1. เบื้องหลังการเขียน
1.1 ผู้เขียน ยอห์น มาระโก (ยอห์น เป็นภาษาฮีบรูแปลว่าพระคุณพระเจ้า,
มาระโก เป็นภาษาลาตินแปลว่าฆ้อน) ผู้ซึ่งถูกกล่าวถึงใน กจ.12.12
เป็นผู้เขียน มาระโกเป็นบุตรของหญิงม่ายที่มั่งคั่งคนหนึ่งในกรุงเยรูซาเล็ม
และบ้านของเขาก็เป็นที่ชุมนุมของผู้เชื่อในเวลานั้น ในตอนนั้นชายหนุ่มผู้นี้ได้จากบ้านที่เยรูซาเล็มไปเป็นผู้ช่วยทีมประกาศครั้งแรกของเปาโลและบารนาบัส
(กจ.13.5) แต่เมื่อเดินทางถึงเมืองเปอร์กาได้หนีกลับเยรูซาเล็มก่อน (กจ.13.13)
จึงไม่ได้ร่วมการประกาศครั้งที่ 2 ของเปาโล แต่ไปร่วมทีมกับบารนาบัส เหตุที่บารนาบัสให้ความสนใจในดัวของมาระโกและให้ร่วมงานด้วยเพราะทั้งสองเป็นญาติกัน
(คส.4.10) และในพระธรรมตอนเดียวกันได้บันทึกว่า
มาระโกได้อยู่กับเปาโลในขณะที่เขียนพระธรรมโคโลสี
แสดงว่าทั้งสองได้กลับมาร่วมงานกันและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน (ฟม.24)
และช่วงสุดท้ายของชีวิตเปาโล
ท่านต้องการให้มาระโกมาร่วมงานอีกในขณะที่ท่านติดคุกที่โรม (2 ทธ.4.11) ส่วนการรับใช้ของมาระโกร่วมกับเปโตรนั้นถูกกล่าวถึงใน
1 ปต.5.13 ซึ่งเปโตรเรียกมาระโกว่า ”บุตรของข้าพเจ้า”
นั้นคงจะแสดงถึงความต้องการของเปโตรที่จะให้มาระโกสืบสานต่องานของท่านเหมือนที่เปาโลมีความคาดหวังในทิโมธี มาระโกไม่ได้กล่าวถึงตัวท่านเองในฐานะผู้เขียนพระกิติคุณนี้
นอกจากตอนหนึ่งที่ได้กล่าวถึงชายหนุ่มคนหนึ่งที่ได้ติดตามพระเยซูไปห่างๆหลังจากที่พระองค์ทรงถูกจับกุม
ซึ่งพวกสาวกคนอื่นๆได้หนีไปหมดแล้ว
ชายหนุ่มคนนั้นถูกพวกทหารจับแต่เขาได้สลัดผ้าห่มทิ้งแล้วหนีไป (มก.14.51-52) มาระโกคงต้องการแนะนำตัวเองแบบเงียบๆโดยไม่ให้เป็นจุดสนใจ
ในฐานะของผู้ร่วมงานของเปาโล บารนาบัสและเปโตรมาแล้ว มาระโกจึงเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมในการเป็นผู้บันทึกพันธกิจของพระเยซูในลักษณะงานรับใช้ที่ถ่อมใจ
(มก.10.45)
1.2 จุดประสงค์ มาระโกเน้นเรื่องการทนทุกข์เพื่อพระคริสต์
เพราะว่าในเวลานั้นผู้เชื่อในโรมถูกข่มเหงอย่างหนัก
เนื่องจากในสมัยของจักรพรรดิ์เนโร (ค.ศ..64)
มีคนลอบวางเพลิงเผากรุงโรม พวกคริสเตียนถูกกล่าวหาว่าเป็นคนทำ
จึงมีการข่มเหงและกวาดล้างผู้เชื่ออย่างหนัก คริสเตียนจำนวนมากถูกประหารชีวิต
ต้องหลบหนีและซ่อนตัว การดำเนินชีวิตลำบากยากเข็ญ
มาระโกมีแนวคิดว่าพระกิตติคุณที่ท่านเรียบเรียงชีวิตและงานรับใช้ที่ถ่อมใจและทนทุกข์ของพระเยซูนี้
จะเป็นที่หนุนใจพี่น้องคริสเตียนที่ต้องทนทุกข์และเผชิญการข่มเหงจากโรมในขณะนั้น
ท่านหนุนใจให้เขาอดทนและเลียนแบบพระเยซูคริสต์ในการรับใช้อย่างถ่อมใจ
และอดทนต่อการข่มเหงต่างๆ (1.12-13, 3.22, 10.30,33-34,
13.11-13) และยังยืนยันว่าพระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าใช้มา
1.3 ผู้รับ เห็นได้ชัดว่ามาระโกเขียนพระกิตติคุณนี้ถึงคริสตจักรโรมหรือคริสเตียนต่างชาติที่อยู่ในกรุงโรมอ่าน
ดูได้จากการใช้คำศัพท์ภาษาลาตินมากมาย (4.21, 12.14, 6.27, 15.39,44,45) และมีการอธิบายธรรมเนียมของยิว
(7.2-4, 15.42) ทั้งมีการแปลความหมายของคำจากภาษาอารเมคให้ผู้อ่านได้เข้าใจ
(3.17, 5.41, 7.11,34,
15.22)
1.4 เวลาที่เขียน เชื่อว่าเขียนขึ้นประมาณ ค.ศ.50 กว่า หรือต้นๆ
ค.ศ.60
1.5 ลักษณะพิเศษ พระธรรมมาระโกมีลักษณะเรียบง่าย สั้นกระทัดรัด
เน้นการกระทำของพระเยซูมากกว่าคำสอน เน้นสภาพของพระเยซูในฐานะมนุษย์ (4.38,
8.12, 10.14,21)
มาระโกไม่ได้บันทึกการกำเนิดของพระเยซูคริสต์และไม่ได้บันทึกลำดับเชื้อวงศ์ของพระองค์ด้วย
(อาจเป็นเพราะ เมื่อต้องการเน้นสภาพแห่งผู้รับใช้ของพระองค์
จึงไม่จำเป็นต้องลำดับเชื้อสายและการกำเนิด) เน้นความผิดพลาดหรือความบกพร่องของเปโตรและพวกสาวก
(4.40, 8.33,10.35-37) เน้นเรื่องกางเขน (8.31,
9.31, 10.33-34, 14.1-2) เน้นการเป็นสาวก (8.34-38, 9.35-10.31,
10.42-45) เน้นเรื่อการต่อสู้กับมาร
(1.12-13,23-26, 3.11,5.2-13,
7.25-31, 9.17-29) เน้นเรื่องพระบุตรของพระเจ้า (1.1,11,
3.11, 5.7, 9.7,
13.32, 15.39)
พระธรรมเล่มนี้เน้นการกระทำของพระเยซูคริสต์
-
บันทึกว่าพระเยซูมีพระราชกิจมากมายจนไม่มีเวลารับประทานอาหาร (3.20, 6.31)
-
บันทึกการอัศจรรย์ถึง 18 เรื่อง
-
ส่วนเรื่องคำสอนของพระองค์ มาระโกไม่ได้ให้รายละเอียดไว้มากนัก
มาระโกยังบันทึกเรื่องราวที่เป็นจริงโดยไม่ปิดบัง
-
กล่าวถึงความโง่เขลาของบรรดาสาวก (4.13, 6.52, 8.17, 21, 9.10,32)
-
บรรดาสาวกวิพากวิจารณ์พระเยซู (4.38, 5.31)
และยังบันทึกการแสดงออกของพระเยซูในด้านความรู้สึก
อารมณ์ของมนุษย์อย่างสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ
- ทรงเปี่ยมด้วยความสงสาร (1.41,
6.34, 8.2)
- ทรงถอนหายใจ (7.34,
8.12)
- ทรงหิวและเหน็ดเหนื่อย (4.38,
6.31, 11.12)
- ทรงสนพระทัยในเด็กๆ (9.36,
10.14-16)
2. โครงเรื่องของพระธรรมมาระโก
1. การเริ่มต้นพันธกิจของพระเยซูคริสต์ (บทที่
1.1-13)
1.1 ผู้เตรียมทางของพระองค์ บทที่ 1.1-8
1.2
การรับบัพติศมา บทที่
1.9-11
1.3 พระเยซูถูกทอลอง บทที่
1.12-13
2. พันธกิจของพระเยซูในกาลิลี (บทที่
1.14-6.29)
2.1
พันธกิจในกาลิลีช่วงต้นๆ (บทที่ 1.14-3.12)
ก. การทรงเรียกสาวกคนแรก บทที่
1.14-20
ข. การอัศจรรย์ในคาเปอรนาอูม บทที่ 1.21-34
ค.
การเดินทางประกาศทั่วกาลิลี บทที่
1.35-45
ง. พันธกิจในคาเปอรนาอูม บทที่ 2.1-22
จ.
ข้อโต้แย้งเรื่องวันสะบาโต บทที่
2.23-3.12
2.2 พันธกิจในกาลิลีช่วงท้ายๆ (บทที่
3.13-6.29)
ก.
การเลือกสาวกทั้ง 12 คน บทที่
3.13-19
ข.
การสอนในคาเปอรนาอูม บทที่
3.20-35
ค.
คำอุปมาเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า บทที่
4.1-34
ง.
การเดินทางข้ามทะเลกาลิลี บทที่
4.35-5.20
จ.
การอัศจรรย์ต่างๆที่กาลิลี บทที่
5.21-43
ฉ.
คนในเมืองไม่เชื่อพระองค์ บทที่
6.1-6
ช.
ทีมอัครสาวกประกาศในกาลิลี บทที่
6.7-13
ซ.
การตอบสนองของกษัตริย์เฮโรด บทที่
6.14-29
3. การถอนตัวจากกาลิลี (บทที่ 6.30-9.32)
3.1 สู่ฝั่งตะวันออกของทะเลกาลิลี บทที่
6.30-52
3.2 สู่ฝั่งตะวันตกของทะเลกาลิลี บทที่
6.53-7.23
3.3 สู่โฟนีเซีย บทที่
7.24-30
3.4 สู่แคว้นดีคาโพลิส บทที่
7.31-8.10
3.5 สู่เมืองซีซารียาฟิลิปปี บทที่
8.11-9.32
4. พันธกิจสุดท้ายในกาลิลี (บที่ 9.33-50)
5. พันธกิจของพระเยซูในยูเดียและเพอเรีย
(บทที่ 10)
5.1
คำสอนเกี่ยวกับการหย่าร้าง บทที่
10.1-12
5.2 คำสอนเกี่ยวกับเด็ก บทที่
10.13-16
5.3 เศรษฐีหนุ่ม บทที่
10.17-31
5.4 คำทำนายเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ บทที่ 10.32-34
5.5
คำขอของสาวก 2 คน บทที่
10.35-45
5.6
การรักษาดวงตาของบารทิเมอัส บทที่
10.46-52
6. สัปดาห์สุดท้ายของพระเยซู (บทที่ 11.1-11)
6.1 การเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม บทที่
11.1-11
6.2 การชำระพระวิหาร บทที่
11.12-19
6.3 การโต้แย้งกับผู้นำชาวยิว บทที่
11.20-12.44
6.4 คำสอนเกี่ยวกับยุคสุดท้าย บทที่
13
6.5 การเจิมพระเยซู บทที่
14.1-11
6.6 การถูกจับ สอบสวนและการสิ้นพระชนม์ บทที่
14.12-15.47
7.
การคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ (บทที่ 16)
3. บทสรุป
ข่าวประเสริฐไม่ได้ให้หลักประกันว่าจะไม่มีความยากลำบากและการข่มเหงเกิดขึ้นในชีวิตของคุณและก็ไม่ได้รับรองว่าคุณจะไม่สูญเสียเพื่อน ครอบครัว
บ้านหรือความมั่งคั่งของคุณไปและแม้แต่ชีวิตของคุณเอง แต่ข่าวประเสริฐยืนยันว่าสิ่งที่คุณเสียไปเพราะเห็นแก่ความเชื่อและข่าวประเสริฐ
คุณจะได้รับการตอบแทนหลายเท่านัก
ชีวิตที่ต้องเสียไปไม่ใช่เรื่องที่น่าเศร้าที่สุด
แต่การมีชีวิตที่ยืนยาวโดยอยู่อย่างไร้ความหมายและอยู่เพื่อตนเองเท่านั้นต่างหากที่เป็นเรื่องน่าเศร้าที่สุด
คนอย่างนั้นจะใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังและต้องตายไปโดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
การที่เรามีความกล้าที่จะเชื่อและประกาศข่าวประเสริฐ
เป็นผลสืบเนื่องมาจากความเชื่อศรัทธาและรู้ว่า ไม่ว่าเราจะเสียสละสิ่งใด
สิ่งนั้นจะคุ้มค่าเสมอเพราะพระเจ้าทรงยืนยันเช่นนั้น
*** สำหรับข่าวประเสริฐ - จงเชื่อ เสียสละเพื่อ และประกาศออกไป ***
No comments:
Post a Comment