงใจ ไม่หันซ้ายแลขวา  ไม่คุยกัน จริงจังกับการศึกษาพระคำของพระเจ้า อยากจะรู้เรื่องของพระเจ้ามากขึ้น   ถ้าคริสตจักรเยรูซาเล็มมัวแต่คุยกัน ตื่นเต้นกับความเชื่อที่ได้รับ เป็นไงครับ  3000 คน เสียงคงจะระงมจนไม่ได้ยินคำสอนจากอัครทูต  สมัยนั้นยังไม่มีไมโครโฟน ไม่มีเครื่องเสียง  เขาขะมักเขม้นฟัง  เงียบ  ตั้งใจฟัง เพราะอยากรู้จักพระเยซู อยากโต อยากรับใช้ 
แต่ ปัจจุบันมีเครื่องเสียงอย่างดี ผู้เทศนายังต้องตะโกนเสียงแข่งกับผู้ฟัง พี่น้องครับ ให้เราตั้งใจฟังคำสอน เพื่อเราจะเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ ให้เราวางรากฐานของคริสตจักรบนพระวจนะของพระเจ้า เพื่อเราจะรู้และเข้าใจในน้ำพระทัยอย่างถ่องแท้
เมื่อเราศึกษาในพระคัมภีร์ใหม่ เราจะเห็นถึงการล่อลวง คำสอนผิดแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรหว่านคำสอนผิดในหมู่ผู้เชื่อ เช่น (โคโลสี ทิตัส )
พวก นอสติค ซึ่งหมายถึงความรู้ พวกเขาจะสนใจแต่ความรู้ คิดว่าตนเองมีความรู้เหนือผู้อื่น และสอนว่าร่างกายเป็นสิ่งที่เลวร้าย วิญญาณเป็นสิ่งที่ดี เพราะฉนั้นจะใช้ร่างกายทำอะไรก็ได้ไม่ผิด เพราะชีวิตจริงอยู่ในฝ่ายวิญญาณ ทำให้ผู้หลงติดตามทำผิดบาป
พวกเน้นพระคุณแบบสุดโต่ง อาศัยพระคุณอย่างเดียว จะทำผิดบาปอย่างไรก็ไม่เป็นไร เพราะพระคุณให้รอดแล้ว ทำให้ผู้เชื่อดำเนินชีวิตหย่อนยาน ขาดความยำเกรงพระเจ้า ใช้ชีวิตในความบาปไม่ต่างจากคนทั่วไป ทำให้พระนามของพระเจ้าเสียเกียรติ
พวกเน้นธรรมบัญญัติ เป็นคริสเตียนแล้วยังต้องกลับไปเข้าสุหนัต ทำให้ขาดเสรีภาพในชีวิตใหม่ โดยเอาธรรมบัญญัติมาเป็นแอกสวมทับผู้เชื่อ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นคริสตจักรใหญ่หรือเล็ก เพราะเราขาดความเข้าใจในพระวจนะ จึงทำให้ถูกล่อลวงให้หลงไป
ยิ่งในโลกปัจจุบันที่มีสิ่งล่อลวงมากมาย จนคริสตจักรแทบจะไม่สามารถสร้างเกาะป้องกันให้กับสมาชิกได้ คริสตจักรจึงจำเป็นต้องหนุนใจให้สมาชิกรักพระคำของพระเจ้า ศึกษาพระคำให้เข้าใจลึกซึ้ง สิ่งนี้เท่านั้นจะเป็นเกาะป้องกันสมาชิกให้เติบโตขึ้นและก้าวไปสู่การรับใช้ที่เกิดผล
การเข้าใจในพระคำของพระเจ้าจะสร้างเราให้เป็นคนที่มีหลักการ มีวิจารณญานในการแยกแยะสิ่งถูกผิด เราไม่ได้อ่านพระคัมภีร์เพียงเพื่อจะเอาไปสอนหรือเอาไปเลี้ยงน้องเลี้ยงเท่านั้น แต่เพื่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเราเองให้เติบโต และปกป้องตนเองได้ด้วย
          คำที่สอง คือพวกอัครทูต   พระเจ้าทรงโปรดให้คำสอนของอัครทูตมีสิทธิอำนาจโดยที่ให้อัครทูตได้กระทำการอัศจรรย์และหมายสำคัญหลายประการ (43) ในทุกวันนี้ ไม่มีตำแหน่งอัครทูต แต่คำสอนของอัครทูตได้ถูกรวมอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่   เราจึงควรเรียนและเชื่อฟังพระคัมภีร์   การเรียนพระคัมภีร์เป็นวิธีสร้างความเชื่อให้มั่นคงและแข็งแรง
พี่น้องครับ ท่านรู้หรือไม่ว่า ในยามที่คนเราอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความรักนั้น สิ่งที่เราปรารถนาจะทำก็คือการบอกให้บุคคลที่เรารักได้รับรู้ และเข้าใจความรู้สึกของเราว่า "เรารักเขา" และสื่อเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในเรื่องนี้ . . . และสื่อที่ดีที่สุด ที่ช่วยให้คู่รักจำนวนมากได้เข้าใจกันอย่างลึกซึ้งคือจดหมาย”  ในชีวิตของเราแต่ละคนคงเคยอ่านหนังสือมากมายหลายประเภทแต่ไม่มีการอ่านครั้งใดที่จะสร้างความรู้สึกที่ดีให้เราเท่ากับการอ่านจดหมายจากคนที่เรารัก
พี่น้องที่รัก วันนี้ท่านอ่านจดหมายรักจากพระเจ้าด้วย ความรู้สึกอย่างเดียวกับจดหมายรักจากคนที่ท่านรักหรือไม่ พระองค์ปรารถนาที่จะสื่อความรักของพระองค์สู่ท่านแบบ จากใจถึงใจ จากความรู้สึกลึกซึ้งของพระองค์สู่อารมณ์ลึกๆของท่าน จากน้ำพระทัยที่แสนประเสริฐสู่ความประทับใจของท่าน   ดังนั้นเวลาอ่านพระคัมภีร์อย่างมองแค่เนื้อความที่ บรรยายไว้เท่านั้น และจงมองให้เห็นความรักอันยิ่งใหญ่จากใจ ของพระองค์ที่มีต่อท่านเป็นส่วนตัวด้วย แล้วท่านจะได้รับประสบการณ์ใหม่ในความซาบซึ้งถึงความรักจากพระองค์
          คริสตจักรที่ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นคริสตจักรที่เรียนพระคัมภีร์และเชื่อฟังพระคัมภีร์  เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำคริสตจักรให้เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นวิญญาณแห่งความจริง ทรงนำเราไปสู่ความจริงทั้งมวล ดังนั้น เราควรเรียนจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงเป็นผู้สอนพระวจนะของพระเจ้า ในเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงสอนพระคัมภีร์ผ่านทางมนุษย์        พระองค์ทรงแต่งตั้งบางคนให้เป็น ศิษยาภิบาลและอาจารย์   ให้สอนพระคัมภีร์   เราจึงมาเรียนพระคัมภีร์จากศิษยาภิบาลและอาจารย์
          2. เป็นคริสตจักรที่ชอบร่วมสามัคคีธรรม (42 ข)
            “เขาทั้งหลายได้ขะมักเขม้น... ร่วมสามัคคีธรรม
          คำว่าสามัคคีธรรมที่นี่ มีความหมายสองอย่าง สองอย่างนี้แยกออกจากกันไม่ได้ เหมือนเงินเหรียญสองด้าน
          2.1  ร่วมสามัคคีธรรมกับพระเจ้า
เราทั้งหลายก็ร่วมสามัคคีกับพระบิดาและกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์”(1 ยอห์น 1.3)
การมีสามัคคีธรรมกับพระเจ้า เราทำได้หลายทาง
-                  การอธิษฐาน การวิงวอน เราสามารถอธิษฐานกับพระเจ้าได้ตลอดเวลา ไม่ว่าเวลาสุข ทุกข์ มีปัญหา ต้องการการทรงช่วย หรือต้องการขอบคุณสรรเสริญพระเจ้าได้โดยตัวเราเอง ไม่เหมือนในสมัยพระคัมภีร์เดิมที่จะต้องมีปุโรหิตเป็นคนกลาง ต้องมีเครื่องเผาบูชา แต่โดยพระคุณพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ เราสามารพูดคุยกับพระองค์ได้โดยตรง
ลองคิดดู ถ้าเราจะคุยกับคนที่เรารัก เราต้องมีคนกลาง เป็นไงครับ ไม่สนุกเลย
- การนมัสการ การเข้ามาในคริสตจักร นมัสการและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าก็เป็นการสามัคคีธรรม
- การอ่านพระคัมภีร์ หรือการฟัง ก็เป็นการสามัคคีธรรมกับพระเจ้า ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน นั่งรถไฟฟ้า ก็อ่านหรือฟังพระคัมภีร์ได้ เวลาขับรถก็ฟังพระคำ หรือฟังเพลงนมัสการ หรืออธิษฐานได้ แต่ห้ามหลับตา ไม่งั้นตัวใครตัวมัน
          2.2  ร่วมสามัคคีธรรมกับพี่น้อง คือ แบ่งให้แก่คนอื่น ไม่ใช่รับอย่างเดียว แต่ให้ด้วย
ในสังคมปัจจุบัน แต่ละคนก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัว ไม่ต้องการให้ใครเข้ามาแทรกแซง ความเหน็ดเหนื่อยจากหน้าที่การงาน รถติด ทำให้เราต้องการพัก ไม่อยากเข้าร่วมการสามัคคีธรรม คิดหาวิธีที่จะสามัคคีธรรมโดยไม่ต้องไปพบปะกัน เช่น ทางไลน์ ทางเฟสบุ๊ค การโทรศัพท์ การทำเช่นนั้นก็ดีแต่อย่างน้อยก็ต้องมีสักวันที่เราได้พบปะกัน พูดคุย แลกเปลี่ยน ปรึกษา ช่วยกันแก้ปัญหา อธิษฐานเผื่อกัน สร้างความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง คำว่า สามัคคีธรรมในพระคัมภีร์ใช้คำว่า คอยโนเนีย คือการเข้าหุ้นส่วนชีวิต ไม่ใช่มาโบสถ์แค่นมัสการแล้วก็กลับบ้านไป แต่มันเป็นการมาใช้ชีวิตร่วมกัน ช่วยขัดเกลาซึ่งกันและกัน
คริสตจักรไม่ใช่โรงหนัง ไม่ใช่การแสดงคอนเสิร์ต ดูจบก็แยกย้ายกันกลับบ้านโดยไม่ได้สัมพันธ์กับใคร แต่พระเจ้าทรงต้องการให้คริสตจักรเป็นสถานที่ที่ผู้เชื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระกาย มีความสัมพันธ์เหมือนอวัยวะที่เชื่อมประสานกันของร่างกาย  ถ้าเราเอาอวัยวะต่างๆมากองรวมกันไว้ เรียกว่าร่างกายได้มั๊ยครับ ทุกอวัยวะต้องเชื่อมต่อสนิทกัน เราก็เช่นเดียวกันเป็นอวัยวะหนึ่งในคริสตจักรประสานกันกับพี่น้องคนอื่นๆ  คริสตจักรจึงจะเคลื่อนไปข้างหน้าได้
ผู้เขียนพระธรรมกิจการ คือลูกาได้แสดงให้เห็นถึงวิธีการที่คริสเตียนในยุคแรกได้แบ่งสิ่งของของตัวเองให้แก่คนอื่นอย่างต่อเนื่องบรรดาผู้ที่เชื่อนั้น ก็อยู่พร้อมกัน ณ ที่แห่งเดียว และทรัพย์สิ่งของของเขาเหล่านั้น เขาเอามารวมกันเป็นของกลาง เขาจึงได้ขายที่ดินและทรัพย์สิ่งของ มาแบ่งให้แก่คนทั้งปวงตามซึ่งทุกคนต้องการ”(44-45)
           พระคัมภีร์ข้อเหล่านี้ทำให้เราสับสนบ้าง บางคนบอกว่า ข้อเหล่านี้เหมือนคอมมิวนิสต์ แต่จริงๆแล้ว ไม่เหมือน เพราะว่า พวกคอมมิวนิสต์นั้นเป็นผู้แบ่งให้ ไม่มีคนรวย ไม่มีคนจนโดยใช้อำนาจ  โดยการบังคับ แล้วผู้มีอำนาจเป็นคนส่วนน้อยรวย คนส่วนใหญ่ยากจน แต่คริสเตียนยุคแรกได้กระทำด้วยความสมัครใจ ไม่มีใครบังคับ
            อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้สับสนคือ  เมื่อคริสเตียยุคแรกทำเช่นนี้ เราจึงต้องทำเช่นนั้นตามตัวอักษรหรือเปล่า  ต้องขายที่ดินและทรัพย์สินส่วนตัวเอามาแบ่งให้หรือ พระคัมภีร์ไม่ให้มีทรัพย์สินส่วนตัวหรือ แน่นอน พระเจ้าทรงเรียกบางคนให้ทำอย่างนั้นด้วยความสมัครใจ แต่ไม่ใช่ทุกคน คริสเตียนยุคแรกบางคนขายที่ดินและเอามาแบ่งให้ด้วยความสมัครใจ แต่คนอื่นๆยังมีทรัพย์สินส่วนตัว
ในข้อ 46 บอกว่า หักขนมปังตามบ้านของเขาแสดงให้เห็นว่า เขาเหล่านั้นยังมีบ้านของเขาเอง    
ในกิจการบทที่ 5 เราเห็นได้ว่า ความบาปของอานาเนียกับสัปฟีรานั้น ไม่ใช่ความโลภ หรือวัตถุนิยม แต่ความหลอกลวง เขาได้ขายที่ดิน และเก็บค่า ที่ดินส่วนหนึ่ง แล้วเอาส่วนที่เหลือมามอบให้แก่อัครสาวก ทำท่าเหมือนเอาค่าที่ดินทั้งหมดมาถวาย   เปโตรได้บอกอย่างชัดเจนว่า เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้ามิใช่หรือ เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในอำนาจของเจ้ามิใช่หรือ ... เจ้ามิได้มุสาต่อมนุษย์ แต่ได้มุสาต่อพระเจ้า” (กิจการ 5.4)
 เมื่อเปโตรได้ถูกปล่อยจากคุก เขาก็ไปหาบ้านของมารีย์ มารดาของมาระโก เห็นได้ว่า มารดาของมาระโกก็ยังมีบ้านของตน(กิจการ 12)
             เราจึงควรทำด้วยความสมัครใจ และไม่ใช่เห็นแก่หน้าคนหนึ่งคนใด   แต่ทำจำเพาะพระพักตรพระเจ้า
การที่คริสเตียนมีทรัพย์สินส่วนตัวนั้นไม่ผิดอะไรเลย แต่ในเวลาเดียวกัน พระเจ้าทรงเรียกเราให้ดูแลคนยากจน  คนขัดสนและเดือดร้อน     คริสเตียนยุกแรกได้วางแบบอย่างในเรื่องนี้ด้วยความสมัครใจ ความสามัคคีธรรมของคริสเตียน คือความรักซึ่งกันและกัน ความรักซึ่งกันและกันของคริสเตียนก็คือการดูแล    การดูแลของคริสเตียน คือการแบ่งให้ ไม่ควรกล่าวโทษ ไม่ควรอิจฉาริษยา ไม่ควรนึกเสียดาย     
ในชุมชนคริสเตียนนั้น คนยากจนก็ไม่รู้สึกอาย และคนรวยก็ไม่อวดตัว   แต่ร่วมกันทำให้ลดความยากจนและไม่ให้มีใครขัดสน    นี่แหละเป็นความรับผิดชอบของคริสเตียนที่ประกอบ ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชุมชนแห่งความเชื่อ
ในการทรงสร้างสรรพสิ่งของพระเจ้า พระองค์สร้างเสร็จพระองค์ทรงเห็นว่าดี และดียิ่งนัก แต่มีสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าทรงเห็นว่าไม่ดี คือ ในปฐมกาล 2.18 "การที่ชายผู้นี้จะอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขาขึ้นแสดงให้เห็นว่ามนุษย์จะอยู่เพียงลำพังไม่ได้ จะต้องมีส่วนร่วมซึ่งกันและกัน เป็นสังคม เพราะฉะนั้นคริสเตียนจะต้องมีการสามัคคีธรรมกับพี่น้อง จะแค่ส่งไลน์แชทกันแค่นั้นไม่ได้ ต้องมาสามัคคีธรรมที่คริสตจักรด้วย
          3. เป็นคริสตจักรที่ชอบนมัสการพระเจ้า (42 ค)
           “เขาทั้งหลาย...ทั้งขะมักเขม้นในการหักขนมปังและการอธิษฐานหักขนมปัง คงหมายถึงการถือศีลมหาสนิท การอธิษฐานที่นี่ คงหมายถึงประชุมอธิษฐาน หรืออธิษฐานร่วมกัน หมายความว่า คริสเตียนยุคแรกได้ขะมักเขม้นนมัสการพระเจ้า
เพราะการนมัสการเป็นวิธีหนึ่งที่เราจะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า
แท้ที่จริงแล้ว มนุษย์ทุกคนแสวงหาการนมัสการอยู่ในชีวิตของเขา
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาโดยมีช่องว่างในใจของเขา  ช่องว่างนั้นมีรูปทรงแบบพระเจ้า มนุษย์พยายามจะเอาจิ๊กซอว์ และหาสิ่งสารพัดมาเติมในช่องว่างนั้น ไม่ว่าจะเป็น เงิน เกียรติ ทรัพย์สมบัติ รูปเคารพ ไสยศาสตร์ มาเติมให้เต็ม แต่เติมยังไงก็ไม่มีวันเต็ม เพราะช่องว่างนั้นเป็นลักษณะของพระเจ้า มันจึงจำเป็นที่จะถูกเติมให้เต็มโดยพระเจ้าเท่านั้น
             การนมัสการพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดสำหรับคริสเตียน เมื่อเราประสบความสำเร็จในการนมัสการพระเจ้า เราก็จะประสบความสำเร็จในการกระทำทุกอย่าง พระเจ้าทรงประสงค์ให้เรานมัสการพระองค์ พระองค์ทรงแสวงหาคนที่นมัสการพระองค์
มีคำพูดประโยคหนึ่งกล่าวว่า "คริสเตียนที่ไม่จัดเวลาอย่างจริงจังสำหรับการอธิษฐาน ในไม่ช้าเขาก็จะไม่มีเวลาเหลืออยู่แม้แต่นาทีเดียวที่จะใช้ในการอธิษฐาน" ข้อความนี้ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นจริง แต่เราพบว่าในปัจจุบันนี้มี      คริสเตียนไม่น้อยที่ไม่มีเวลาสำหรับอธิษฐานจริงๆ  และสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ คริสเตียนเหล่านั้นมัวแต่มองหาเวลาที่จะอธิษฐานทุกวัน แต่ก็ไม่เคยเจอสักวันเดียว เพราะเวลาแห่งการอธิษฐานในชีวิตประจำ วันของเราจะเกิดขึ้นจากการจัดเวลาของเราแต่ละคนเท่านั้น ขอยืนยันว่าตราบใดที่ท่านยังไม่คิดที่จะจัดเวลาสำหรับการอธิษฐาน ท่านก็ไม่มีทางที่จะพบเวลาที่จะใช้ในการอธิษฐานได้เลย
ให้เราจัดเวลาสำหรับการอธิษฐานส่วนตัว ให้เราเป็นแบบอย่างสำหรับพี่น้อง สำหรับน้องเลี้ยงของเราในการอธิษฐาน
เราสามารถสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ 2 ทาง คือการพูด และ การฟัง ถึงแม้ว่าพระเจ้าทรงสัพพัญญูรู้ทุกอย่าง แต่พระองค์ก็ยังต้องการให้เราอธิษฐาน เพื่อพูดคุยเรื่องราวของเรากัพระองค์
ในชีวิตของเราต้องผ่านการตัดสินใจอะไรมากมาย เมือ่เราก้มลงอธิษฐาน เราจะรู้น้ำพระทัยของพระองค์
          4. เป็นคริสตจักรที่ชอบประกาศข่าวประเสริฐ (47)
            “... ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งหลายซึ่งกำลังจะรอด มาเข้ากับพวกสาวกทุกวันๆ”  
การเรียนพระคัมภีร์ การสามัคคีธรรม และการนมัสการพระเจ้านั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในคริสตจักร ถ้าคริสตจักรมีสามสิ่งเหล่านี้เท่านั้น  ยังไม่สมบูรณ์
คริสตจักรเยรูซาเล็มเป็นคริสตจักรที่มีชีวิตที่สมบูรณ์ เพราะไม่ลำเอียงไปข้างเดียว ถึงแม้พวกเขาได้ขะมักเข้มนฟังคำสอน สามัคคีธรรมและนมัสการพระเจ้า แต่ยังไม่ลืมการเป็นพยานฝ่ายพระเยซูแก่คนนอกคริสตจักร
มีสามสิ่งที่เราควรเรียนรู้เกี่ยวกับการประกาศของคริสตจักร
             4.1  คำว่า ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าแสดงถึง  พระเยซูเองได้ทรงการะทำ   พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ประกาศยอดเยี่ยม เราจึงประกาศโดยพึ่งวางใจในพระองค์ด้วยความถ่อมใจ
             4.2   พระเยซูทรงโปรดนำคนที่จะรอด มาเข้ากับพวกสาวก และเข้ามาในคริสตจักร คนที่พระองค์ทรงนำมานั้น พระองค์ทรงให้เขาได้รับความรอดด้วย   ความรอดกับการเข้าโบสถ์ควรเดินไปเคียงข้างกัน ไม่ใช่เชิญคนมาที่โบสถ์เฉย มาสนุกสนานกับงานคริสตมาสหรือเทศกาล งานรื่นเริงต่างๆ แต่ลืมบอกหรือไม่ได้บอกเขาเกี่ยวกับความรอดที่พระเจ้าทรงประทานให้ หัวใจสำคัญของการประกาศคือ ข่าวประเสริฐเรื่องความรอด
             4.3   พระเยซูทรงเพิ่มเติมคนทุกวันๆเรื่อยไป ลูกาได้รายงานให้เราทราบว่า พระองค์ทรงเพิ่มคนให้เข้ามาโบสถ์อย่างไร  ในข้อ 2.41  มี 3,000คน   ในข้อ 4.4 มี  5,000 คนเฉพาะผู้ชาย   ในข้อ 5.4 มากกว่าก่อน  ในข้อ  6.1-2 ทวีมากขึ้น และในข้อ  9.31 คริสตจักรในที่ต่างๆจำเริญขึ้น และคริสตสมาชิกก็ยิ่งทวีมากขึ้น
          เราได้เห็นเครื่องหมายของคริสตจักรที่มีชีวิตจากคริสตจักรเยรูซาเล็มอย่างชัดเจน นั่นก็คือ คริสตจักรที่ชอบเรียนพระคัมภีร์    ชอบร่วมสามัคคีธรรม      ชอบนมัสการพระเจ้า และชอบประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู
          อย่าลืมให้คริสตจักรของเราเป็นเหมือนแหล่งผลิต Oxygen ซึ่งเปรียบได้กับคำหนุนใจ ให้คริสตจักรอบอวลไปด้วยคำหนุนใจ หันไปทางซ้ายก็หนุนใจ หันไปทางขวาก็กำลังใจ ใครคนไหนใกล้ตายเหมือนคนขาดออกซิเจน พอก้าวเข้ามาในโบสถ์ เขาจะหายใจโล่งทันที เพราะโบสถ์เราเป็นแหล่งผลิตออกซิเจน และจะให้ดีกว่านั้น ให้เราสามารถส่งออกซิเจนไปให้ผู้อื่นที่อยู่ไกลไม่สามารถมาโบสถ์ ได้ โดยใช้สื่อ Social network
ให้ออกซิเจนนะครับ แต่อย่าปล่อยคารบอนไดออกไซด์ในโบสถ์ เดี๋ยวคนอื่นจะอึดอัดหายใจไม่ออก
ขอให้เราาร่วมมือร่วมใจสร้างคริสตจักรของเราให้เป็นคริสตจักรที่มีชีวิต
ขอพระเจ้าอวยพระพร


No comments:

Post a Comment