Tuesday, October 22, 2013

คริสตจักรที่มีชีวิต


คนเราทุกคนต่างก็ต้องมีความรักกันทั้งนั้น รักพ่อแม่ของเรา  รักพี่รักน้อง  รักสามี  รักภรรยา  รักเพื่อน  รักเพื่อนบ้าน  รักทุกๆคน ประการหลังนี้คือคุณสมบัติของคริสเตียน  เมื่อรักแล้วก็คงอยากพบอยากเจอ อยากอยู่ใกล้ชิด แต่ถึงอย่างไร เรารักเขาและแสดงออกได้ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ เมื่อคนหนึ่งคนใดตายแล้ว ไม่มีใครเอาศพวางไว้ในห้องนอนของตนเป็นแน่ นั่นก็แสดงว่าไม่มีใครชอบคนที่ตายแล้ว  บางคนยังมีชีวิตแต่อยู่ในอาการโคม่า เป็นอาการหมดสติเป็นเวลานาน ในทางการแพทย์ย่อมถือว่าคนผู้นั้นได้ตายแล้ว คริสตจักรก็เช่นเดียวกัน บางคริสตจักรมีกิจกรรมภายนอก แต่ภายในได้ตายเสียแล้ว เป็นเหมือนคริสตจักรซาร์ดิส  หนึ่งในเจ็ดซึ่งอัครสาวกยอห์นได้เขียนจดหมายและส่งไปนั้น ซึ่งปรากฏอยู่ในพระธรรมวิวรณ์บทที่ 3  เป็นคริสตจักรที่ดูเหมือนว่า มีชีวิต แต่จริงๆแล้ว ตายเสียแล้ว พระเยซูตรัสว่า "....เจ้าได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ แต่ว่าเจ้าได้ตายเสียแล้ว"  (วิวรณ์ 3:1)   พระเจ้าก็เช่นเดียวกัน พระองค์ไม่พอพระทัยคริสตจักรที่ตายแล้ว

         ไม่ใช่คริสตจักรทุกแห่งเหมือนกัน คริสตจักรที่มีชีวิตก็มี  คริสตจักรที่ตายแล้วก็มี คริสตจักรของเราเป็นอย่างไร เราควรพิจารณาดูตามพระวจนะของพระเจ้าว่า คริสตจักรของเรามีชีวิต หรือไม่ ?
          ในพระธรรมกิจการ 2:42-47 ได้แสดงถึงลักษณะของคริสตจักรเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของคริสตจักรที่มีชีวิต   คริสตจักรเยรูซาเล็มได้เกิดขึ้น หลังจากที่พระเยซูได้เสด็จขึ้นไปสู่สวรรค์แล้ว ชุมชนคริสเตียนได้ร่วมประชุมกัน จำนวน 120 คน เมื่อพวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันเพ็นเทคอสต์   เปโตรได้เทศนา มี 3000 คนได้กลับใจใหม่และรับบัพติศมาในวันเดียว ชีวิตของคริสตจักรแห่งนี้น่าประทับใจมาก และทำให้เห็นถึงเครื่องหมายของคริสตจักรที่มีชีวิต คริสตจักรต่างๆควรนำลักษณะของคริสตจักรเยรูซาเล็มมาเป็นต้นแบบ มาดูกันว่าคริสตจักรเยรูซาเล็มมีลักษณะอย่างไร
 

"เขาทั้งหลายได้ขะมักเขม้นฟังคำสอนของจำพวกอัครทูตและร่วมสามัคคีธรรม ทั้งขะมักเขม้นในการหักขนมปังและการอธิษฐาน เขามีความเกรงกลัวด้วยกันทุกคน และพวกอัครทูตทำการอัศจรรย์ และหมายสำคัญหลายประการ บรรดาผู้ที่เชื่อถือนั้นก็อยู่พร้อมกัน ณ ที่แห่งเดียว และทรัพย์สิ่งของของเขาเหล่านั้นเขาเอามารวมกันเป็นของกลาง เขาจึงได้ขายที่ดินและทรัพย์สิ่งของ มาแบ่งให้แก่คนทั้งปวงตามซึ่งทุกคนต้องการ เขาได้ร่วมใจกันไปในพระวิหาร และหักขนมปังตามบ้านของเขา ร่วมรับประทานอาหารด้วยความชื่นชมยินดีและใจกว้างขวาง ทุกวันเรื่อยไป ทั้งได้สรรเสริญพระเจ้าและคนทั้งปวงก็ชอบใจ ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ทรงโปรดให้คนทั้งหลายซึ่งกำลังจะรอด มาเข้ากับพวกสาวกทุกวันๆ"
(กิจการ 2:42-47)
 
1. เป็นคริสตจักรที่ชอบเรียนพระวจนะของพระเจ้า

          "เขาทั้งหลายได้ขะมักเขม้นฟังคำสอนของจำพวกอัครทูต"  หลังจากที่พวกเขาได้กลับใจใหม่และรับบัพติศมาแล้ว เขาขะมักเขม้นฟังคำสอนของอัครทูต   พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เปิดโรงเรียน  อัครทูตเป็นครู และคนที่รับบัพติศมา 3000 คนเป็นนักเรียน ทำให้ความเชื่อของเขาเข้มแข็งและถูกต้อง การกระทำของพวกเขาก็ถูกต้องเช่นเดียวกัน
           มีสองคำที่น่าสังเกตุดู

        คำแรก คือ ขะมักเขม้นฟัง ไม่ใช่ฟังเฉยๆ แต่ตั้งใจฟัง เอาจริงเอาจัง ฟังอย่างจริงใจ ไม่หันซ้ายแลขวา  ไม่คุยกัน  ถ้าคริสตจักรเยรูซาเล็มมัวแต่คุยกัน ตื่นเต้นกับความเชื่อที่ได้รับ จะเป็นอย่างไร 3000 คน เสียงคงจะระงมจนไม่ได้ยินคำสอนจากอัครทูต  สมัยนั้นยังไม่มีไมโครโฟน ไม่มีเครื่องเสียง  เขาขะมักเขม้นฟัง  เงียบ  ตั้งใจฟัง เพราะอยากรู้จักพระเยซู อยากโต อยากรับใช้  นี่ปัจจุบันมีเครื่องเสียงอย่างดี ผู้เทศนายังต้องตะโกนเสียงแข่งกับผู้ฟัง ให้เราตั้งใจฟังคำสอน เพื่อเราจะเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์

        คำที่สอง คือ พวกอัครทูต พระเจ้าทรงโปรดให้คำสอนของอัครทูตมีสิทธิอำนาจโดยที่ให้อัครทูตได้กระทำการอัศจรรย์และหมายสำคัญหลายประการ ในทุกวันนี้ ไม่มีตำแหน่งอัครทูต แต่คำสอนของอัครทูตได้ถูกรวมอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่ เราจึงควรเรียนและเชื่อฟังพระคัมภีร์  การเรียนพระคัมภีร์เป็นวิธีสร้างความเชื่อให้มั่นคงและแข็งแรง

ท่านรู้หรือไม่ว่า ในยามที่คนเราอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความรักนั้น สิ่งที่เราปรารถนาจะทำก็คือการบอกให้บุคคลที่เรารักได้รับรู้ และเข้าใจความรู้สึกของเราว่า "เรารักเขา" และสื่อเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในเรื่องนี้....และสื่อที่ดีที่สุดที่ช่วยให้คู่รักจำนวนมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้เข้าใจกันอย่างลึกซึ้งคือ "จดหมาย"  ในชีวิตของเราแต่ละคนคงเคยอ่านหนังสือมากมายหลายประเภทแต่ไม่มีการอ่านครั้งใดที่จะสร้างความรู้สึกที่ดีให้เราเท่ากับการอ่านจดหมายจากคนที่เรารัก มีคำพยานจากเรื่องนี้มากมายเช่น ทหารหนุ่มคนหนึ่งได้กล่าวว่า "ชีวิตรักของเราทั้งสองดำเนินไปด้วยความซาบซึ้งและมั่นคงทั้งๆที่ผมต้องอยู่ในสนามรบแต่เธออยู่ที่บ้านเป็นเวลานานถึง 4 ปีก็เพราะจดหมายที่เราเขียนถึงกันและกันอย่างต่อเนื่อง ขอบคุณกรมไปรษณีย์จริงๆ"    พนักงานขายยืนยันว่า "ผมต้องเดิน ทางไปเสนอสินค้าต่างจังหวัดอยู่เป็นประจำและเจอการทดลองเรื่องเพศเกือบทุกครั้ง แต่ผมไม่เคยทำผิดในเรื่องนี้ และส่วนหนึ่งที่ช่วยผมมากคือจดหมายที่เราเขียนถึงกันและกันนั่นเอง"

วันนี้เราอ่านจดหมายรักจากพระเจ้าด้วยความรู้สึกอย่างเดียวกับจดหมายรักจากคนที่เรารักหรือไม่ พระองค์ปรารถนาที่จะสื่อความรักของพระองค์สู่เราแบบ จากใจถึงใจ จากความรู้สึกลึกซึ้งของพระองค์สู่อารมณ์ลึกๆของเรา จากน้ำพระทัยที่แสนประเสริฐสู่ความประทับใจของเรา   ดังนั้นเวลาอ่านพระคัมภีร์อย่างมองแค่เนื้อความที่ บรรยายไว้เท่านั้น และจงมองให้เห็นความรักอันยิ่งใหญ่จากใจของพระองค์ที่มีต่อเราเป็นส่วนตัวด้วย แล้วเราจะได้รับประสบการณ์ใหม่ในความซาบซึ้งถึงความรักจากพระองค์
 คริสตจักรที่ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นคริสตจักรที่เรียนพระคัมภีร์และเชื่อฟังพระคัมภีร์  เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำคริสตจักรให้เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นวิญญาณแห่งความจริง ทรงนำเราไปสู่ความจริงทั้งมวล ดังนั้น เราควรเรียนจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงเป็นผู้สอนพระวจนะของพระเจ้า และในเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงสอนพระคัมภีร์ผ่านทางมนุษย์  พระองค์ทรงแต่งตั้งบางคนให้เป็น ศิษยาภิบาลและอาจารย์ ให้สอนพระคัมภีร์   เราจึงมาเรียนพระคัมภีร์จากศิษยาภิบาลและอาจารย์

2. เป็นคริสตจักรที่ชอบร่วมสามัคคีธรรม

       “เขาทั้งหลายได้ขะมักเขม้น... ร่วมสามัคคีธรรม"

        คำว่า "สามัคคีธรรม" ที่นี่ มีความหมายสองอย่าง สองอย่างนี้แยกออกจากกันไม่ได้ เหมือนเงินเหรียญสองด้าน

        2.1 ร่วมสามัคคีธรรมกับพระเจ้า หมายถึงรับพระพรจากพระเจ้า เพราะว่า ความสามัคคีธรรมของเรานั้น "เราทั้งหลายก็ร่วมสามัคคีกับพระบิดาและกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์" (1 ยอห์น 1:3)

        2.2 ร่วมสามัคคีธรรมกับธรรมิกชน คือ แบ่งให้แก่คนอื่น ไม่ใช่รับอย่างเดียว แต่ให้ด้วย ผู้เขียนพระธรรมกิจการ คือลูกาได้แสดงให้เห็นถึงวิธีการที่คริสเตียนในยุคแรกได้แบ่งสิ่งของของตัวเองให้แก่คนอื่นอย่างต่อเนื่อง "บรรดาผู้ที่เชื่อนั้น ก็อยู่พร้อมกัน ณ ที่แห่งเดียว และทรัพย์สิ่งของของเขาเหล่านั้น เขาเอามารวมกันเป็นของกลาง เขาจึงได้ขายที่ดินและทรัพย์สิ่งของ มาแบ่งให้แก่คนทั้งปวงตามซึ่งทุกคนต้องการ"

           พระคัมภีร์ข้อเหล่านี้ทำให้เราสับสนบ้าง บางคนบอกว่า ข้อเหล่านี้เหมือนคอมมิวนิสต์ แต่จริงๆแล้ว ไม่เหมือน เพราะว่า พวกคอมมิวนิสต์นั้นเป็นผู้แบ่งให้ ไม่มีคนรวย ไม่มีคนจนโดยใช้อำนาจ  โดยการบังคับ แล้วผู้มีอำนาจเป็นคนส่วนน้อยรวย คนส่วนใหญ่ยากจน แต่คริสเตียนยุคแรกได้กระทำด้วยความสมัครใจ ไม่มีใครบังคับ
            อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้สับสนคือ  เมื่อคริสเตียยุคแรกทำเช่นนี้ เราจึงทำเช่นนั้นตามตัวอักษรหรือเปล่า  ต้องขายที่ดินและทรัพย์สินส่วนตัวเอามาแบ่งให้หรือ พระคัมภีร์ไม่ให้มีทรัพย์สินส่วนตัวหรือ แน่นอน พระเจ้าทรงเรียกบางคนให้ทำอย่างนั้นด้วยความสมัครใจ แต่ไม่ใช่ทุกคน คริสเตียนยุคแรกบางคนขายที่ดินและเอามาแบ่งให้ด้วยความสมัครใจ แต่คนอื่นๆยังมีทรัพย์สินส่วนตัว ในข้อ 46 เราอ่านได้ว่า “หักขนมปังตามบ้านของเขา” แสดงให้เห็นว่า เขาเหล่านั้นยังมีบ้านของเขาเอง    ในกิจการบทที่ 5 เราเห็นได้ว่า ความบาปของอานาเนียกับสัปฟีรานั้น ไม่ใช่ความโลภ หรือวัตถุนิยม แต่คือความหลอกลวงไม่สัตย์ซื่อ เขาได้ขายที่ดิน และเก็บค่า ที่ดินส่วนหนึ่ง แล้วเอาส่วนที่เหลือมามอบให้แก่อัครสาวก ทำท่าเหมือนเอาค่าที่ดินทั้งหมดมาถวาย   เปโตรได้บอกอย่างชัดเจนว่า "เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้ามิใช่หรือ เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในอำนาจของเจ้ามิใช่หรือ ... เจ้ามิได้มุสาต่อมนุษย์ แต่ได้มุสาต่อพระเจ้า"  (กิจการ 5:4) เมื่อเปโตรได้ถูกปล่อยจากคุก เขาก็ไปหาบ้านของมารีย์ มารดาของมาระโก เห็นได้ว่า มารดาของมาระโกก็ยังมีบ้านของตน  (กิจการ 12)

             เราจึงควรทำด้วยความสมัครใจ และไม่ใช่เห็นแก่หน้าคนหนึ่งคนใด   แต่ทำจำเพาะพระพักตรพระเจ้า การที่คริสเตียนมีทรัพย์สินส่วนตัวนั้นไม่ผิดอะไรเลย แต่ในเวลาเดียวกัน พระเจ้าทรงเรียกเราให้ดูแลคนยากจน  คนขัดสนและเดือดร้อน คริสเตียนยุคแรกได้วางแบบอย่างในเรื่องนี้ด้วยความสมัครใจ ความสามัคคีธรรมของคริสเตียน คือความรักซึ่งกันและกัน ความรักซึ่งกันและกันของคริสเตียนก็คือการดูแล  การดูแลของคริสเตียน คือการแบ่งให้ ไม่ควรกล่าวโทษ ไม่ควรอิจฉาริษยา ไม่ควรนึกเสียดาย ในชุมชนคริสเตียนนั้น คนยากจนก็ไม่รู้สึกอาย และคนรวยก็ไม่อวดตัว แต่ร่วมกันทำให้ลดความยากจนและไม่ให้มีใครขัดสน นี่แหละเป็นความรับผิดชอบของคริสเตียนที่ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชุมชนแห่งความเชื่อ

3. เป็นคริสตจักรที่ชอบนมัสการพระเจ้า

        "เขาทั้งหลาย...ทั้งขะมักเขม้นในการหักขนมปังและการอธิษฐาน" หักขนมปัง คงหมายถึงการถือศีลมหาสนิท การอธิษฐานที่นี่ คงหมายถึงประชุมอธิษฐาน หรืออธิษฐานร่วมกัน หมายความว่า คริสเตียนยุคแรกได้ขะมักเขม้นนมัสการพระเจ้า
การนมัสการพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดสำหรับคริสเตียน เมื่อเราประสบความ สำเร็จในการนมัสการพระเจ้า เราก็จะประสบความสำเร็จในการกระทำทุกอย่าง พระเจ้าทรงประสงค์ให้เรานมัสการพระองค์ พระองค์ทรงแสวงหาคนที่นมัสการพระองค์

มีคำพูดประโยคหนึ่งกล่าวว่า "คริสเตียนที่ไม่จัดเวลาอย่างจริงจังสำหรับการอธิษฐาน ในไม่ช้าเขาก็จะไม่มีเวลาเหลืออยู่แม้แต่นาทีเดียวที่จะใช้ในการอธิษฐาน" ข้อความนี้ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นจริง แต่เราพบว่าในปัจจุบันนี้มีคริสเตียนไม่น้อยที่ไม่มีเวลาสำหรับอธิษฐานจริงๆ  และสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ คริสเตียนเหล่านั้นมัวแต่มองหาเวลาที่จะอธิษฐานทุกวัน แต่ก็ไม่เคยเจอสักวันเดียว เพราะเวลาแห่งการอธิษฐานในชีวิตประจำวันของเราจะเกิดขึ้นจากการจัดเวลาของเราแต่ละคนเท่านั้น ขอยืนยันว่าตราบใดที่เรายังไม่คิดที่จะจัดเวลาสำหรับการอธิษฐาน เราก็ไม่มีทางที่จะพบเวลาที่จะใช้ในการอธิษฐานได้เลย

บรรณาธิการนิตยสารของคริสเตียนฉบับหนึ่งได้ ถามศิษยาภิบาลที่ประสบความสำเร็จในการรับใช้พระเจ้าท่านหนึ่งว่า "ท่านมีเคล็ดลับอะไรสำหรับความสำเร็จของท่าน" ศบ.ท่านนั้นตอบว่า "ผมทุ่มเทชีวิตในการอธิษฐานอย่างจริงจัง คู่ไปกับการรับใช้ของผมครับ" บก.ท่านนั้นถามต่อไปว่า "ท่านมีอะไรเป็นแรงบันดาลใจในเรื่องนี้หรือครับ" ศบ.ท่านนั้นเงยหน้า ขึ้นคิดอยู่แว้บหนึ่งแล้วตอบว่า "แรงบันดาลใจผมเกิดขึ้น ในสมัยที่ผมยังเป็นเด็กอายุประมาณ 8 หรือ 9 ขวบ ครับ คือ วันหนึ่งคุณแม่ใช้ผมนำของไปให้เพื่อนบ้าน เมื่อผมเคาะประตู แล้วเปิดเข้าไปไม่พบใครในบ้าน จึงค่อยๆเดินเข้าไปในครัว ก็พบคุณป้านั่งอยู่บนเก้าอี้ในครัว พระคัมภีร์เปิดวางอยู่บนตัก ท่านกำลังอธิษฐานด้วยเสียงเบาๆ และไม่รู้ว่าผมยืนมองด้วยความประทับใจอย่างยิ่ง แล้วผมจึงเอาของที่แม่ฝากมาวางไว้ แล้วค่อยๆถอยหลังออกมาจากไปอย่างเงียบๆ . . . นี่แหละครับ แรงบันดาลใจของผม"

วันนี้ท่านได้จัดเวลาสำหรับการอธิษฐานอย่างจริงจังหรือยัง และชีวิตการอธิษฐานของท่านได้เป็นแรงบันดาลใจให้ใครบ้างหรือไม่

           การนมัสการของคริสเตียนยุคแรกมีทั้งความชื่นชมยินดีและความเกรงกลัว ในข้อที่ 46 กล่าวไว้ว่า "ร่วมรับประทานอาหารด้วยความชื่นชมยินดี"  เขามาพบกันเมื่อไรหรือที่ไหนก็ตาม  เขาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี พระเจ้าทรงประทานพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และพระเจ้าได้ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาจึงชื่นชมยินดี ยิ่งกว่านั้น ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างหนึ่ง คือ ความปลาบปลื้มใจ ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาแห่งความชื่นชมยินดี เรานมัสการพระเจ้าของเราก็เพราะพระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ ในเวลาเดียวกันมีความเกรงกลัวด้วย เรานมัสการพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์ พระเจ้าของเราทรงเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม และผู้ยิ่งใหญ่ ในข้อ 43 กล่าวไว้ว่า "เขามีความเกรงกลัวด้วยกันทุกคน" เพราะฉะนั้น การนมัสการของเราควรมีทั้งความชื่นชมยินดีและความเกรงกลัวด้วย

4. เป็นคริสตจักรที่ชอบประกาศข่าวประเสริฐ

      " .....ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งหลายซึ่งกำลังจะรอด มาเข้ากับพวกสาวกทุกวันๆ"  
 
การเรียนพระคัมภีร์ การสามัคคีธรรม และการนมัสการพระเจ้านั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในคริสตจักร ถ้าคริสตจักรมีสามสิ่งเหล่านี้เท่านั้น ยังไม่สมบูรณ์ เพราะพระเจ้าไม่ทรงพอพระทัย คริสตจักรเยรูซาเล็มเป็นคริสตจักรที่มีชีวิตที่สมบูรณ์ เพราะไม่เอียงไปข้างเดียว ถึงแม้พวกเขาได้ขะมักเข้มนฟังคำสอน สามัคคีและนมัสการพระเจ้า แต่ยังไม่ลืมการเป็นพยานฝ่ายพระเยซูแก่คนนอกคริสตจักร มีสามสิ่งที่เราควรเรียนรู้เกี่ยวกับการประกาศของคริสตจักร

             4.1 พระเยซูเองได้ทรงการะทำ   คำว่า "ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า" แสดงถึง   พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ประกาศยอดเยี่ยม เราจึงประกาศโดยพึ่งวางใจในพระองค์ด้วยความถ่อมใจ

             4.2 พระเยซูทรงโปรดให้คนที่จะรอดมาเข้ากับพวกสาวก พระเยซูได้ทรงเพิ่มเติมคนให้เข้าโบสถ์ แต่คนที่พระองค์ทรงนำมานั้นเป็นคนที่พระองค์ทรงช่วยให้รอดด้วย ความรอดกับการเข้าโบสถ์ควรเดินไปเคียงข้างกัน ไม่ใช่เชิญคนมาที่โบสถ์เฉยๆ มาสนุกสนานกับงานคริสตมาสหรือเทศกาล งานรื่นเริงต่างๆ แต่ลืมบอกหรือไม่ได้บอกเขาเกี่ยวกับความรอดที่พระเจ้าทรงประทานให้

             4.3 พระเยซูทรงเพิ่มเติมคนทุกวันๆเรื่อยไป ลูกาได้รายงานให้เราทราบว่า พระองค์ทรงเพิ่มคนให้เข้ามาโบสถ์อย่างไร  
                   ในข้อ 2:41 มี 3000 คน  
                   ในข้อ 4:4 มี 5000 คนเฉพาะผู้ชาย 
                   ในข้อ 5:4 มากกว่าก่อน  
                   ในข้อ 6:1 ทวีมากขึ้น และ
                   ในข้อ 9:31 คริสตจักรในที่ต่างๆจำเริญขึ้น และคริสตสมาชิกก็ยิ่งทวีมากขึ้น

          เราได้เห็นเครื่องหมายของคริสตจักรที่มีชีวิตจากคริสตจักรเยรูซาเล็มอย่างชัดเจน นั่นก็คือ คริสตจักรที่ชอบเรียนพระคัมภีร์  ชอบร่วมสามัคคีธรรม  ชอบนมัสการพระเจ้า และชอบประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู

ขอให้เราร่วมมือร่วมใจสร้างคริสตจักรของเราให้มีชีวิตตลอดไปจนกว่าพระองค์จะเสด็จกลับมา

 
 
ขอพระเจ้าอวยพระพร
 
วิจิตร วารินทร์ศิริกุล

No comments:

Post a Comment