Tuesday, December 20, 2011

พระธรรมโยนาห์

โยนาห์   แปลว่า นกพิราบ
-          เป็นผู้รับใช้จากเมือง กัท-เฮเฟอร์ (เผ่าเศบูลุน)
-          เป็นบุตรของอามิททัย
-          อยู่ในรัชสมัยของเยโรโบอัมที่ 2 (793-753 กคศ.)
-          ผู้เผยพระวจนะร่วมสมัย คือ โฮเชยา   อาโมส      
-          ได้รับบัญชาให้ประกาศต่อนีนะเวห์เมืองหลวงของอัสซีเรีย       
-          เป็นผู้เผยพระวจนะคนเดียวในพระคัมภีร์เดิมที่วิ่งหนีพระเจ้า
-          เป็นผู้เผยพระวจนะคนเดียวในกลุ่มผู้พยากรณ์น้อยที่พระเยซูทรงอ้างอิงถึง     (มธ 12:40-41 , ลก 11:29-32)
โยนาห์  บุรุษผู้รักชาติ
                ในบั้นปลายชีวิตการรับใช้ของโยนาห์ ท่านได้มองย้อนกลับไปสู่จุดพลิกผันในการรับใช้ของท่าน เป็นการบันทึกประสบการณ์ของท่านมากกว่าคำเผยพระวจนะ
                โยนาห์ เป็นผู้เผยพระวจนะที่ไม่เหมือนกับที่เราวาดภาพไว้ว่าผู้เผยพระวจนะทั้งหลายของพระเจ้าควรจะเป็น ท่านแตกต่างจากผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆอย่างสิ้นเชิง ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะโดยตัวตนของท่านเองมากกว่าสิ่งที่ท่านพูด
เนื้อหาในพระธรรมโยนาห์              
ในสมัยของโยนาห์ อิสราเอลมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ทำให้พวกเขาแสวงหาแต่ความสุขสบายโดยไม่สนใจผู้อื่นและไม่สนใจที่จะช่วยให้ชาติอื่นๆได้รู้จักกับพระเจ้า แม้จะรู้ว่าความพินาศกำลังจะมาถึงพวกเขาเหล่านั้น
เมื่อพระวจนะจากพระเจ้ามาถึงท่านให้ไปประกาศกับอัสซีเรียผู้ชั่วร้ายและโหดเหี้ยม โดยสั่งให้ท่านไปที่เมืองหลวงของอัสซีเรียคือกรุงนีนะเวห์เพื่อประกาศให้เขากลับใจ เลิกประพฤติชั่ว ไม่เช่นนั้นพระเจ้าจะทรงพิพากษาภายใน 40 วัน โยนาห์คงจะตกใจเมื่อได้รับบัญชานี้ แท้ที่จริงแล้วความเชื่อของชนชาติอิสราเอลเองก็ย่ำแย่มาก ซึ่งก่อนหน้านี้พระเจ้าได้ส่งผู้รับใช้ของพระองค์ คือ โฮเชยาและอาโมส มาเตือนชาวอิสราเอลถึงการพิพากษาที่จะมาถึงเขา อาโมสได้เตือนว่า พระเจ้าจะทรงส่งอิสราเอลไปเป็นเชลยที่เมืองดามัสกัส และโฮเชยาเองก็ได้ย้ำว่าผู้ที่จะมารุกรานอิสราเอลคืออัสซีเรีย จากคำพยากรณ์ของโฮเชยาและอาโมสนี่เอง ทำให้โยนาห์รู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับชาติของตนเองและไม่ยอมไปประกาศกับชาวนีนะเวห์  เพราะเกรงว่าจะเป็นการไปช่วยศัตรูที่จะมาทำลายชนชาติของเขาในเวลาต่อมา ท่านไม่อยากให้อัสซีเรียพ้นโทษที่พวกเขาจะได้รับเพราะความโหดเหี้ยมที่ได้กระทำต่อชาติอื่นๆ

ในพระธรรมโยนาห์เป็นเรื่องที่แสดงถึงสภาพจิตวิญญาณอันน่าเศร้าของชนชาติอิสราเอล เป็นสถานการณ์ซึ่งสะท้อนให้เห็นการไม่เชื่อฟังคำสั่ง ซึ่งสมควรจะได้รับการตีสอนจากพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง  โยนาห์เองก็เช่นเดียวกัน เป็นที่รู้จักไม่ใช่เพราะการเชื่อฟัง แต่เพราะการที่ท่านวิ่งหนีพระเจ้า เป็นคนหัวรั้น ไม่เชื่อฟัง
โยนาห์เปรียบเสมือนภาพตัวแทนของชนชาติอิสราเอล เมื่อได้รับคำสั่งที่ชัดเจนจากพระเจ้าแต่ท่านไม่ทำตาม เหมือนเช่นชาวอิสราเอลที่มีนิสัยและลักษณะของความดื้อดึง กบฏและไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงที่พระเจ้าได้ตรัสสั่งมาทางโมเสส จนพระเจ้าได้ตรัสใน อพยพ 32.9 ว่า เราเห็นประชากรนี้แล้ว นี่แหละเขาเป็นชนชาติหัวแข็ง
เมื่อพระเจ้าสั่งโยนาห์ให้ลุกขึ้นและไปประกาศกับนีนะเวห์ โยนาห์ก็ลุกขึ้นแต่กลับไปยังเมืองยัฟฟาและลงเรือกำปั่นที่กำลังจะเดินทางไปเมืองทารชิช   ซึ่งอยู่คนละทิศทางและห่างไกลจากนีนะเวห์ เป็นการจงใจที่จะปฏิเสธและขัดขืนต่อคำสั่งของพระเจ้า โยนาห์เลือกที่จะเดินนอกเส้นทางของพระเจ้าและเดินในทางที่ตกต่ำลง ระหว่างการเดินทางในทะเล พระเจ้าทรงขับกระแสลมและทำให้เกิดพายุใหญ่จนพวกลูกเรือคิดว่าเรือจะต้องอัปปาง ต่างคนต่างอ้อนวอนทูลขอต่อพระของตน แต่ปฏิกิริยาของโยนาห์กลับตรงข้ามกับพวกลูกเรือ คือ ท่านนอนหลับสบายอยู่ข้างในเรือโดยไม่สนใจต่อพายุที่โหมกระหน่ำจนเรือจะอัปปาง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถมองได้ว่าท่านเฉื่อยชา ไม่สนใจคนรอบข้างที่กำลังจะพินาศ และเป็นบทเรียนอย่างดีที่จะสอนใจคริสเตียนให้กระตือรือร้นในการช่วยผู้คนให้ได้รับความรอดและพ้นจากความพินาศ ซึ่งเปรียบเสมือนลูกเรือที่กำลังอ้อนวอนพระองค์ใดก็ได้ที่จะช่วยให้เขาพ้นจากพายุร้ายนั้น
เมื่อมีการจับสลากหาต้นเหตุที่ทำให้เกิดภัยในครั้งนี้ สลากได้ตกแก่โยนาห์ ตัวโยนาห์เองอ้างว่าท่านเป็นผู้ที่นมัสการพระเจ้าผู้ทรงสร้างทะเลและแผ่นดินแห้ง แต่การประพฤติของท่านกลับไม่สอดคล้องเพราะท่านไม่ได้เชื่อฟังพระเจ้าที่ท่านนมัสการเลย ซึ่งเราจะเห็นว่าสิ่งนี้ก็เกิดกับผู้เชื่อทุกยุคทุกสมัยรวมทั้งยุคปัจจุบันด้วย
โยนาห์ยอมรับผิดต่อลูกเรือและเสนอให้พวกเขาโยนท่านลงทะเลเพื่อพายุจะได้สงบ  แต่ลูกเรือทั้งหลายซึ่งเป็นคนต่างชาติ กลับมีความห่วงใยต่อชีวิตของโยนาห์และยำเกรงต่อพระเจ้าของโยนาห์ โดยพยายามช่วยกันตีกรรเชียงเพื่อนำเรือเข้าฝั่ง แม้คนต่างชาติที่ไม่มีพระเจ้าก็ยังรู้จักห่วงใยต่อชีวิตของคนๆหนึ่ง ซึ่งตรงข้ามกับโยนาห์ที่ไม่รู้สึกห่วงใยต่อชาวนีนะเวห์เป็นแสนๆคน และขาดความยำเกรงพระเจ้า
สุดท้ายเมื่อพายุไม่สงบแต่กลับรุนแรงขึ้น ลูกเรือเห็นว่าไม่มีทางที่จะทำให้เขารอดได้ ลูกเรือจึงต้องโยนโยนาห์ลงสู่ทะเลพายุจึงสงบ พระเจ้าทรงให้ปลาใหญ่มากลืนโยนาห์ลงไป เป็นการช่วยชีวิตของโยนาห์จากห้วงทะเล จากเหตุการณ์ที่ไม่น่าเป็นไปได้นี้ทำให้โยนาห์เองแน่ใจว่าพระเจ้าทรงต้องการรักษาชีวิตเขาไว้และให้เขาปฎิบัติตามคำบัญชาของพระองค์ โยนาห์จึงได้อธิษฐานและกลับใจในท้องปลานั้น พระเจ้าทรงให้ปลาคายเขาออกที่ริมฝั่งอย่างปลอดภัย
 จากเหตุการณ์ทั้งหลายที่ผ่านมา เราจะเห็นถึงการทรงครอบครองของพระเจ้ามาตลอด ตั้งแต่การทรงเรียกโยนาห์ การเกิดพายุใหญ่ สลากที่ตกแก่โยนาห์ ทะเลสงบเมื่อโยนาห์ถูกโยนลงทะเล ปลาใหญ่กลืนโยนาห์ และคายโยนาห์ออกที่ริมฝั่งอย่างปลอดภัย แม้เหตุการณ์ต่างๆที่โยนาห์ประสบนั้น จะเป็นข้อกังขากับหลายคนหลายฝ่ายที่พยายามจะหาหลักฐาน เหตุผล กับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเหลือเชื่อนี้ แต่สำหรับเราซึ่งเป็นผู้เชื่อนั้น กลับมองเห็นถึงการทรงครอบครองสูงสุดของพระเจ้าเหนือสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง และทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์
เมื่อโยนาห์ได้หันกลับมาหาพระเจ้าและยอมทำตามพระบัญชาที่พระองค์ทรงบัญชาอีกครั้ง ท่านเชื่อฟังและออกเดินทางไปยังนครใหญ่นีนะเวห์ซึ่งห่างจากเมืองยัฟฟาประมาณ 20 ไมล์ เมื่อถึงนีนะเวห์ท่านใช้เวลา 3 วันในการประกาศทั่วนครใหญ่นี้ โยนาห์ได้ประกาศให้ประชาชนกลับใจไม่เช่นนั้นนีนะเวห์จะพินาศใน 40 วัน ชาวนีนะเวห์ตั้งแต่กษัตริย์จนถึงสามัญชนได้ร่วมใจกันอดอาหารอธิษฐานและหันกลับจากความชั่วร้าย นุ่งห่มผ้ากระสอบนั่งบนกองขี้เถ้าแสดงถึงการกลับใจ เพื่อขอพระเมตตาจากพระเจ้าของโยนาห์ให้ละเว้นการลงโทษ และพระเจ้าทรงคลายพระพิโรธไม่ลงโทษนีนะเวห์เหมือนที่ไม่ลงโทษโยนาห์เมื่อท่านกลับใจ เราจะเห็นว่าเมื่อมีผู้กลับใจพระเจ้าทรงยกโทษให้ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร
แต่เหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงอภัยไม่ทำลายนีนะเวห์นั้น  สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งแก่โยนาห์ แทนที่โยนาห์จะยินดีเพราะสิ่งที่ผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆต้องการเห็นคือ การกลับใจของประชาชนเมื่อเขาได้ประกาศและเผยพระวจนะ แต่โยนาห์กลับรู้สึกตรงข้าม ท่านโกรธมากและอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า ข้าแต่พระเจ้า เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่ในประเทศของข้าพระองค์ ข้าพระองค์พูดแล้วว่าจะเป็นไปเช่นนี้มิใช่หรือ นี่แหละเป็นเหตุให้ข้าพระองค์ได้หนีไปเมืองทารชิช เพราะข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้กอปรด้วยพระคุณ และทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ ข้าแต่พระเจ้า เพราะฉะนั้น บัดนี้ ขอพระองค์ทรงเอาชีวิตของข้าพระองค์ไปเสีย เพราะว่าข้าพระองค์ตายเสียก็ดีกว่าอยู่  และพระเจ้าตรัสว่า การที่เจ้าโกรธเช่นนี้ดีอยู่หรือ โยนาห์อาจจะรู้สึกว่าสิ่งที่ท่านได้ประกาศต่อชาวนีนะเวห์นั้นไม่สำเร็จเป็นจริง นีนะเวห์ไม่ได้ถูกทำลายตามคำเผยพระวจนะนั้น    แต่แท้ที่จริงแล้วการที่ชาวนีนะเวห์ได้กลับใจจากความชั่วร้ายนั้น เป็นสิ่งที่วิเศษและยิ่งใหญ่กว่ามากมาย
แล้วโยนาห์ก็ออกไปนอกเมือง นั่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองนั้นและทำเพิงไว้เป็นที่พัก ท่านยังหวังว่าพระเจ้าจะเปลี่ยนพระทัยและทำลายกรุงนีนะเวย์เสีย ท่านนั่งอยู่ใต้เพิงเพื่อคอยดูว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างไรขึ้นต่อเมืองนั้นเมื่อสิ้นสุด 40 วัน
เมื่อโยนาห์ยังมีจิตใจแข็งกระด้างไม่เชื่อฟัง พระเจ้าจึงให้บทเรียนที่จะสอนโยนาห์ พระองค์ได้ทรงบันดาลให้ต้นละหุ่งต้นหนึ่งงอกขึ้นมาเหนือโยนาห์ ให้เป็นที่กำบังและบรรเทาความทุกข์ยากเพราะเวลานั้นอากาศร้อนมาก โยนาห์จึงมีความยินดียิ่งนักเพราะต้นละหุ่งต้นนี้ เราจะเห็นว่าพระเจ้ายังทรงห่วงใยเสมอแม้เราจะไม่เชื่อฟัง พระองค์ก็ยังคงคอยดูแลทุกข์สุข เป็นร่มเงาในชีวิตของเรา
พอเช้าวันรุ่งขึ้น พระเจ้าทรงให้มีหนอนตัวหนึ่งมากัดกินต้นละหุ่งต้นนั้นจนมันเหี่ยวเฉาไป เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น  พระเจ้าได้ทรงบันดาลให้ลมตะวันออกร้อนจัดพัดมา   แสงแดดก็ส่องลงมาจนโยนาห์อ่อนเพลียจึงทูลพระเจ้าขอให้ท่านตายเสียเถิด  แต่พระเจ้าตรัสว่า ที่เจ้าโกรธเพราะต้นละหุ่งนั้นดีอยู่แล้วหรือ ท่านทูลว่า ที่ข้าพระองค์โกรธถึงอยากตายนี้ดีแล้ว  พระเจ้าจึงตรัสว่า เจ้าหวงต้นไม้ซึ่งเจ้าไม่ได้ลงแรงปลูกหรือไม่ได้ทำให้มันเจริญ มันงอกเจริญขึ้นในคืนเดียวแล้วก็ตายไปในคืนเดียวดุจกัน ไม่สมควรหรือที่เราจะหวงเมืองนีนะเวห์นครใหญ่นั้น ซึ่งมีพลเมืองมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน……..

**เรามีท่าทีอย่างไรเมื่อพระเจ้าทรงเมตตาคนที่เราคิดว่าสมควรที่จะถูกลงโทษ ??
  หากเราไม่พอใจ ............แสดงว่าเราลืมไปว่า พระเจ้าทรงให้อภัยเรามากเพียงใด
  พระคุณล้ำเลิศของพระเจ้านั้น ยิ่งใหญ่กว่าบาปทั้งสิ้นของเรา
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
 ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้น ก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ (เอเฟซัส 2.8)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
ด้วยพระคุณของพระเจ้า ความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อเรา เราจึงควรเมตตาต่อกัน มีน้ำใจต่อกัน และอภัยโทษให้กันและกัน เหมือนดังที่พระเจ้าทรงโปรดอภัยโทษให้แก่เราเพราะเห็นแก่พระคริสต์

                                                            วิจิตร วารินทร์ศิริกุล

No comments:

Post a Comment