เมื่อเราตกหลุมรักใครสักคน ดูเหมือนโลกทั้งโลกจะมีแต่เขาหรือเธอคนนั้น คิดถึงเสมอ เห็นอะไรหรือมีอะไรก็อยากบอกอยากเล่าให้ฟัง อยากใช้เวลาด้วยกันกับเขา นั่นเป็นเพราะอาการตกหลุมรักทำให้เราให้ความสำคัญและเห็นคนนั้นเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเรา ทำให้อะไรหลายอย่างในชีวิตของเราเปลี่ยนไป เวลานี้เรากำลังตกหลุมรักใคร ระหว่างพระเจ้ากับโลกนี้และสิ่งของของโลก สิ่งนั้นย่อมมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในแต่ละวันของเราอย่างแน่นอน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น
ยอห์นใช้คำ 3 คำ คือ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น
เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก
และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์" (1 ยอห์น 2:15-17)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ยอห์นใช้คำ 3 คำ คือ
1. ตัณหาของเนื้อหนัง หมายถึง การยึดติดกับนิสัยบาป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ ความโกรธ ความเกลียดชัง การอิจฉาริษยา เป็นต้น
2. ตัณหาของตา หมายถึง การหมกหมุ่นกับการหาสิ่งต่างๆมาสนองความต้องการฝ่ายร่างกาย ผู้คนปัจจุบันถูกจูงใจด้วยการได้เห็นและการได้ยินโฆษณาชวนเชื่อ การดูและเห็นสิ่งต่างๆแล้วกระตุ้นให้เกิดความโลภ คนมากมายเป็นหนี้สิน เพราะต้องการซื้อหาสิ่งของมาเพื่อสนองความต้องการของตน
3. ความทะนงในลาภยศ หมายถึง การลุ่มหลงในสถานภาพและความสำคัญของตัวเอง อยากให้คนอื่นยกย่อง โอ้อวดในสิ่งที่ตนทำหรือสิ่งที่มี เห็นตัวเองสำคัญมากกว่าการถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเห็นแก่หน้าตา ชื่อเสียงของตนมากกว่าการให้ความสำคัญแก่ผู้อื่น
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เหตุผล 2 ประการที่กำชับไม่ให้เรารักโลกและสิ่งของของโลกคือ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เหตุผล 2 ประการที่กำชับไม่ให้เรารักโลกและสิ่งของของโลกคือ
1. เพราะผู้ที่รักโลกไม่มีความรักของพระบิดาอยู่ภายใน
2. เพราะสิ่งนั้นไม่คงทนถาวรและจะสูญสลายไปในที่สุด
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ยอห์นต้องการให้เราเห็นว่าการรักพระเจ้าและการรักโลกเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกัน และเป็นไปไม่ได้ที่เราจะยึดสองสิ่งนี้ในเวลาเดียวกัน และในพระธรรม มัทธิว 6:24 ได้สอนเรื่องข้าสองเจ้าบ่าวสองนายไว้ว่า เราจะให้ทั้งโลกและพระเจ้าเป็นนายในเวลาเดียวกันไม่ได้
เราต้องมีท่าทีและทัศนคติที่ถูกต้องกับสิ่งนั้น เพราะทุกสิ่งเป็นของประทานจากพระเจ้า เราต้องรับไว้ด้วยท่าทีที่ขอบพระคุณพระเจ้า และคิดเสมอว่าสิ่งนั้นเป็นของพระเจ้าไม่ใช่ของตัวเราเอง ไม่หมกหมุ่นหรือเสพติดจนขาดมันไม่ได้ และหากสิ่งนั้นเป็นเงิน ก็ไม่ควรใช้เพื่อโอ้อวดหรือเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองเท่านั้นโดยไม่สำแดงความรักด้วยการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้ยากไร้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ยอห์นต้องการให้เราเห็นว่าการรักพระเจ้าและการรักโลกเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกัน และเป็นไปไม่ได้ที่เราจะยึดสองสิ่งนี้ในเวลาเดียวกัน และในพระธรรม มัทธิว 6:24 ได้สอนเรื่องข้าสองเจ้าบ่าวสองนายไว้ว่า เราจะให้ทั้งโลกและพระเจ้าเป็นนายในเวลาเดียวกันไม่ได้
เราต้องมีท่าทีและทัศนคติที่ถูกต้องกับสิ่งนั้น เพราะทุกสิ่งเป็นของประทานจากพระเจ้า เราต้องรับไว้ด้วยท่าทีที่ขอบพระคุณพระเจ้า และคิดเสมอว่าสิ่งนั้นเป็นของพระเจ้าไม่ใช่ของตัวเราเอง ไม่หมกหมุ่นหรือเสพติดจนขาดมันไม่ได้ และหากสิ่งนั้นเป็นเงิน ก็ไม่ควรใช้เพื่อโอ้อวดหรือเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองเท่านั้นโดยไม่สำแดงความรักด้วยการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้ยากไร้
เราจะต้องดำเนินชีวิตด้วยการขอบพระคุณ ไม่ว่าจะร่ำรวย การศึกษาสูง ฐานะทางสังคมดี แต่ชีวิตของเราต้องสำแดงพระคุณของพระเจ้า ไม่ให้สิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้นั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เราเย่อหยิ่ง อวดตัว ทับถมคนอื่นที่ด้อยกว่า แต่ต้องให้สิ่งเหล่านั้นเสริมเราในการรับใช้พระเจ้าและพี่น้อง เพื่อชีวิตของเราจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเนื่องจากสิ่งเหล่านั้น
คริสเตียนต้องให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่งในชีวิต
คริสเตียนต้องให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่งในชีวิต
No comments:
Post a Comment