ในพระธรรมฮีบรู 4:12 กล่าวไว้ว่า "เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย"
ผู้เขียนสดุดีได้กล่าวไว้ว่า “พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่มรรคาของข้าพระองค์" (สดุดี 119:105)
จากพระธรรม 2 ข้อนี้ ทำให้เราเห็นถึงความสำคัญของพระวจนะของพระเจ้าต่อชีวิตของผู้เชื่อ และจะทำอย่างไรที่จะให้พระวจนะของพระเจ้ามีส่วนในการะฟื้นฟูชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเรา พระเจ้าทรงตรัสกับมนุษย์หลายทางด้วยกัน แต่ที่ชัดเจนและแน่นอนที่สุดคือทางพระวจนะของพระองค์
มีความผิดปกติด้านการได้ยินรูปแบบหนึ่งซึ่งพบได้ไม่บ่อยมาก ผู้ที่เป็นสามารถได้ยินเสียงแต่ไม่สามารถเข้าใจความหมาย เขายังคงได้ยินเสียงนกร้องหรือเสียงนาฬิกาเดิน แต่เขาจะไม่เข้าใจว่าเป็นอะไร หรือเมื่อมีคนพูดด้วยเขาก็จะไม่เข้าใจความหมายใดๆ แท้จริงต้นตอของปัญหาไม่ได้อยู่ที่หู แต่เกิดจากอาการบาดเจ็บทางสมอง
ในท่ามกลางผู้เชื่อก็เช่นเดียวกัน มีอาการหูหนวกฝ่ายวิญญาณเกิดขึ้นกับคริสเตียนจำนวนไม่น้อย เมื่อเขาได้ยินคำสอนหรือเมื่ออ่านพระวจนะ จึงไม่ทำให้เกิดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ เพียงชื่นชมพระคัมภีร์ในฐานะวรรณกรรมหรือประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ หรืออาจะเป็นเพียงแหล่งรวมจริยธรรมที่มีมาตรฐานสูง แต่กลับไม่เข้าใจข้อความฝ่ายวิญญาณ ทั้งยังไม่เข้าใจในสาระสำคัญที่พระคัมภีร์ได้บันทึก ขอพระเจ้าเมตตาอย่าให้เราเป็นเช่นนั้น
ขอยกข้อพระธรรมใน เนหะมีย์ 8:1-8
"ประชาชนทั้งปวงได้ชุมนุม พร้อมหน้ากันที่ลานเมืองหน้าประตูน้ำ และเขาบอกเอสราธรรมาจารย์ ให้นำหนังสือธรรมบัญญัติของโมเสส ซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาแก่อิสราเอลนั้นมา เอสราปุโรหิตได้นำธรรมบัญญัติมาหน้าชุมนุมชน ทั้งชายและหญิงและบรรดาผู้ที่ฟังเข้าใจได้ ณ วันต้น ของเดือนที่เจ็ด และท่านหันหน้าไปทางลานเมืองหน้าประตูน้ำ อ่านตั้งแต่เช้าตรู่จนเที่ยงวัน ต่อหน้าผู้ชายผู้หญิงกับบรรดาผู้ที่ฟังเข้าใจได้ และประชาชนก็ตะแคงหูฟังพระธรรม เอสราธรรมาจารย์ยืนอยู่บนแท่นไม้ ซึ่งเขาทำไว้เพื่อการนี้ ข้างๆท่านมีมัททีธิยาห์ เชมา อานายาห์ อุรีอาห์ ฮิลคียาห์และมาอาเสอาห์ยืนอยู่ข้างขวามือของท่าน กับมีเปดายาห์ มิชาเอล มัลคิยาห์ ฮาชูม ฮัชบัดดานาห์ เศคาริยาห์และเมชุลลามอยู่ข้างซ้ายมือของท่าน และเอสราได้เปิดหนังสือต่อหน้าประชาชนทั้งปวง เพราะท่านอยู่สูงกว่าประชาชน เมื่อท่านเปิดหนังสือประชาชนก็ยืนขึ้น เอสราสรรเสริญพระเยโฮวาห์ พระเจ้าใหญ่ยิ่ง และประชาชนทั้งปวง ตอบว่า “อาเมน อาเมน” พร้อมกับยกมือขึ้นและเขาทั้งหลายโน้มตัวลงนมัสการพระเจ้า ซบหน้าลงถึงดิน อนึ่งเยชูอา บานี เชเรบิยาห์ ยามีน อักขูบ ชับเบธัย โฮดียาห์ มาอาเสอาห์ เคลิทา อาซาริยาห์ โยซาบาด ฮานัน เปไลยาห์ พวกคนเลวี ได้ช่วยประชาชนให้เข้าใจธรรมบัญญัติ ฝ่ายประชาชนก็ยังอยู่ในที่ของตน และเขาทั้งหลายอ่านจากหนังสือ จากธรรมบัญญัติของพระเจ้าเป็นตอนๆ และเขาก็แปลความ ประชาชนจึงเข้าใจข้อความที่อ่านนั้น"
เมื่อชนชาติอิสราเอลได้กลับจากการเป็นเชลยในบาบิโลน พวกเขาได้สร้างกำแพงเยรูซาเล็มที่ถูกพังลง นำโดยเนหะมีย์ ใช้เวลาเพียง 52 วัน ถึงแม้พวกเขาได้ประสบความสำเร็จในการสร้างกำแพงในช่วงเวลาสั้น แต่จิตใจลึกๆของเขายังไม่ค่อยมีความสุขและความมั่นคงเท่าที่ควร พวกเขาจึงต้องการความสุขและความมั่นคงในจิตใจของเขา ความสุขและความมั่นคงในจิตใจนั้นมาจากพระเจ้า เขาต้องการการฟื้นฟูจิตวิญญาณของเขา พระเจ้าจึงได้ทรงทำการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับพวกอิสราเอลด้วยพระวจนะของพระองค์
การฟื้นฟูจิตใจเกิดขึ้นได้ก็โดยพระวจนะของพระเจ้า และพระวจนะของพระเจ้าตอนนี้แสดงให้เห็นว่า ชนชาติอิสราเอลได้ตอบสนองต่อพระวจนะของพระเจ้าด้วยท่าทีอย่างไร การฟื้นฟูจิตใจจึงเกิดขึ้นได้
การฟื้นฟูจิตใจเกิดขึ้นได้ก็โดยพระวจนะของพระเจ้า และพระวจนะของพระเจ้าตอนนี้แสดงให้เห็นว่า ชนชาติอิสราเอลได้ตอบสนองต่อพระวจนะของพระเจ้าด้วยท่าทีอย่างไร การฟื้นฟูจิตใจจึงเกิดขึ้นได้
1. หิวกระหายพระวจนะของพระเจ้า (ข้อ 1-2)
"ประชาชนทั้งปวงได้ชุมนุมพร้อมหน้ากันที่ลานเมืองหน้าประตูน้ำ และเขาบอกเอสราธรรมาจารย์ให้นำหนังสือธรรมบัญญัติของโมเสสซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาแก่อิสราเอลนั้นมา”
คนที่หิวกระหายพระวจนะของพระเจ้าจะได้รับการฟื้นฟูจิตวิญญาณได้ ข้อนี้ได้บอกว่า “ประชาชนทั้งปวงได้ชุมนุมพร้อมหน้ากัน” น่าจับตามองดูคำว่า พร้อมหน้ากัน หมายความว่าอะไร ไม่ใช่เฉพาะผู้นำหรือบางคนที่มีตำแหน่งเท่านั้น แต่ทุกคนได้ชุมนุมกัน ไปหาเอสราและได้บอกว่า เอาหนังสือพระคัมภีร์มา เพราะว่าเอสราเป็นธรรมาจารย์ ท่านได้ตั้งใจว่าจะศึกษาธรรมบัญญัติของพระเจ้า และกระทำตามและสอนพระวจนะของพระเจ้าในอิสราเอล (เอสรา 7:10) หมายความว่า คนอิสราเอลที่ได้กลับมาอาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มทุกคนมีจิตใจที่หิวกระหายพระวจนะของพระเจ้า มีความปรารถนาที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพระเจ้า จิตใจที่หิวกระหายเช่นนี้ ก็มาจากพระเจ้า เอสรานั้นมีนิมิตที่จะสอนพระวจนะของพระเจ้าแก่คนอิสราเอลอยู่แล้ว เขาคงอธิษฐานกับพระเจ้าว่า “ขอพระเจ้าทรงเทจิตใจที่หิวกระหายพระวจนะของพระองค์แก่คนอิสราเอล แล้วข้าพระองค์มีโอกาสที่จะประกาศแก่พวกเขาว่า อะไรคือน้ำพระทัยของพระองค์” ถึงอย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้จัดกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ หรือไม่ได้ประกาศหรือ บังคับให้มาเรียนพระคัมภีร์ แต่พวกเขามาเอง ร้องขอให้เอาหนังสือธรรมบัญญัติมา คนที่มีจิตใจหิวกระหายพระวจนะของพระเจ้านั้นมักจะมาร่วมชุมนุมกัน พวกเขาชุมนุมกันในวันที่หนึ่งของเดือนที่เจ็ด วันต้นเดือนเป็นวันที่เขาถือรักษากันว่า เป็นวันบริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า (8:10) เหมือนวันสะบาโต
เมื่อเอสราเห็นคนทั้งปวงมาหาและขอให้เอาพระคัมภีร์มา เขาคงจะดีใจมาก รู้ไหมว่า ศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักรจะชื่นชมยินดีมากเมื่อไร ? เมื่อสมาชิกมาหาด้วยใจปรารถนาที่จะเรียนพระคัมภีร์ นี่คือการฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณของพระเจ้าที่ถูกเทลงมาในคริสตจักรของพระองค์ ครูรวีวารศึกษาก็เช่นเดียวกัน คงจะดีใจมากถ้ามีสมาชิกมาเรียนกันเต็มห้อง และแสวงหาความรู้ในเรื่องของพระเจ้า เพราะพระวจนะนั้นเป็นเหมือนอาหารฝ่ายวิญญาณ คริสเตียนที่ขาดพระวจนะก็คงจะเป็นคริสเตียนที่ผอมโซเหมือนคนขาดอาหาร มารมันเป่าเพี้ยงเดียวก็เซถลาล้มลงทันที คงเป็นเช่นนั้นไม่ได้แน่ๆ เราต้องช่วยกันสร้างค่านิยมให้คริสตจักรของเราเป็นคริสตจักรที่รักพระวจนะ สมาชิกหิวกระหายมารอรับการสอนและรอรับการสร้าง มาแต่เช้า ตื่นแต่เช้าเพื่อจะมาเรียน ให้เราช่วยกันอธิษฐานต่อพระเจ้า ให้สมาชิกทุกคนเต็มไปด้วยจิตใจที่หิวกระหายพระวจนะของพระเจ้า
2. ขะมักเขม้นฟังพระวจนะของพระเจ้า (ข้อ 3)
“และท่านหันหน้าไปทางลานเมืองหน้าประตูน้ำ อ่านตั้งแต่เช้าตรู่จนเที่ยงวันต่อหน้าผู้ชายผู้หญิงกับบรรดาผู้ที่ฟังเข้าใจได้ และประชาชนก็ตะแคงหูฟังพระธรรม”
ตามคำขอร้องของประชาชน เอสราซึ่งเป็นธรรมาจารย์ได้เอาหนังสือธรรมบัญญัติมาอ่าน ตั้งแต่เช้าตรู่จนเที่ยงวัน เช้าตรู่ คงหมายถึงช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นก็ประมาณ 6 โมงเช้า จนถึงเที่ยง นับได้ว่าประมาณ 6 ชั่วโมง สิ่งที่น่าประทับใจมากก็คือ ประชาชนก็ตะแคงหูฟังนานถึง 6 ชั่วโมง ตั้งใจฟัง ขะมักเขม้นฟังพระวจนะของพระองค์ เพราะเขากระหายพระวจนะของพระเจ้า
เราเคยมีประสบการณ์ในการภาวนาพระวจนะของพระเจ้าหลายชั่วโมงมั๊ย ? เคยเกิดจิตใจที่อยากอ่านและภาวนามากกว่านั้นมั๊ย ? ทั้งๆที่ภาวนาหลายสิบบทแต่รู้สึกไม่พอ ไม่อิ่ม ช่วงนั้นแหละ เป็นเวลาที่พระคุณของพระเจ้ามาถึงเราและเราจะพบการฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณ
การฟื้นฟูได้เกิดขึ้นในท่ามกลางของคนที่ขะมักเขม้นฟังพระวจนะของพระเจ้า เราจะเห็นได้จากพระธรรมกิจการ คริสตจักรเยรูซาเล็มเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ 3000 คนที่ได้รับบัพติศมาในวันเพ็นเตคอส ก็ได้ขะมักเขม้นฟังคำสอนของเหล่าอัครทูต พวกเขาจึงเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า แล้วกระทำตามพระวจนะนั้น เช่น อธิษฐาน สามัคคีธรรม ช่วยเหลือคนที่ต้องการ และนมัสการพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาได้พบการฟื้นฟูทั้งภายในและภายนอกด้วย มีความชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง และมีคนมารับเชื่อทุกวันๆ อยากเห็นคริสตจักรของเราเป็นเช่นนั้น มีคนมารับเชื่อทุกๆวันและเติบโตขึ้น เคล็ดลับก็คือพระวจนะ ขมักเขม้นฟังคำสอน ขะมักเขม้นอ่านพระคัมภีร์
"ความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์" (โรม 10:17) เราต้องตั้งใจฟังคำเทศนา เพราะคำเทศนา คือพระวจนะของพระเจ้า ไม่ควรหันไปข้างขวาหรือข้างซ้าย หรือหันกลับดูด้านหลัง ไม่ควรพูดคุยกับคนที่นั่งข้างๆ แต่ควรเอียงหูฟังพระวจนะของพระเจ้าผ่านผู้รับใช้ของพระเจ้าอย่างตั้งใจ
การฟื้นฟูได้เกิดขึ้นในท่ามกลางของคนที่ขะมักเขม้นฟังพระวจนะของพระเจ้า เราจะเห็นได้จากพระธรรมกิจการ คริสตจักรเยรูซาเล็มเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ 3000 คนที่ได้รับบัพติศมาในวันเพ็นเตคอส ก็ได้ขะมักเขม้นฟังคำสอนของเหล่าอัครทูต พวกเขาจึงเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า แล้วกระทำตามพระวจนะนั้น เช่น อธิษฐาน สามัคคีธรรม ช่วยเหลือคนที่ต้องการ และนมัสการพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาได้พบการฟื้นฟูทั้งภายในและภายนอกด้วย มีความชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง และมีคนมารับเชื่อทุกวันๆ อยากเห็นคริสตจักรของเราเป็นเช่นนั้น มีคนมารับเชื่อทุกๆวันและเติบโตขึ้น เคล็ดลับก็คือพระวจนะ ขมักเขม้นฟังคำสอน ขะมักเขม้นอ่านพระคัมภีร์
"ความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์" (โรม 10:17) เราต้องตั้งใจฟังคำเทศนา เพราะคำเทศนา คือพระวจนะของพระเจ้า ไม่ควรหันไปข้างขวาหรือข้างซ้าย หรือหันกลับดูด้านหลัง ไม่ควรพูดคุยกับคนที่นั่งข้างๆ แต่ควรเอียงหูฟังพระวจนะของพระเจ้าผ่านผู้รับใช้ของพระเจ้าอย่างตั้งใจ
3. ให้เกียรติแก่พระวจนะของพระเจ้า (ข้อ 5)
“และเอสราได้เปิดหนังสือต่อหน้าประชาชนทั้งปวง เพราะท่านอยู่สูงกว่าประชาชน เมื่อท่านเปิดหนังสือ ประชาชนก็ยืนขึ้น”
คำว่า ประชาชนก็ยืนขึ้น เป็นการสำแดงถึงการถวายเกียรติ ความยำเกรงและความถ่อมใจ ไม่ได้ถือว่ากำลังฟังคำปราศัยของคนธรรมดา แต่ถือว่ากำลังฟังพระสุระเสียงของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ คริสตจักรเธสะโลนิกาเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ เปาโลได้บอกว่า “เราขอบพระคุณพระเจ้าเสมอ เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายได้รับพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งท่านได้ยินจากเรา ท่านไม่ได้รับไว้อย่างเป็นคำของมนุษย์ แต่ได้รับไว้ตามความเป็นจริง คือเป็นพระวจนะของพระเจ้า..." (1 เธสะโลนิกา 2:13) พระคัมภีร์บอกว่า "....เพราะว่าผู้ที่ให้เกียรติแก่เรา เราจะให้เกียรติ และบรรดาผู้ที่ดูหมิ่นเรา ผู้นั้นจะถูกดูหมิ่น" (1 ซามูเอล 2:30)ผู้ที่ให้เกียรติแก่พระคัมภีร์ ก็ให้เกียรติแก่พระเจ้า เพราะว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า การที่เรายืนขึ้นเมื่อผู้นำจะอ่านพระคัมภีร์ ก็เพราะเหตุนี้ เชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะทรงทำการฟื้นฟูจิตใจของคนที่ให้เกียรติแก่พระวจนะของพระเจ้า
เราต้องไวในเรื่องนี้ด้วย การนั่งฟังเทศน์แล้วไม่สนใจฟัง คุยบ้าง หลับบ้าง โทรศัพท์บ้าง เล่นแทปเลตบ้าง ใจลอยบ้าง ก็ถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติแก่พระวจนะของพระเจ้า เราควรจะเตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่คืนวันเสาร์แล้ว อธิษฐานเตรียมใจให้พร้อมที่จะมารับพระพรจากพระวจนะของพระเจ้าในวันอาทิตย์ เคลียร์งานให้หมด เคลียร์ปัญหาให้จบ แล้วการฟังเทศน์ก็จะเป็นพระพรสำหรับชีวิตของเราเอง
“และเขาทั้งหลายอ่านจากหนัวสือจากธรรมบัญญัติของพระเจ้าเป็นตอนๆ และเขาก็แปลความ ประชาชนจึงเข้าใจข้อความที่อ่าน”
ด็อกเตอร์ สไมลี่ แบลนตัน จิตแพทย์ชาวนิวยอร์ค มีพระคัมภีร์วางประจำอยู่บนโต๊ะทำงาน คนไข้ของเขาแปลกใจจึงถามว่า ‘จิตแพทย์อย่างคุณหมออ่านพระคัมภีร์ด้วยหรือ ?’ ด็อกเตอร์ แบลนตัน ซึ่งเป็นคริสเตียนที่เคร่งครัดตอบว่า ‘ไม่เพียงแค่อ่านเท่านั้น ผมยังศึกษาพระคัมภีร์อีกด้วย‘ แล้วเขาก็กล่าวเสริมว่า ‘ถ้าผู้คนซึมซับเนื้อหาในพระคัมภีร์ จิตแพทย์คงต้องตกงานแน่ๆ’ ด็อกเตอร์ แบลนตัน ยังขยายความต่อไปอีกว่า ถ้าคนไข้ที่ถูกรุมเร้าด้วยความรู้สึกผิดและโทษตัวเอง เมื่อเขาได้อ่านคำอุปมาเรื่องบุตรน้อยหลงหายกับบิดาผู้ให้อภัยในพระธรรมลูกา 15:11-32 พวกเขาก็จะพบกุญแจสู่การรักษา
ด็อกเตอร์ สไมลี่ แบลนตัน จิตแพทย์ชาวนิวยอร์ค มีพระคัมภีร์วางประจำอยู่บนโต๊ะทำงาน คนไข้ของเขาแปลกใจจึงถามว่า ‘จิตแพทย์อย่างคุณหมออ่านพระคัมภีร์ด้วยหรือ ?’ ด็อกเตอร์ แบลนตัน ซึ่งเป็นคริสเตียนที่เคร่งครัดตอบว่า ‘ไม่เพียงแค่อ่านเท่านั้น ผมยังศึกษาพระคัมภีร์อีกด้วย‘ แล้วเขาก็กล่าวเสริมว่า ‘ถ้าผู้คนซึมซับเนื้อหาในพระคัมภีร์ จิตแพทย์คงต้องตกงานแน่ๆ’ ด็อกเตอร์ แบลนตัน ยังขยายความต่อไปอีกว่า ถ้าคนไข้ที่ถูกรุมเร้าด้วยความรู้สึกผิดและโทษตัวเอง เมื่อเขาได้อ่านคำอุปมาเรื่องบุตรน้อยหลงหายกับบิดาผู้ให้อภัยในพระธรรมลูกา 15:11-32 พวกเขาก็จะพบกุญแจสู่การรักษา
เราทั้งหลายได้แสวงหาการรักษาจากพระวจนะอันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าหรือไม่ ? เราอาจจะอ่านพระวจนะโดยความเชื่อ แต่ลองพิจารณาดูว่าเราได้ศึกษาจริงจัง และนำถ้อยคำในพระคัมภีร์มาปฏิบัติจริงๆหรือยัง ความจริงแห่งการช่วยให้รอดในพระคัมภีร์นั้นเป็นยาขนานเอกที่จะรักษาเราจากโรคร้ายแห่งบาปได้ ความเข้าใจในพระวจนะจะนำเราให้พบทางออกเมื่อเราประสบกับปัญหา พระเจ้าตรัสไว้ในพระธรรม โฮเชยา 6:6
"เพราะเราประสงค์ความรักมั่นคง ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา
เราประสงค์ความรู้ในพระเจ้า ยิ่งกว่าเครื่องเผาบูชา"
เราประสงค์ความรู้ในพระเจ้า ยิ่งกว่าเครื่องเผาบูชา"
เคยมองภาพวัวที่นอนเคี้ยวเอื้องมั๊ย ทำไมวัวจึงต้องพิถีพิถันในการเคี้ยวอย่างยิ่ง ทำไมมันต้องใช้เวลาอย่างมากในการเคี้ยว ก่อนอื่น วัวจะกินหญ้าและอาหารอื่นๆเข้าไป จากนั้นก็จะหยุดเพื่อเคี้ยวอย่างละเอียดเป็นเวลานาน มันจะสำรอกอาหารออกมาจากท้องแล้วเคี้ยวสิ่งที่มันกินเข้าไปแล้วอีกครั้งหนึ่ง เพื่อย่อยสิ่งที่มีประโยชน์เข้าไปเปลี่ยนให้เป็นน้ำนมอย่างดี
ใช้เวลามากใช่ไหม ? ใช่ เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์มั๊ย ? ไม่เลย
คำว่า ‘เคี้ยวเอื้อง’ ถูกใช้อธิบายภาพขบวนการใคร่ครวญ ผู้เขียนพระธรรมสดุดี บทที่ 119 ได้ใช้ความคิดการบดเคี้ยวอย่างละเอียดขณะที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า สำหรับเขา ไม่มีอาหารจานด่วน ไม่มีบะหมี่หรืออาหารสำเร็จรูป ถ้าเราปฏิบัติตามเขาโดยอ่านพระวจนะอย่างถี่ถ้วนด้วยใจอธิษฐาน เราก็จะ
- ไม่อ่อนข้อต่อบาป สดุดี 119:11- ปิติยินดีในการเรียนรู้จักพระเจ้ามากขึ้น สดุดี 119:15-16
- ค้นพบความจริงฝ่ายวิญญาณอันมหัศจรรย์ สดุดี 119:18
- พบคำปรึกษาที่ฉลาดในชีวิตประจำวัน สดุดี 119:24
การใคร่ครวญนั้นไม่เพียงแต่อ่านพระคัมภีร์และเชื่อเท่านั้น แต่เป็นการนำพระวจนะไปใช้ในชีวิตประจำวันด้วย นั่นแหละจึงเรียกว่าได้รับการฟื้นฟูชีวิตด้วยพระวจนะอย่างแท้จริง
อย่าลืม...
พระวจนะของพระเจ้าไม่ใช่อาหารจานด่วน
แต่จงใช้เวลาบดเคี้ยวอย่างละเอียด
ขอพระเจ้าอวยพระพร
วิจิตร วารินทร์ศิริกุล
No comments:
Post a Comment