Wednesday, October 16, 2013

เชื่อเท่านั้นหรือ ?

คริสเตียน เป็นชื่อเรียกผู้ที่ติดตามพระเยซูคริสต์ ในยุคอัครฑูต ที่เมืองอันทิโอก พวกสาวกได้ชื่อว่าคริสเตียนเป็นครั้งแรก (กิจการ 11:26) ชีวิตของเหล่าสาวกไม่ใช่เพียงแต่เชื่อเท่านั้น แต่สังคมได้เห็นความแตกต่างและเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก ความสามัคคี ความมั่นคงในความเชื่อ ความอดทนต่อการข่มเหง สิ่งเหล่านี้ทำให้ชีวิตของพวกเขาแตกต่างจากคนในสังคม

"แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์ เมื่อก่อนท่านทั้งหลายไม่มีชาติ แต่บัดนี้ท่านเป็นชนชาติของพระเจ้าแล้ว เมื่อก่อนท่านทั้งหลายหาได้รับพระกรุณาไม่ แต่บัดนี้ท่านได้รับพระกรุณาแล้ว ดูก่อนท่านที่รัก ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านทั้งหลาย ผู้อาศัยในโลกอย่างโลกไม่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน ให้เว้นจากตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งเป็นข้าศึกต่อวิญญาณจิตของท่าน จงรักษาความประพฤติอันดีของท่านไว้ในหมู่คนต่างชาติ เพื่อว่าเมื่อมีคนติเตียนท่านว่าประพฤติชั่ว เขาจะได้เห็นการดีของท่าน และเขาจะได้สรรเสริญพระเจ้าในวันที่พระองค์เสด็จมา ท่านทั้งหลายจงยอมฟังการบังคับบัญชาที่มนุษย์ตั้งไว้ทุกอย่าง เพราะเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นมหาจักรพรรดิผู้มีอำนาจยิ่ง หรือจะเป็นเจ้าเมืองผู้ที่ได้รับคำสั่งจากมหาจักรพรรดิ ให้ลงโทษผู้กระทำชั่วและยกย่องคนที่ประพฤติดี เพราะเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่จะให้ท่านทั้งหลายระงับความโง่ของคนโฉดเขลาด้วยการประพฤติดี จงดำเนินชีวิตอย่างคนมีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพนั้น เป็นข้ออ้างเพื่อจะทำความชั่ว แต่จงดำเนินชีวิตอย่างผู้รับใช้ของพระเจ้า จงให้เกียรติแก่ทุกคน จงรักบรรดาพี่น้อง จงยำเกรงพระเจ้าและจงถวายเกียรติแด่มหาจักรพรรดิ ท่านทั้งหลายที่เป็นคนรับใช้ จงเชื่อฟังนายของท่านทุกอย่าง ไม่ใช่เฉพาะนายที่เป็นคนใจดีและสุภาพเท่านั้น แต่ทั้งนายที่ร้ายด้วย เพราะว่าผู้ที่ได้รับความเห็นชอบว่าดีนั้น ก็ต่อเมื่อเขาเห็นแก่พระเจ้าและยอมอดทนต่อความทุกข์ที่ไร้ความเป็นธรรม" (1 เปโตร 2:9-19)
 
เปโตรได้กล่าวไว้ในพระธรรมตอนนี้ ชี้ให้เห็นว่าผู้เชื่อเป็นใครและควรดำเนินชีวิตอย่างไรให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
 
1. เข้าใจชีวิตอย่างถูกต้อง คือดำเนินชีวิตให้สมกับการทรงเลือก พระองค์ทรงนำเราออกจากความมืดมาสู่ความสว่าง จากคนที่ไม่มีชาติมาเป็นชนชาติของพระเจ้า เราจึงต้องวางตัวและจัดระบบความคิดของเราเสียใหม่
 
      1.1 โลกนี้เป็นบ้านชั่วคราว  ในพระคำตอนนี้บอกว่า ผู้อาศัยในโลกอย่างโลกไม่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน ซึ่งภาษาเดิมให้ความหมายว่า การเป็นผู้อาศัยอยู่เพียงชั่วคราว คงไม่ถูกต้องที่เราจะตั้งหน้าตั้งตาสะสมทรัพย์สมบัติไว้ในที่ๆเราจะอยู่เพียงชั่วคราว โดยละเลยที่จะสร้างสมบัติไว้ในบ้านที่ถาวร แน่นอนการที่จะมั่งมีในโลกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรือเป็นบาป พระเจ้าทรงได้รับเกียรติถ้าคริสเตียนร่ำรวยและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แต่พระองค์คงจะเสียพระทัยถ้าเราหมกมุ่นแต่ที่จะแสวงหาทรัพท์สมบัติโดยลืมพระองค์หรือให้พระองค์มาทีหลัง
 
     1.2 เว้นจากตัณหาของเนื้อหนัง 
           ตัณหา หมายถึง ความโลภ ความอยาก ความปรารถนา ราคะ
           เนื้อหนัง หมายถึง สิ่งที่เป็นของโลก วัตถุ สิ่งที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของพระวิญญาณ
           ผู้เชื่อจะต้องดำเนินชีวิตให้เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า  ละเว้นจากความอยาก ความปรารถนาสิ่งของของโลกที่ไม่เป็นพร มี 3 ก ที่ผู้เชื่อจะต้องระวัง คือ กิน กาม และ เกียรติ อย่ายึดติดกับสิ่งเหล่านี้ ที่จะเป็นอุปสรรคในการติดตามพระเยซู

     1.3 พฤติกรรมที่ดีงาม ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ทุกคนต่างอ้างเสรีภาพของตนที่จะทำอะไรก็ได้ สังคมก็จะจ้องมองชีวิตของคริสเตียนว่าจะแตกต่างจากพวกเขาอย่างไร เราจะต้องเหมือนเกลือที่รักษาความเค็ม และเป็นความสว่างท่ามกลางความมืด ใน 1 ทิโมธี 4:12 บอกเราว่า "อย่าให้ผู้ใดหมิ่นประมาทความหนุ่มแน่นของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อทั้งปวง ทั้งในทางวาจาและการประพฤติ ในความรัก ในความเชื่อ และในความบริสุทธิ์" นี่คือสิ่งที่คริสเตียนควรตระหนัก

2.ถ่อมใจเชื่อฟัง เปโตรเขียนพระธรรมเล่มนี้เพื่อหนุนใจชาวยิวที่กระจัดกระจายในยุคที่จักรพรรดิเนโรปกครองกรุงโรม คริสเตียนถูกบังคับ ข่มเหงและถูกฆ่า แต่ไม่ว่าจะถูกกลั่นแกล้งมากมายเพียงใด พวกเขาก็ยอมถ่อมใจและเชื่อฟัง

    2.1 ยอมเชื่อฟังต่อกฏหมายบ้านเมือง
          "ท่านทั้งหลายจงยอมฟังการบังคับบัญชาที่มนุษย์ตั้งไว้ทุกอย่าง เพราะเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นมหาจักรพรรดิผู้มีอำนาจยิ่ง หรือจะเป็นเจ้าเมืองผู้ที่ได้รับคำสั่งจากมหาจักรพรรดิ " (ข้อ 13) เป็นเรื่องธรรมดาที่ว่าคงไม่มีใครอยากอยู่ใต้กฏเกณฑ์หรือการบังคับของคนอื่น แต่ในฐานะของผู้เชื่อและเพื่อเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า จงยอมเชื่อฟัง พระคัมภีร์ได้ให้ความหมายของการเชื่อฟัง คือ  การยอมเชื่อฟังทั้งหมด ครบถ้วน เรื่อยไป ในขณะที่กฏนั้นไม่ขัดแย้งกับกฏของพระเจ้า หรือผิดต่อความเชื่อที่เรามีในพระเยซูคริสต์

     2.2 ยอมเชื่อฟังผู้นำ  หลายคนชอบบอกว่ารักพระเจ้าแต่ในใจยังเกลียดชังพี่น้องอยู่ หลายคนบอกว่าเชื่อฟังพระเจ้า แต่กับพี่น้องใครเตือนก็ไม่ได้ ไม่ยอมอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของคริสตจักร การปกครองในคริสตจักรและผู้นำในคริสตจักรล้วนเป็นการแต่งตั้งจากพระเจ้า เช่นเดียวกันเราจะต้องเชื่อฟังถ้ากฏหรือการนำนั้นไม่ขัดแย้งกับความเชื่อที่เรามีในพระเยซูคริสต์

3. มีความสัมพันธ์ที่ดี คงจะแปลกถ้าผู้เชื่อมาโบสถ์เพียงเพื่อได้นมัสการและฟังเทศน์แล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็จะไม่รู้จักสนิทสนมกัน แล้วจะช่วยเหลือห่วงใยซึ่งกันและกันได้อย่างไร จะอธิษฐานเผื่อกันได้อย่างไร

     3.1 ความสัมพันธ์กับพี่น้อง ในข้อ 17 "จงให้เกียรติแก่ทุกคน จงรักบรรดาพี่น้อง "  ในความผูกพันธ์ที่มีต่อบรรดาพี่น้องในคริสตจักร เราเป็นอย่างไรบ้าง  ได้ทักทาย สอบถามสารทุกข์สุกดิบกับพี่น้องบ้างหรือไม่  ไม่ใช่รอแต่ให้ผู้อื่นมาทักทายเราก่อน พี่น้องเจ็บป่วยได้ไถ่ถามหรือไปเยี่ยมเยียนบ้างไหม สิ่งเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี

     3.2 ความสัมพันธ์กับพระเจ้า  ผู้เชื่อจะต้องจัดและเตรียมเวลาที่จะพูดคุยสนธนากับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ นำปัญหาและเหตุการณ์ทุกอย่างทูลต่อพระองค์ เราทำหน้าที่เปรียบเสมือนมหาปุโรหิตที่นำเรื่องทุกอย่างของประชาชนทูลต่อพระเจ้า และนำเรื่องของพระเจ้ามาสู่ประชาชน พระเจ้าเป็นบุคคลแรกที่เราจะคิดถึงในการดำเนินชีวิตแต่ละวัน

     3.3 ความสัมพันธ์กับสังคม
           "ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาเขาออกไปจากโลก แต่ขอปกป้องเขาไว้ ให้พ้นจากมารร้าย เขาไม่ใช่ของโลก เหมือนดังที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก ขอทรงโปรดชำระเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มาในโลกฉันใด ข้าพระองค์ก็ใช้เขาไปในโลกฉันนั้น" (ยอห์น 17:15-18) พระเยซูทรงอธิษฐานเผื่อเราเสมอ และพระองค์ไม่ได้ปรารถนาให้เราแยกตัวออกจากโลกออกจากสังคม แต่พระองค์ทรงใช้เราให้เข้าไปท่ามกลางสังคมที่ไม่เชื่อ ผู้เชื่อไม่จำเป็นต้องแยกตัวออกมาจากสังคม แต่ตรงข้ามเราต้องเข้าไปสัมพันธ์กับสังคมโดยไม่ประพฤติตามสิ่งที่ผิดของสังคม และใช้ชีวิตของเราเป็นพรต่อสังคมเพื่อนำเขามาถึงพระเจ้า นั่นเป็นการถวายเกียรติแด่พระองค์

การเป็นคริสเตียนที่ดีคงไม่ใช่เพียงแต่เชื่อเท่านั้น

ขอพระเจ้าอวยพระพร

วิจิตร วารินทร์ศิริกุล

No comments:

Post a Comment