ในพระคัมภีร์ใหม่
พระกิตติคุณได้รับการกล่าวถึงในลักษณะต่างๆกัน ได้แก่
ข่าวประเสริฐของพระเจ้า (มก 1.14)
ข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้า
(กจ 20.24)
ช่าวประเสริฐเรื่องความรอด (อฟ
1.13)
ข่าวประเสริฐเรื่องพระบุตรของพระองค์
(รม 1.9)
ข่าวประเสริฐของพระคริสต์ (ฟป
1.27)
ข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข (อฟ
6.15)
เนื้อหาสาระที่สำคัญในหนังสือพระกิตติคุณก็คือ
ชีวประวัติของพระเยซูคริสต์ ผู้เขียนหนังสือพระกิตติคุณไม่เพียงต้องการนำเสนอประวัติของพระเยซูเท่านั้น
แต่ยังต้องการให้ผู้อ่านได้รับความรู้ความเข้าใจถึงองค์พระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้า
ซึ่งนำไปสู่ความเชื่อวางใจในพระองค์และผลที่ได้รับก็คือ ชีวิตนิรันดร์ (ยน 20.31)
ความหมายของพระกิตติคุณ
คำว่า
พระกิตติคุณหรือข่าวประเสริฐ มาจากคำในภาษาอังกฤษว่า Gospel หมายความว่าข่าวดีหรือข่าวประเสริฐ
ซึ่งสอดคล้องกับคำในภาษากรีก euanggelos หมายถึงผู้นำมาซึ่งข่าวดี
ในพระคัมภีร์ใหม่ คำว่ากิตติคุณหรือข่าวประเสริฐมักจะใช้ในความหมายว่า
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นข่าวประเสริฐของพระเจ้าที่มีมาถึงมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นข่าวแห่งความรอดที่คริสเตียนประกาศแก่คนทั่วโลก
รูปแบบของพระกิตติคุณ
แม้ว่าพระกิตติคุณมีผู้เขียนที่ต่างกัน
เขียนถึงผู้อ่านที่ต่างกัน แต่เนื้อหาในพระกิตติคุณมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
จากการศึกษาพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม พบว่ามีรูปแบบของเนื้อหาคล้ายกัน 3 ประการ คือ
1.
เรื่องราวของยอห์น
ผู้ให้บัพติศมา ซึ่งเป็นการเปิดทางให้กับพระเยซูคริสต์
2.
พระราชกิจของพระเยซูทั้งที่เป็นคำสอนและการกระทำ
3.
เรื่องการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู
ซึ่งเป็นสาระสำคัญที่สุดของพระกิตติคุณ
และทุกเล่มได้ให้ความสำคัญและรายละเอียดไว้มากที่สุด
ดังนั้น
ผู้นำคริสตจักรในยุคแรกต่างเห็นพ้องต้องกันว่า
หนังสือที่จะจัดเป็นพระกิตติคุณได้นั้นต้องมีรูปแบบของพระกิตติคุณทั้ง 3 ประการนี้
และรูปแบบนี้เองที่ปรากฏอยู่ในคำเทศนาสั่งสอนของอัครสาวกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างคำเทศนาของเปโตรและเปาโลในพระธรรมกิจการ (กจ 2.22-24,
10.37-41, 13.24-31)
แม้ว่าการบันทึกพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม
จะมีระยะเวลาห่างกันถึง 40 ปี ก็ไม่เป็นเหตุที่จะลดความเชื่อถือและการยอมรับในสิทธิอำนาจของพระกิตติคุณให้น้อยลงได้
ทั้งนี้เพราะมีรูปแบบของพระกิตติคุณและการรับรองของอัครสาวกเป็นสำคัญ และโดยชีวิตของผู้เชื่อเองที่ได้รับพระกิตติคุณแล้วทำให้ชีวิตได้รับการเปลี่ยนแปลง
ความยาวและภาษาของพระกิตติคุณ
พระกิตติคุณทั้งสี่มีเนื้อหาความยาวรวมกันยาวเกือบประมาณครึ่งหนึ่งของพระคัมภีร์ใหม่
ถ้าเรียงลำดับโดยความยาวของเนื้อหาของทั้งสี่เล่ม ดังนี้ ลูกา มัทธิว ยอห์น มาระโก
ตามความเป็นจริงแล้วเรื่องราวในพระกิตติคุณจัดว่าสั้นมาก
ทั้งนี้เพราะชีวประวัติของพระเยซูมีมากกว่าที่บันทึกไว้ในพระกิตติคุณอย่างแน่นอน
แต่ที่บันทึกเป็นเพียงส่วนสำคัญที่คัดเลือกมาเขียนเท่านั้น (ยน 20.30, 21.25)
พระกิตติคุณแต่ละเล่มมีเป้าหมายของผู้เขียนที่ต่างกัน เช่น
มัทธิวมีเป้าหมายให้ชาวยิวมีความเชื่อ (มธ 1.1) ส่วนมาระโกมีเป้าหมายให้ชาวต่างชาติได้รู้เรื่องราวและเชื่อ
(มก 1.1) แม้ว่าเป้าหมายของแต่ละเล่มจะต่างกันไปบ้างแต่ก็ไม่ได้มีความขัดแย้งกัน
พระกิตติคุณทั้งสี่เล่มช่วยเสริมซึ่งกันและกันให้เกิดความเข้าใจและเห็นภาพของพระเยซูคริสต์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เพื่อนำพาผู้ที่รู้เรื่องราวของพระองค์ให้เกิดความเชื่อและวางใจเป็นประการสำคัญ
(ลก 1.1-4) ชาวยิวที่ปาเลสไตน์ในสมัยของพระเยซูจะใช้
2 ภาษาด้วยกัน คือ ภาษากรีก(คอยเน่)และภาษอารเมคซึ่งเป็นภาษาพื้นเมือง
ดังนั้นภาษาที่ใช้ในพระคัมภีร์ใหม่จึงเป็นภาษากรีกเป็นหลัก
(มีภาษาอารเมคปะปนอยู่บ้าง)
ตารางเปรียบเทียบระหว่างพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม
|
มัทธิว
|
มาระโก
|
ลูกา
|
ยอห์น
|
ผู้เขียน
|
มัทธิว
|
มาระโก
|
ลูกา
|
ยอห์น
|
สถานที่เขียน
|
เยรูซาเล็ม
|
โรม
|
ซีซารียา
|
เอเฟซัส
|
ผู้อ่าน
|
ชาวยิว
|
ชาวโรมัน
|
ชาวต่างชาติ(กรีก)
|
คริสตจักร
|
จุดมุ่งหมาย
|
ยืนยันว่าพระเยซูคือพระเมสสิยาห์
|
พระเยซูคือผู้รับใช้ของพระเจ้า
|
พระเยซูคือมนุษย์ที่สมบูรณ์ทุกประการ
|
พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า
|
หัวข้อ
|
กษัตริย์แห่งอิสราเอล
|
พระบัญชาแห่งอิสราเอล
|
แบบอย่างของอิสราเอล
|
พระเจ้าแห่งอิสราเอล
|
ท่าทีของผู้เขียน
|
อาจารย์
|
นักเทศน์
|
นักอักษรศาสตร์
|
นักศาสนศาสตร์
|
จุดเด่นของเนื้อหา
|
คำเทศนา
|
การอัศจรรย์
|
คำอุปมา
|
หลักคำสอน
|
ความคิดที่เน้น
|
พระบัญญัติ
|
ฤทธิ์อำนาจ
|
พระคุณ
|
พระสิริ
|
คำที่เน้น
|
สำเร็จแล้ว
|
ทันที,
ทันใดนั้น
|
บุตรมนุษย์
|
เชื่อ
|
ลักษณะของพระกิตติคุณ
|
พระกิตติคุณพ้อง
(Synoptic Gospel)
|
พระกิตติคุณที่เสริม
|
สถานที่ที่ประกาศสั่งสอนเป็นพิเศษ
|
แคว้นกาลิลี
|
แคว้นยูเดีย
เยรูซาเล็ม
|
ผู้รับการสั่งสอน
|
คนหมู่มาก
|
คนกลุ่มน้อย
|
ลักษณะชีวิตของพระเยซู
|
ชีวิตที่เปิดเผยในสังคม
|
ชีวิตที่เป็นส่วนตัว
|
ข้อพระธรรมสำคัญ
|
มธ
27.37
|
มก
10.45
|
ลก
19.10
|
ยน
20.31
|
ความสอดคล้องของพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม
เป็นอีกวิธีหนึ่งในการศึกษาชีวประวัติของพระเยซูคริสต์ที่น่าสนใจนอกเหนือจากการศึกษาพระกิตติคุณแต่ละเล่ม
ผู้ที่เคยศึกษาพระกิตติคุณแต่ละเล่มแล้วเมื่อมาศึกษาความสอดคล้องของพระกิติคุณทั้งสี่
จะได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับภาพชีวิตของพระเยซูทั้ง 4 ด้าน
และจะสามารถลำดับเหตุการณ์เกี่ยวกับชีวิตและพระราชกิจของพระเยซูคริสต์อย่างเป็นระเบียบและครบถ้วน
ซึ่งความสอดคล้องนี้ได้ระบุไว้แล้วในแต่ละหัวข้อใหญ่ของพระกิตติคุณแต่ละเล่ม
ซึ่งเราสามารถเปิดข้อพระคัมภีร์เหล่านั้นและเปรียบเทียบกันได้ด้วยตนเอง (ดูตารางชีวิตของพระเยซู)
พระกิตติคุณกับพระธรรมต่างๆในพระคัมภีร์ใหม่
ถ้าปราศจากพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม
เราก็ไม่อาจที่จะเข้าใจการบันทึกของพระธรรมเล่มอื่นๆเลย
พระกิตติคุณกับพระธรรมกิจการ เรื่องราวในกิจการต่อเนื่องกับพระกิตติคุณทั้งสี่เล่ม กจ 1.1 ‘บรรดาการซึ่งพระเยซูได้ทรงตั้งต้นกระทำและสั่งสอน’
ข้อความที่อ้างถึงพระกิตติคุณที่ลูกาเป็นผู้บันทึกและเป็นนัยว่านี่เป็นการบันทึกต่อเนื่องจากการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์
ที่เป็นบทสุดท้ายของพระกิตติคุณ
พระกิตติคุณกับจดหมายฝาก จดหมายฝากเหล่านี้บรรยายถึง
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำกิจในคริสตจักร
โดยช่วยผู้ที่เชื่อให้มีความเข้าใจและดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องตามน้ำพระทัยพระเจ้า เรื่องราวชีวประวัติของพระเยซูคริสต์นั้นเป็นรากฐานของหลักศาสนศาสตร์ทั้งมวลที่ปรากฏอยู่ในจดหมายฝาก
และเนื้อหาในจดหมายฝากก็มุ่งพรรณนาถึงลักษณะและจุดประสงค์ที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่บาปของมวลมนุษย์
ตามที่ปรากฏในพระกิตติคุณ และผู้ที่เชื่อในพระองค์จะมีชีวิตที่เกิดผลตามพระสัญญาที่พระองค์ให้ไว้ในพระกิตติคุณ
พระกิตติคุณกับวิวรณ์
พระธรรมวิวรณ์อ้างถึงเรื่องราวในพระกิตติคุณมากมาย เช่น
วว 1.18 อ้างถึงพระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว
และยังดำรงพระชนม์อยู่
วว 5.6 พระเมษโปดกผู้ทรงถูกปลงพระชนม์
วว 19.11-16 พระนามที่เรียกพระองค์นั้นคือ
พระวาทะของพระเจ้าจะเสด็จมาพิพากษาชาวโลกทั้งหลาย
ข้อความที่อ้างถึงองค์พระเยซูคริสต์ในวิวรณ์นั้นมีความสำคัญมาก
ทั้งนี้เพราะเรื่องราวทั้งหมดในวิวรณ์เป็นสุดยอดแห่งการเปิดเผยของพระเจ้าผ่านทางองค์พระเยซูคริสต์ซึ่งพระกิตติคุณได้บันทึกไว้แล้วนั่นเอง
เหตุการณ์ 7 วันสุดท้ายของพระเยซู
-
การเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต(วันอาทิตย์ )(มธ 21.1-11,มก 11.1-11,ลก 19.29-44,ยน
12.12-19)
- ต้นปาล์มหรืออินทผาลัมเป็นสัญลักษณ์ของความสง่างาม
ผู้ชอบธรรม (สดด 92.12-14) ความชื่นชมยินดีและชัยชนะ
- พระเยซูทรงใช้สาวก 2
คนไปนำลูกลามาให้พระองค์ และพระองค์ทรงลูกลาเข้าเยรูซาเล็ม
- พระองค์เสด็จไปพักที่เบธานีในคืนวันอาทิตย์
-
เหตุการณ์ที่เป็นหมายสำคัญ (วันจันทร์)
-
เช้าวันจันทร์
พระองค์กับสาวกเดินทางเข้ามายังเยรูซาเล็มอีก
- ทรงสาปต้นมะเดื่อ (มธ
21.18-19, มก 11.12-14) เปรียบกับอิสราเอลซึ่งดูเหมือนจะเกิดผล
**
ทำไมพระเยซูไปหาผลมะเดื่อ ในเมื่อไม่ใช่ฤดูของมัน **
(ชาวยิวมักจะกินมะเดื่อดิบลูกเล็กๆมีรสหวานอร่อยที่เรียกว่า ‘ทากซ์’
ซึ่งจะออกผลก่อนที่ใบมะเดื่อจะผลิ
และผลทากซ์ยังเป็นเครื่องแสดงว่ามะเดื่อต้นนั้นจะออกผลอย่างแน่นอน)
- ทรงชำระพระวิหารเป็นครั้งที่
2 (มธ 21.12-13, มก 11.15, ลก 19.45-48) สร้างความเคียดแค้นแก่ผู้เสียผลประโยชน์คือพวกผู้นำศาสนา
-
วันที่งานยุ่ง (วันอังคาร)
พระเยซูทรงสั่งสอนในพระวิหารและบนภูเขามะกอกเทศ
-
ต้นมะเดื่อเหี่ยวแห้ง
(มธ 21.19-22, มก 11.20-26)
· เปโตรอัศจรรย์ใจที่ต้นมะเดื่อเหี่ยวแห้งไป
-
ปัญหาเรื่องสิทธิอำนาจของพระเยซู
(มธ 21.23-27, มก 11.27-33, ลก 20.1-8)
- การที่พระเยซูทรงชำระพระวิหารทำให้ผู้นำศาสนาต่างไม่พอใจ
จึงทูลถามว่า พระองค์มีสิทธิอำนาจอะไรที่มาทำเช่นนี้
- พระเยซูไม่ตอบ
แต่ถามกลับว่า บัพติศมาของยอห์นนั้นมาจากไหน จากพระเจ้าหรือจากมนุษย์
พวกเขาไม่กล้าตอบ พระเยซูจึงไม่ตอบคำถามเขาเช่นกัน
-
คำอุปมาที่เป็นคำเตือนแก่พวกเขา
3 เรื่อง (มธ 21.28-34, มก 12.1-12, ลก 20.9-19)
- บุตร 2 คน =
พวกเขาเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก, ดูเหมือนเชื่อฟัง แต่ไม่จริงใจ
- คนเช่าสวนองุ่นชั่วร้าย
= พวกเขาเป็นคนต่อต้านพระเจ้า
มีภาพเล็งถึงพระเยซู
· การเลี้ยงในพิธีอภิเษกมเหสี
-
ปัญหา 3
เรื่องที่พวกเขาเอามาทดสอบเพื่อจับผิด (มธ 22.15-40, มก
12.13-34, ลก 20.20-40)
- การเสียส่วยให้แก่ซีซาร์
(สิ่งใดควรแก่ใครก็ให้แก่ผู้นั้น รม 13.7)
- การคืนชีพ (กายที่เป็นขึ้นเป็นกายใหม่
และมีสภาวะแบบใหม่)
- พระบัญญัติข้อใหญ่
(พระเยซูสรุปจาก 10 ประการเหลือ 2 ประการ คือ
ท่าทีที่ถูกต้องต่อพระเจ้าและต่อมนุษย์)
-
เงินถวายของหญิงม่าย
(มก 12.41-44, ลก 21.1-4)
- ตามกฎหมายยิวแล้ว
การถวายเหรียญทองแดงถือว่าเป็นเงินถวายที่มีค่าน้อยที่สุด
- แต่หญิงคนนี้ถวายหมดทั้งตัว
ไม่ใช่ส่วนที่เหลือใช้
- พระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนมนุษย์
( 1 ซมอ 16.7)
-
คำตรัสที่ภูเขามะกอกเทศ
(มธ 24-25, มก 13.1-17, ลก 21.5-36)
- สาวกทูลถามถึงหมายสำคัญของการเสด็จมา
มีอะไรบ้างเป็นสัญญาณบอก
- คำเปรียบ 3 เรื่อง
1. ต้นมะเดื่อ
หมายถึง อิสราเอล เป็นตารางเวลาบอกเหตุ
2. โนอาห์
การที่จะมาโดยไม่รู้ตัว
3. ขโมยจะมาในยามวิกาล
เราต้องเฝ้าระวังอยู่เสมอ
- คำอุปมา 4 เรื่อง
1. ทาสผู้ไม่ซื่อสัตย์
(ความรับผิดชอบต่อหน้าที่)
2. พรหมจารีย์
10 คน (การเฝ้ารอคอย การดำเนินชีวิตอย่างพร้อมเสมอ)
3. เงินตะลันต์
(การรับใช้ตามของประทานให้เกิดผล)
4. แพะกับแกะ
(การพิพากษาในอนาคตระหว่างผู้รับใช้แท้และเทียม)
-
ยูดาแอบไปพบกับผู้นำศาสนา
(มธ 26.14-16, มก 14.10-11, ลก 22.3-6)
- พวกผู้นำศาสนาถือว่าพวกสาวกที่ใกล้ชิด
12 คนก็เป็นศัตรูด้วย แต่เมื่อยูดาสแสดงตัวอาสาจะพาไปจับพระเยซู พวกนั้นก็เชื่อว่าพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเขา
- ซาตานเข้าดลใจเพราะยูดาสเปิดทางให้
เพราะเขารักเงินทอง เคยขโมย (ยน 12.6)
-
ช่วงพักสงบตลอดวันพุธ
และ พฤหัสบดี
พระเยซูทรงอยู่เพียงลำพังที่เนินเขาที่เบธานี
เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ช่วงสุดท้ายแห่งพระราชกิจของพระองค์
5. คืนวันพฤหัสบดี (วันศุกร์ของชาวยิวเริ่ม 6 โมงเย็นของวันพฤหัสบดี)
-
การเตรียมอาหารมื้อสุดท้าย
(มธ 26.17-19, มก 14.12-16, ลก 22.7-13)
- พระเยซูทรงกำหนดสถานที่ทานเลี้ยงไว้แล้ว
- ปกติแล้วหน้าที่แบกเหยือกน้ำเป็นของผู้หญิงหรือเด็ก
ไม่ใช่ผู้ชาย ฉะนั้นจึงเป็นการง่ายสำหรับสาวกที่จะหาพบ ผู้รับผิดชอบไปเตรียมงานคือ
เปโตรและยอห์น
-
ร่วมพิธีปัสกา
(มธ 26.20, มก 14.17, ลก 22.14-16, 24-30)
- เริ่มต้นด้วยการอธิษฐานขอพรจากพระเจ้า
รำลึกถึงเรื่องราวของพิธีปัสกาจากหนังสืออพยพ และร้องเพลงสดุดี 113 และ 114
- ร่วมรับประทานอาหารคือ
เนื้อลูกแกะ ซึ่งถูกฆ่าเป็นเครื่องบูชา ขนมปังไร้เชื้อ
ผักรสขม และเหล้าองุ่น
-
เมื่อรับประทานเสร็จ
จะร่วมอธิษฐานขอบคุณพระเจ้า และร้อง สดุดี 115-118
-
ทรงล้างเท้าพวกสาวก
(ยน 13.1-20)
· เพราะสาวกโต้เถียงกันเรื่องใครจะเป็นใหญ่
(ลก 22.24-30)
พระเยซูจึงสอนว่าคนที่เป็นใหญ่ต้องเป็นคนที่รับใช้ผู้อื่น
แล้วพระองค์ทรงกระทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง
- ทรงบอกถึงการทรยศต่อพระองค์
(มธ 26.21-25, มก 14.18-21, ลก 22.21-23, ยน 13.21-30)
- พระเยซูทรงรู้ว่ายูดาสจะทรยศพระองค์
- การเปิดเผยในเรื่องนี้แก่สาวกเป็นการเตือนหรือให้โอกาสทางอ้อมแก่ยูดาสที่จะกลับใจ
เพราะเหล่าสาวกก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร
-
ยูดาสไม่ยอมกลับใจ
ซาตานจึงสามารถทำงานในใจของเขา
-
ทรงตั้งพิธีมหาสนิท
(มธ 26.26-29, มก 14.22-25, ลก 22.17-20, ยน 13.31-35)
- หลังจากยูดาสออกไปแล้ว
พระเยซูเพิ่มความหมายในพิธีปัสกาโดยมอบพันธสัญญาใหม่ให้แก่สาวก
- พระองค์ทรงใช้อาหาร 2
อย่างมาเป็นเครื่องหมาย คือ ขนมปังไร้เชื้อและเหล้าองุ่น
ซึ่งหมายถึงพระกายและพระโลหิตที่ต้องถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปมนุษย์
- เปาโลได้อธิบายพิธีนี้เพิ่มเติมใน
1 โครินธ์ 11.23-32
-
คำตรัสเรื่องการเกิดผลมาก
(ยน 15.1-27)
- ใช้คำอุปมาเปรียบเทียบเรื่องเถาองุ่นและแขนง
เถา คือ พระเยซู แขนง คือ สาวก ผู้ดูแล คือ พระเจ้าพระบิดา
-
ทรงอธิษฐานเผื่อพวกสาวก
(ยน 17.1-26) ทรงอธิฐานต่อหน้าพวกสาวก และพวกเขาได้ยิน
-
การจับกุมที่สวนเกทเซมาเน
(มธ 26.36-46, มก 14.32-42, ลก 22.39-46, ยน 18.1)
- พระเยซูทรงอธิษฐานอย่างจริงจังก่อนเผชิญการทนทุกข์
- ที่สวนนี้จะมีที่สำหรับบีบน้ำมันจากลูกมะกอก
เช่นกันที่สวนนี้ พระเยซูต้องเข้าสู่สภาพบีบคั้นอย่างหนักทางจิตใจ
- ยูดาสนำฝูงชนและผู้นำศาสนามาจับกุม
โดยการจุบ
-
การพิจารณาคดีของพวกยิว
(มธ 26.57, มก 14.53, ลก 22.54, ยน 18.13)
-
เป็นช่วงเช้าตรู่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นของวันศุกร์
- ทรงถูกพิจารณาคดี 2
ครั้ง ซึ่งเป็นการสอบสวนหาความผิดมากกว่า
**
ครั้งแรกที่สภายิว ซึ่งถ้าไม่ใช่โทษประหาร สภายิวก็ตัดสินได้เลย
**
ครั้งที่ 2 ที่ศาลของโรมัน เนื่องจากพวกยิวต้องการประหารพระองค์แต่เขาไม่มีอำนาจ
จึงต้องนำมาให้ปีลาตตัดสิน
- ข้อกล่าวหาที่ทำให้เขาตัดสินประหารชีวิตพระเยซู
คือ พระองค์ทรงรับว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า
ซึ่งพวกยิวถือว่าเป็นการดูหมิ่นพระเจ้าซึ่งมีโทษถึงตาย
-
เปโตรปฏิเสธพระเยซู
(มธ 26.58, มก 14.54, ลก 22.54, ยน 18.15)
- มีสาวกเพียง 2
คนที่ติดตามพระเยซูไปในช่วงที่ถูกจับ คือ ยอห์น ซึ่งเขารู้จักกับมหาปุโรหิตเป็นการส่วนตัว
อีกคนคือเปโตร นอกนั้นหลบหนีด้วยความกลัว
- เปโตรปฏิเสธพระเยซู 3
ครั้งภายในเวลาชั่วโมงกว่าๆ
-
กลางวันของวันศุกร์
-
การพิจารณาคดีของโรม
(มธ 27.2-31, มก 15.1-20, ลก 23.1-25, ยน 18.28-19.6)
- ปอนทิอัส ปีลาต
เป็นที่รู้กันดีในคนยิวว่าเป็นผู้ปกครองที่เข้มงวด ดุดัน
เขาเหยียดหยามคนยิวและไม่ค่อยมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้นำศาสนายิว
เพราะปีลาตได้สั่งให้แห่รูปซีซาร์ไปตามท้องถนนในกรุงเยรูซามเล็ม ทำให้ยิวไม่พอใจ
และเขายังได้สั่งให้สังหารฝูงชน 2-3 ครั้ง เมื่อได้ยินว่าพวกยิวจะก่อจลาจล (ลก
13.1)
- แต่การตัดสินพระเยซูกลับเป็นช่องทางที่ทำให้พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
- ปีลาดได้ส่งพระเยซูไปให้เฮโรดด้วย
ซึ่งก่อนหน้านี้เขาทั้งสองไม่ค่อยลงรอยกัน แต่เหตุการณ์นี้ทำให้เขาคืนดีกัน (ลก
23.6-12)
-
การตรึงพระเยซูที่กางเขน
(มธ 27.31-56, มก 15.20-41, ลก 23.26-49, ยน 19.16-37)
- การตรึงกางเขนเป็นวิธีประหารชีวิตที่พวกโรมันใช้กับทาสหรือคนต่างชาติ
- นักโทษที่ถูกตรึงตามปกติอาจกินเวลาหลายวันถึงจะตายอย่างทรมาน
- กางเขนเป็นเครื่องหมายแห่งความอัปยศอดสู
และการดูถูกเหยียดหยาม ซึ่งพวกโรมันจะใช้ประหารต่างชาติที่มีโทษรุนแรงที่สุด
(แต่คนโรมันเองจะใช้วิธีตัดคอ)
- สดุดี บทที่ 22
ได้พรรณนาไว้อย่างแจ่มชัดก่อนหน้านี้แล้ว
-
คำตรัสของพระเยซู 7 ประโยคบนกางเขน
** 1. แสดงการให้อภัย ‘โอพระบิดาเจ้าข้า
ขอโปรดอภัยโทษเขา เพราะเขาไม่รู้ว่า เขาทำอะไร’ ลก
23.34
** 2. อภัยและยอมรับ ‘เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า
วันนี้เจ้าจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม’ ลก 23.43
** 3. ฝากฝังห่วงใยมารดา ‘จงดูบุตรของท่าน
... จงดูมารดาของท่านเถิด’ ยน 19.26-27
** 4. แสดงความรู้สึกว้าเหว่
และการแยกขาดจากพระบิดาเพราะบาปของมวลมนุษย์ ‘พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์
ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย’ มธ 27.46
** 5. แสดงถึงความทรมานฝ่ายกาย ‘เรากระหายน้ำ’
ยน 19.28
** 6. ประกาศคำสำเร็จ ‘สำเร็จแล้ว’
ยน 19.30
** 7. มอบฝากวิญญาณไว้กับพระเจ้า ‘พระบิดาเจ้าข้า
ข้าพระองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์’
ลก 23.46
- ปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์
(มธ 27.15-56)
- ความมืดตั้งแต่เที่ยงถึงบ่ายสามโมง
- ม่านในวิหารขาดเป็น 2
ท่อน แสดงถึงประตูแห่งความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าได้ถูกเปิดออกโดยพระองค์
-
แผ่นดินไหว, อุโมงค์ฝังศพก็เปิดออก(น่าจะเป็นความหมายฝ่ายวิญญาณ)
-
การฝังศพพระเยซู
(มธ 27.57-66, มก 15.42-47, ลก 23.50-56, ยน 19.38-42)
- โยเซฟแห่งอาริมาเธีย
เป็นคนมีฐานะดี เป็นสมาชิกสภายิว (มก 15.43) แต่เป็นสาวกลับๆของพระเยซู ได้ขอรับศพจากปีลาตมาฝังตามธรรมเนียม พร้อมกับสาวกลับๆอีกคนคือ นิโคเดมัส
- เนื่องจากยิวถือว่า
เวลาดวงอาทิตย์ตกก็เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ ซึ่งจะเป็นวันสะบาโต
ฉะนั้นจึงต้องรีบจัดการฝังพระศพของพระเยซูก่อน
และพวกผู้ร้ายที่ยังไม่ตายก็ต้องเร่งให้ตายด้วยการทุบขาให้หัก
เพื่อทำให้เจ็บปวดมากขึ้นและทรงตัวยาก ทำให้หายใจลำบากและตายเร็ว
ยิวมีกฎหมายห้ามฝังศพในวันสะบาโต
- อุโมงค์ฝังศพนั้นจะขุดเข้าตามภูเขาและมีก้อนหินใหญ่สำหรับปิดปากอุโมงค์
- ก่อนฝังศพจะมีการชโลมด้วยเครื่องหอมที่ทำมาจากมดยอบกับกฤษณาก่อน
แล้วใช้ผ้าพันศพเป็นมัมมี่ แล้ววางไว้ในอุโมงค์
-
พวกผู้นำยิวขอให้ปีลาตประทับตราอุโมงค์และมีทหารเฝ้าด้วย
-
วันอาทิตย์
-
การคืนพระชนม์และการปรากฏครั้งแรก
(มธ 28.1-15, มก 16.1-11, ลก 24.1-12, ยน 20.1-18)
- เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเช้าตรู่วันอาทิตย์หรือวันต้นสัปดาห์
**
แผ่นดินไหว ทูตสวรรค์กลิ้งก้อนหินออกแล้วนั่งอยู่บนหินนั้น
ทหารหนีไป
- กลุ่มคนที่อยู่ในเหตุการณ์ (มก 16.1, ลก 24.10, ยน 20.2-10)
**
ผู้หญิงที่ไปที่อุโมงค์ มี มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์(มารดา) นางสะโลเม โยฮันนา
**
ทูตสวรรค์ได้บอกกับพวกผู้หญิงว่า พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว และพระองค์เสด็จไปยังแคว้นกาลิลี
พวกเจ้าจะได้พบพระองค์ที่นั่น
**
พวกผู้หญิงกลับมาบอกพวกอัครทูต แต่พวกเขาไม่เชื่อ มีเพียงเปโตรกับยอห์น
เมื่อได้ยินมารีย์มักดาลาบอกก็รีบวิ่งไปที่อุโมงค์ ได้เห็นแต่ยังไม่เข้าใจ ???
**
เมื่อเปโตรกับยอห์นได้กลับจากอุโมงค์แล้ว มารีย์มักดาลาได้ตามไปด้วยแต่ถึงทีหลัง
นางจึงนั่งร้องไห้อยู่นอกอุโมงค์ พระเยซูได้ปรากฏกับเธอเป็นคนแรก
-
ทรงปรากฏบนถนนที่จะไปเอมมาอูส
(มก 16.12, ลก 24.13-33)
- ตอนบ่ายวันอาทิตย์ สาวก 2 คน คนหนึ่งชื่อ เดล โอปัส
กำลังเดินทางไปเอมมาอูสซึ่งอยู่ห่างจากเยรูซาเล็มประมาณ 11 กิโลเมตร กำลังคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
-
พระเยซูได้ปรากฏและร่วมเดินทางไปกับเขา
แต่เขาจำไม่ได้ จนเข้าไปในบ้าน พระเยซูทรงหักขนมปัง เขาจึงรู้ว่าเป็นพระองค์
แล้วพระองค์ก็หายไป
-
ทรงปรากฏกับเปโตรและพวกสาวก
(มก 16.13-14, ลก 24.33-43, ยน 20.19-25)
- เย็นวันอาทิตย์
ขณะที่พวกเขาประชุมกันอยู่ พระเยซูทรงปรากฏท่ามกลางพวกเขา
และได้ทรงพิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์เป็นขึ้นมาจริงๆทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณ โดยที่โธมัสไม่ได้อยู่ด้วย
-
ทรงปรากฏเพื่อโธมัสจะแน่ใจ
(ยน 20.26-31)
- โธมัสคนเดียวที่ไม่ได้อยู่ในคืนนั้นและเขาไม่ยอมเชื่อจนกว่าจะได้เห็นเอง
- วันอาทิตย์ถัดไป
พระเยซูปรากฏอีกครั้งท่ามกลางพวกเขาเพื่อให้โธมัสแน่ใจ
ช่วงเวลา 40 วัน
และการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์
** 1. ทรงปรากฏที่ทะเลกาลิลี (ยน
21.1-25)
- พวกสาวก 7
คนกลับมาที่กาลิลีมาทำอาชีพประมงอีก เนื่องจากสับสนไม่รู้จะทำอะไรต่อไป
- พวกเขาจับปลาไม่ได้เลยในคืนนั้น
เมื่อกำลังนำเรือเข้าฝั่ง พระเยซูปรากฏกับเขาแต่เขาจำไม่ได้
พระองค์สั่งให้หย่อนอวนลง พวกเขาทำตามและจับปลาได้เป็นอันมาก
- ยอห์นจำพระองค์ได้ก่อนจึงบอกเปโตร
เปโตรจึงรีบกระโดดออกจากเรือมาหาพระองค์
**
ถ้าเราหันออกจากน้ำพระทัยพระเจ้าแล้วจะไม่เกิดผล แต่ถ้าเชื่อฟัง ทำตาม
จะเห็นผลมากมาย **
** 2. ทรงมอบภารกิจที่สำคัญ (มธ
28.16-20, มก 16.15-18)
-
พระองค์ทรงรับมอบอำนาจสูงสุด
‘ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี
ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว’
-
ทรงสั่ง และ
ให้สาวกเป็นตัวแทนของพระองค์ออกไปประกาศและสร้างสาวก ‘เหตุฉะนั้น
เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเรา’
-
วิธีการ หรือ
สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือ ‘ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา
พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์’
-
สรุป คือ
ให้นำคนมาเชื่อ ‘สอนให้เขาถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้’
(เติบโตขึ้น)
-
คำสัญญา ‘นี่แหละ
เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค’
** 3. คำตรัสย้ำภารกิจที่ทรงมอบไว้
(ลก 24.44-49)
-
พระเยซูทรงใช้เวลาตลอด
40 วันในการสั่งสอนสาวกในสิ่งที่ทรงเคยสอนพวกเขามาแล้ว
ซึ่งทำให้พวกเขาเข้าใจถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์มากขึ้น
ทำให้พวกเขาพร้อมที่จะออกไปปฏิบัติภารกิจต่อจากพระองค์
-
พระองค์ทรงสั่งให้เขาคอยรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ก่อนการออกไปรับใช้
ซึ่งเป็นเวลา 10 วันหลังจากที่พระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์
** 4. เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ (มก
16.19-20, ลก 24.50-53, กจ 1.9-12)
- สถานที่ที่พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์
คือ ภูเขามะกอกเทศ ซึ่งอยู่เลยหุบเขาขิดโรน และอยู่ห่างจากเยรูซาเล็มเป็นระยะทาง
2000 คิดบิท (ครึ่งไมล์กว่าๆ) ซึ่งเป็นระยะทางที่อนุญาตให้เดินได้ในวันสะบาโต (กจ
1.12) เพราะวันนั้นเป็นวันสะบาโตคือวันเสาร์
- พระองค์ได้ตรัสย้ำถึงภารกิจสำคัญ
และอวยพรพวกเหล่าสาวก แล้วก็เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ (กจ 1.8-9) ต่อหน้าต่อตาพวกเขา
- ทูตสวรรค์บอกกับสาวกว่า
พระองค์จะเสด็จกลับมาเหมือนอย่างที่ได้เห็นพระองค์เสด็จไปสวรรค์นี้อีกครั้ง