Thursday, October 24, 2013

แนะนำพระคัมภีร์ใหม่


1. พันธสัญญาใหม่ (The New Testament)

ความหมาย พันธสัญญาหมายถึง พินัยกรรม คำสั่งเสีย หรือ คำสัญญาของพระเจ้า เป็นข้อตกลงที่ทำขึ้นฝ่ายเดียว อีกฝ่ายจะรับหรือไม่รับก็ตามแต่พินัยกรรมนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง

ในสมัยของพระเยซูก็มีพระคัมภีร์อยู่แล้ว โดยเรียกว่า พระบัญญัติหรือหนังสือผู้เผยพระวจนะ (มธ 5.17, 7.12, 11.13) หรือบัญญัติของโมเสส (ลก 24.44)  อันเป็นพันธสัญญาแรกหรือเรียกว่าพันธสัญญาเดิม ซึ่งเป็นการเตรียมทางไว้สำหรับพันธสัญญาใหม่ที่เยเรมีย์ได้พยากรณ์ไว้ (ยรม 31.31-34)  และสำเร็จในพระเยซูคริสต์

พระเยซูเองไม่ได้บันทึกสิ่งใดไว้  และเรื่องราวที่พระองค์สอนและถูกบันทึกไว้เรียกว่าพระกิตติคุณหรือข่าวประเสริฐ

2. การบันทึกเรื่องราวในพระคัมภีร์ใหม่

    2.1  เมื่อสาวกได้รับพระมหาบัญชาจากพระเยซูให้ออกไปประกาศที่เยรูซาเล็มนั้น พวกเขายังไม่มีการบันทึกเป็นพระคัมภีร์ใหม่แต่ใช้พระคัมภีร์เดิมในการสอน ถ้าหากมีความไม่เข้าใจหรือขัดแย้งในความเชื่อ  สาวกทั้ง 12 คนจะช่วยแก้ปัญหาและวางรากฐานคำสอนและหลักข้อเชื่อต่างๆ

    2.2  เมื่อคริสตจักรเริ่มขยายตัวอย่างรวดเร็ว สาวกจึงเริ่มบันทึกเรื่องราวที่ประกาศเพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับความเชื่อของคริสเตียนในหมู่ผู้เชื่อและผู้ที่ยังไม่รู้เรื่องของพระเยซู การบันทึกนั้นยังไม่ได้ถูกจัดให้เป็นระบบ

    2.3  จดหมายของอัครสาวกเกิดขึ้นจากการที่คริสตจักรมีปัญหาและไม่สามารถจะแก้ไขได้ จึงต้องขอคำแนะนำจากพวกอัครสาวก ต่อมาภายหลังจดหมายเหล่านี้จึงใช้เป็นกฏเกณฑ์และหลักยึดของคริสตจักร

    2.4  การจัดทำพระคัมภีร์ใหม่เกิดขึ้นเมื่อมีการบันทึกเรื่องศาสนศาสตร์ของพระเยซูมากขึ้น จึงมีการจัดสารบบ พระคัมภีร์ จนเป็นพระคัมภีร์ใหม่ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน รวมเวลาตั้งแต่เริ่มเขียนจนถึงรวบรวมเป็นพระคัมภีร์ใหม่ประมาณ 400 ปี หลังคริสตกาล

3. ความสัมพันธ์ของพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่

     ทั้งสองพันธสัญญาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากขาดส่วนใดส่วนหนึ่งก็จะทำให้ขาดความสมบูรณ์ พันธสัญญาเดิม เป็นแหล่งความจริงทั้งมวลที่พระเจ้าทรงเปิดเผยและบอกล่วงหน้าเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในพันธสัญญาใหม่ และ พันธสัญญาใหม่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงตามที่ได้บอกไว้แล้วในพันธสัญญาเดิมและช่วยให้เข้าใจยิ่งขึ้น

4. ยุคระหว่างพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่

    ตั้งแต่สิ้นสุดพระธรรมมาลาคี(ราว  กคศ.397) ถึงการเริ่มต้นชีวประวัติของพระเยซูในพระธรรมมัทธิว    (ราว คศ.4) ซึ่งกินเวลาประมาณ 400 ปีหรือบางครั้งเรียกว่ายุคเงียบ เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์อิสราเอลหลังจากได้กลับจากการเป็นเชลยและเริ่มต้นประเทศใหม่อีกครั้ง

   4.1  ทบทวนเหตุการณ์ตั้งแต่กรุงเยรูซาเล็มแตกจนถึงมาลาคี

             - ปี   722  กคศ.   อัสซีเรียยึดและเข้าครอบครองอาณาจักรเหนือ (สะมาเรีย)
             - ปี   586  กคศ.  บาบิโลนยึดและทำลายกรุงเยรูซาเล็ม ทำลายพระวิหารของโซโลมอน (อาณาจักรใต้) ชาวยิวถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน 3 ครั้ง 
                    ครั้งที่ 1)  ปี 606 กคศ.
                    ครั้งที่ 2)  ปี 599 กคศ.                           
                    ครั้งที่ 3)  ปี 586 กคศ.  ต่อมาบาบิโลนถูกโค่นล้มโดย อาณาจักรมีเดีย-เปอร์เซีย
- ปี  536  กคศ.  พระเจ้าดลใจให้จักรพรรดิไซรัสแห่งเปอร์เซียออกพระราชโองการให้ชาวยิวกลับถิ่นฐานเดิมเพื่อไปสร้างประเทศขึ้นใหม่  การกลับไป ครั้งที่ 1)  นำโดย เศรุบบาเบล
            - ปี  515  กคศ.  สร้างพระวิหารเสร็จโดยมีผู้พยากรณ์ ฮักกัยและเศคาริยาห์ เป็นผู้นำและหนุนใจ
            - ปี  458  กคศ.  เอสรานำชาวยิวกลุ่มที่ 2 กลับไป และปฏิรูปธรรมบัญญัติและฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณ
            - ปี  446  กคศ.  เนหะมีห์ ในฐานะเจ้าเมืองได้นำชาวยิวกลุ่มที่ 3 กลับไป  และสร้างกำแพงเมือง
            - ปี  430  กคศ.  มาลาคี ผู้พยากรณ์คนสุดท้ายได้เตือนและหนุนใจให้ชาวยิวสัตย์ซื่อในการถวาย

        4.2  ชาวยิวได้สร้างประเทศขึ้นใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังต้องอยู่ใต้อาณาจักรเปอร์เซีย ซึ่งสามารถแบ่งยุคระหว่างพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ได้  6  ยุค
                 1) สมัยอาณาจักรเปอร์เซีย                     ปี 536-333  กคศ.
                 2) สมัยอาณาจักรกรีก                             ปี 333-323  กคศ.
                 3) สมัยอาณาจักรอียิปต์                          ปี 323-204  กคศ.
                 4) สมัยอาณาจักรซีเรีย                            ปี 204-165  กคศ.
                 5) สมัยของแมคคาบี                               ปี 165-63  กคศ.
                 6) สมัยอาณาจักรโรม                              เริ่มตั้งแต่ ปี 63 กคศ.

5. โครงสร้างของพระคัมภีร์ใหม่

   พระคัมภีร์ใหม่ประกอบด้วยพระธรรม 27 เล่ม แบ่งออกเป็น 5 หมวด

    1) หมวดพระกิตติคุณ  ประกอบด้วยพระธรรม 4 เล่ม
                1.1  พระธรรมมัทธิว
                1.2  พระธรรมมาระโก
                1.3  พระธรรมลูกา
                1.4  พระธรรมยอห์น

    2) หมวดกิจการของอัครทูต  พระธรรมกิจการ

    3) หมวดจดหมายฝากของอาจารย์เปาโล  แบ่งเป็น 3 หมวด

                3.1 จดหมายฝากถึงคริสตจักรทั่วไป ประกอบด้วยพระธรรม  6  เล่ม
                                3.1.1  พระธรรมโรม
                                3.1.2  พระธรรม 1 โครินธ์
                                3.1.3  พระธรรม 2 โครินธ์
                                3.1.4  พระธรรมกาลาเทีย
                                3.1.5  พระธรรม 1 เธสะโลนิกา
                                3.1.6  พระธรรม 2 เธสะโลนิกา

                3.2 จดหมายฝากจากคุก ประกอบด้วยพระธรรม  4  เล่ม
                                3.2.1  พระธรรมเอเฟซัส
                                3.2.2  พระธรรมฟิลิปปี
                                3.2.3  พระธรรมโคโลสี
                                3.2.4  พระธรรมฟิเลโมน

                3.3 จดหมายฝากถึงศิษยาภิบาล ประกอบด้วยพระธรรม  3  เล่ม
                                3.3.1  พระธรรม 1 ทิโมธี
                                3.3.2  พระธรรม 2 ทิโมธี
                                3.3.3  พระธรรมติตัส

   4) หมวดจดหมายฝากทั่วไป  ประกอบด้วยพระธรรม  8  เล่ม
                4.1  พระธรรมฮีบรู
                4.2  พระธรรมยากอบ
                4.3  พระธรรม 1 เปโตร
                4.4  พระธรรม 2 เปโตร
                4.5  พระธรรม 1 ยอห์น
                4.6  พระธรรม 2 ยอห์น
                4.7  พระธรรม 3 ยอห์น
                4.8  พระธรรมยูดา

    5) หมวดพยากรณ์  พระธรรมวิวรณ์ 

6.  คำศัพท์ในพระคัมภีร์ใหม่ที่ควรรู้

      1)  ธรรมศาลา  เกิดขึ้นหลังจากพระวิหารหลังแรกถูกทำลายในปี 586 กคศ. ใช้เป็นสถานที่นมัสการ อธิษฐาน ที่ปรึกษา ที่พบปะสังสรรค์ เป็นที่ตัดสินคดีความ และยังเป็นที่ศึกษาเล่าเรียนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเรียกว่า “นายธรรมศาลา”  มีหน้าที่รับผิดชอบสถานที่  เก็บรักษาม้วนพระคัมภีร์  ดูแลความเรียบร้อยของการนมัสการ  เป็นผู้มอบหน้าที่ในการอ่านพระบัญญัติแก่ผู้ที่เหมาะสมในที่ประชุม (ลูกา 4-16-17)

     2)  ฟาริสี  เป็นกลุ่มผู้นำทางศาสนายิว เป็นผู้ที่ตั้งใจแน่วแน่ที่จะประพฤติตามกฎบัญญัติทุกข้อในธรรมบัญญัติของโมเสส  ผู้นำทางศาสนายิวจะแบ่งเป็น 2 พรรคใหญ่ๆคือ พรรคฟาริสี และ พรรคสะดูสี เกิดในราวปี 200 กคศ. พวกฟาริสีจะเคร่งครัดในเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีฌโดยเฉพาะข้อห้ามต่างๆ พวกเขาถือว่าพระเจ้าไม่พอพระทัยใครเลยนอกจากพวกเขา จึงไม่ยอมคบหากับคนต่างชาติหรือชาวยิวที่ไม่เคร่งศาสนา  พยายามตีความบทบัญญัติต่างๆจนเกิดข้อห้ามปลีกย่อยอีกหลายร้อยข้อที่ไม่มีในพระคัมภีร์  ฟาริสีจะสนใจแต่เรื่องบทบัญญัติโดยไม่ใส่ใจเรื่องฝ่ายวิญญาณ พระเยซูจึงมักกล่าวตำหนิพวกนี้อยู่เสมอ (มธ 23)  เป็นเหตุให้พวกนี้วางแผนกำจัดพระเยซู  ฟาริสีเชื่อเรื่องการเป็นขึ้นจากตาย วิญญาณ ทูตสวรรค์ (กจ 23.6-8)         หลังจากกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายในปี คศ.70  พรรคต่างๆสูญหายไป ทำให้ชาวยิวตั้งแต่สมัยนั้นเป็นต้นมาปฏิบัติตามแนวคำสอนของพวกฟาริสี

     3) สะดูสี  กลุ่มผู้นำทางศาสนาของยิว ส่วนใหญ่เป็นผู้นำทางการเมืองและมีอิทธิพลในสภายิว ตระกูลมหาปุโรหิตล้วนอยู่ในพรรคสะดูสี กลุ่มนี้จะตั้งตนเป็นศัตรูกับพระเยซู พวกเขาปฏิเสธคำสอนและการปฏิบัติทุกอย่างที่ไม่ได้บันทึกไว้ในหมวดธรรมบัญญัติ ไม่เชื่อเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตาย การรับบำเหน็จรางวัล และการรับโทษหลังความตาย เน้นความมีอิสระเสรีของมนุษย์ ให้ความสำคัญแก่วัตถุมากกว่าศาสนา

     4) ธรรมาจารย์  สมัยก่อนไม่มีเครื่องพิมพ์ จึงต้องมีผู้คัดลอกพระคัมภีร์เรียกว่า “อาลักษณ์” ได้รับการยกย่องจากยิวว่าเป็นคนเก่งเพราะรู้ธรรมบัญญัติอย่างดี ในสมัยพระคัมภีร์ใหม่ชาวยิวอยากเรียนรู้พระคัมภีร์ก็จะไปหาพวกอาลักษณ์แทนที่จะไปหาพวกปุโรหิต จึงทำให้พวกอาลักษณ์เป็นผู้ที่มีอำนาจทางศาสนา จนได้ชื่อว่าเป็นพวกธรรมาจารย์ (รับบี)   พวกธรรมมาจารย์ส่วนมากจะอยู่ในพรรคฟาริสี เขาไม่เพียงสอนธรรมบัญญัติแต่ได้เพิ่มเติมกฎข้อห้ามเล็กๆน้อยๆเข้าไป

    5) ทูตสวรรค์  พระเจ้าทรงสร้างทูตสวรรค์ก่อนที่จะสร้างมนุษย์ (โยบ 38.4-7) ทูตสวรรค์มีจำนวนมากมาย มีศักดิ์สูงกว่ามนุษย์หน่อยหนึ่ง (สดด 8.5) เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ตั้งแต่ก่อนที่จะสร้างมนุษย์ ทูตสวรรค์กลุ่มหนึ่งได้ทรยศต่อพระเจ้าคือซาตานและสมุนของมัน พวกมันมีอำนาจเพียงขอบเขตที่พระเจ้ากำหนดให้เท่านั้น ทูตสวรรค์ที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์มีอย่างน้อย 4 ประเภท

          5.1) อัครเทวฑูตาธิบดี (ยด 8)
          5.2) เครูบ หรือ เซรูบิม (ปฐก 3.24, อพย 25.18, 2 พกษ 19.15)
          5.3) เสราฟิม (อสย 6.1-2)
          5.4) ทูตสวรรค์ทั่วไป (วว 5.11)

    6) ซาตาน  แปลว่า ปรปักษ์ เป็นหัวหน้าของวิญญาณชั่ว มีนิสัยชอบกล่าวโทษ (โยบ 1.6-11) โกหก หลอกลวง ฆ่าและทำลาย (ยน 8.44) ซาตานยังถูกกล่าวถึงในชื่อต่างๆ เช่น ผู้ผจญ (มธ 4.3) มารร้าย (มธ 13.19) เบเอลเซบูล (มธ 12.24) เจ้าแห่งย่านอากาศ (อฟ 2.2) พระแห่งยุคนี้ (2 คร 4.4) เจ้าแห่งโลกนี้ (ยน 14.30) ผู้ทดลอง (1 ธส 3.5) พ่อแห่งการมุสา (ยน 8.44) งูดึกดำบรรพ์ (วว 12.9) ผู้กล่าวโทษ (วว 12.10) แต่เดิมเป็นเทพบุตรเป็นทูตสวรรค์ที่พระเจ้าทรงสร้าง (โยบ 1.6, อสย.14.12) ต่อมาได้กบฏต่อพระเจ้าและถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ ตั้งแต่นั้นมาก็พยายามทำให้คนหลงไปจากทางของพระเจ้า แต่พระเยซูทรงชนะมารที่กางเขนแล้วและทรงให้มนุษย์ได้กลับคืนดีกับพระเจ้า (คส 2.15, ฮบ 2.14)

    7) มารีย์  ผู้หญิงที่ชื่อมารีย์ในพระคัมภีร์ใหม่มีด้วยกัน 6 คน

         7.1) มารีย์ มารดาของพระเยซู  (ลก 1.27)
         7.2) มารีย์ มักดาลา ผู้ที่กลับใจติดตามพระเยซูหลังจากที่ทรงขับผีออกจากนาง (ลก 8.2)
         7.3) มารีย์ พี่สาวของลาซารัส (ยน 11.1-3) ผู้นำน้ำหอมนารดามาชโลมพระบาทพระเยซู
                (ยน 12.1-8)
         7.4) มารีย์ ภรรยาของเคลโอปัส (ยน 19.25) อาจเป็นมารดาของโยเสส (มก 15.47)
                และยากอบ (มก 16.1)
         7.5) มารีย์ มารดาของยอห์น มาระโก มีบ้านที่เยรูซาเล็ม เป็นที่นมัสการพระเจ้าของเหล่าสาวก
                (กจ 12.12)
         7.6) มารีย์ ชาวโรมัน (รม 16.6) เป็นสมาชิกคริสตจักรในกรุงโรม

7.  บทสรุป


มัทธิว---กิจการ            
จงมีความเชื่อ

ในสิ่งที่พระคริสต์

ทรงกระทำในอดีต

โรม ------------ ยูดา

จงมีความรัก                 
ต่อกันและกัน

ในปัจจุบัน

วิวรณ์

จงมีความหวัง    
                    
ในการทนทุกข์

สำหรับอนาคต

-  จงมีความเชื่อในพระเยซูคริสต์เพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์
-  จงรักซึ่งกันและกันเพื่อชีวิตจะได้อิ่มเอม
-  จงมีความหวังเพื่อชีวิตจะมีความหมาย

วิธีนำพระคัมภีร์มาประยุกต์ใช้ คือ รักองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ สุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของเรา และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง (ลูกา 10.27)  แต่เราจะมีความรักเช่นนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราเชื่อในพระเยซูเท่านั้น และเมื่อเรามีความรักเช่นนี้ เราจะไม่หมดหวังในเรื่องการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ซึ่งใกล้เข้ามาแล้ว แล้วเราจะมีชีวิตที่เป็นนิรันดร์ อิ่มเอมและมีความหมาย ตลอดจนมีสันติสุขกับพระเจ้า ผู้อื่น และตนเอง
 
 
 
 
 

No comments:

Post a Comment