Monday, December 14, 2015

แตรทั้งเจ็ด

สัปดาห์ที่ 8     แตรทั้งเจ็ด                                                     ชั้น พระธรรมวิวรณ์ คริสตจักรพลับพลา
                ภัยพิบัติที่ผ่านมาในบทที่ 6-7 ที่เกิดจากการแกะตราทั้งเจ็ดล้วนแต่เป็นผลแห่งความบาปของมนุษย์ แต่ภัยพิบัติจากแตรเป็นสิ่งที่มาจาพระเจ้าโดยตรง เราจะเห็นว่าเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนแต่พระเจ้าทรงใช้ลงโทษมาก่อนในยุคแรก เช่น ภัยพิบัติที่เกิดแก่อียิปต์ คือ ลูกเห็บ ตั๊กแตน ในสมัยของอาโมส พระเจ้าก็ได้ใช้ภัยธรรมชาติเพื่อกระตุ้นเตือนคนอิสราเอลให้หันกลับมาหาพระเจ้า เช่น การกันดารอาหาร รา ตั๊กแตน ความแห้งแล้ง โรคระบาด แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้หันจากความบาป ซึ่งภัยธรรมชาติก็เป็นเหมือนพระสุรเสียงที่เตือนให้มนุษย์กลับใจก่อนการพิพากษาใหญ่จะมาถึง
แตรทั้งเจ็ด (8.6-10.11)
                เหตุการณ์ในแตรคันที่หนึ่งถึงสี่นั้น เป็นภัยธรรมชาติที่มาถึงแผ่นดิน ทะเล แม่น้ำ ลาธารและแหล่งน้ำต่างๆ รวมทั้งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว โดยพระเจ้าทรงอนุญาตให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น เราจะเห็นถึงการทรงครอบครองเหนือสิ่งสารพัดและเหตุการณ์ทั้งปวงของพระเจ้า
                แตรคันที่หนึ่ง (8.6-7)  ลูกเห็บและไฟปนเลือด
                เมื่อทูตสวรรค์เป่าแตร ลูเห็บและไฟปนเลือดตกลงมาบนแผ่นดิน เป็นผลให้แผ่นดินโลกไหม้ไปหนึ่งในสามส่วน ทั้งต้นไม้และหญ้าเขียวสดด้วย (คำว่า หญ้าเขียวสดไหม้ไปหมดสิ้น คงหมายถึงทั้งหมดของหนึ่งในสามส่วนนั้น เพราะเมื่อเป่าแตรคันที่ห้า พระเจ้าทรงห้ามฝูงตั๊กแตนไม่ให้ทำร้ายหญ้าบนแผ่นดินโลก) มนุษย์มักจะคิดว่าสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่จะเห็นจากภัยธรรมชาติว่าความสามารถของมนุษย์นั้นยังจำกัดอยู่ ตามคำพยากรณ์ของ      โยเอล 2.30 เราจะสำแดงลางอัศจรรย์ ในท้องฟ้าและบนดิน เป็นเลือดและไฟและลำควันà เมื่อใกล้เวลาที่พระคริสต์จะเสด็จมาครั้งที่สอง จะมีภัยธรรมชาติที่น่ากลัวเกิดขึ้นมากมาย
                แตรคันที่สอง (8.8-9)  ภูเขาใหญ่ลุกไหม้ถูกทิ้งลงไปในทะเล
                เมื่อทูตสวรรค์เป่าแตร ยอห์นได้เห็นสิ่งหนึ่งเหมือนภูเขาใหญ่กำลังลุกไหม้และถูกทิ้งลงไปในทะเล à อาจจะเป็นลูกไฟที่ตกจากฟ้าลงสู่ทะเล หรืออุกาบาตรที่กำลังลุกไหม้ตกลงมา หรือเป็นไปได้ที่อาจจะเป็นระเบิดนิวเคลียร์ที่ถูกยิงแล้วตกลงสู่ทะเล จะเป็นสิ่งใดก็ตาม ก็มีผลทำให้หนึ่งในสามส่วนของทะเลกลายเป็นสีเลือด หนึ่งในสามส่วนของสัตว์ทะเลตายลง และหนึ่งในสามส่วนของเรือกำปั่นแตกพินาศไป ทำให้เกิดปัญหามากมายทั้ง อาหาร การขนส่ง มลภาวะและระบบเศรษฐกิจ
                ถ้าเราอยู่ในเหตุการณ์นี้ จะทำอย่างไร ?? ........(สดุดี 46.1-2)
                แตรคันที่สาม (8.10-11)  ดาวใหญ่และเปลวไฟลุกโพลงตกลงแม่น้ำ
                เมื่อทูตสวรรค์เป่าแตร ดาวใหญ่ดวงหนึ่งเป็นเปลวไฟลุกโพลงดุจใต้ สิ่งนี้ตกลงมาบนแม่น้ำหนึ่งในสามส่วนและบ่อน้ำพุทั้งหลาย เป็นการทำลายห้วงน้ำอื่นๆที่ไม่ใช่ทะเล ดาวนั้นชื่อ บอระเพ็ด à เป็นพืชที่มีรสขม เกิดในทะเลทราย เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความเศร้าสลดและขมขื่น (สภษ 5.4, ฉธบ 29.18) เป็นการพิพากษาที่น่าสะพรึงกลัวอีกประการหนึ่ง ที่จบลงด้วยการสูญเสียทั้งผู้คน สัตว์ละทรัพย์สินจำนวนมาก น้ำดื่มที่จำเป็นสำหรับมนุษย์และสัตว์กลับกลายเป็นพิษ
                แตรคันที่สี่ (8.12)  ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวมืดไปหนึ่งในสามส่วน
                เมื่อทูตสวรรค์เป่าแตร ระบบสุริยะจักรวาลมีปัญหา ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว มืดไปหนึ่งในสามส่วน ซึ่งต้องมีผลกระทบต่อแผ่นดินโลกแน่นอน เพราะการขาดพลังงานจากแสงอาทิตย์จะนำปัญหามากมายตามมาทันที ไม่ว่าจะเป็น ความหนาวเย็น อากาศเป็นพิษ
                อาโมสได้บรรยาย วันแห่งพระเจ้า ว่า เป็นวันแห่งความมืด อาโมส 5.18
** วิวรณ์ 8.13 เป็นการประกาศถึงแตร 3 คันสุดท้าย มีคำเตือนว่า แตรอีก 3 คันจะตามมาด้วยเหตุการณ์ที่ร้ายแรงและน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าแตร 4 คันที่ผ่านมา  ‘วิบัติ  วิบัติ  วิบัติ ที่นกอินทรีย์ร้อง คือ วิบัติที่จะเกิดขึ้นจากแตรอีก 3 คัน น่าสังเกตว่า แตร 4 คันแรกนั้น เป็นการทำลายสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบๆตัวมนุษย์  แต่แตรที่เหลืออีก 3 คันนั้นจะเป็นการทำลายมนุษย์ที่อยู่บนผ่นดินโลก ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณชั่วที่จะทำร้ายคนที่ไม่มีตราประทับของพระเจ้า
                แตรคันที่ห้า (9.1-12)   ดาวดวงหนึ่งตกจากฟ้า
                วิบัติอย่างที่หนึ่ง เมื่อทูตสวรรค์เป่าแตร ยอห์นได้เห็นดาวดวงหนึ่งตกจากฟ้ามาที่แผ่นดินโลก และพระเจ้าประทานกุญแจช่องบาดาลให้ดาวดวงนั้น    ‘ดาว ในที่นี้เป็นบุคคล ไม่ใช่วัตถุ แม้ในสมัยปัจจุบันเราก็เรียกผู้ที่มีชื่อเสียง นักกีฬา นักแสดงว่าเป็นดาว หรือ superstar ในลูกา 10.18 พระเยซูตรัสว่า เราได้เห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ ดวงที่กล่าวถึงจึงน่าจะหมายถึงซาตานที่ถูกทิ้งลงมาจากสวรรค์ มันได้รับกุญแจสำหรับช่องบาดาล ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกวิญญาณชั่ว เมื่อเปิดช่องบาดาลนั้น วิญญาณชั่วถูกปล่อยออกไปเหมือนควันจากเตาใหญ่ ควันซึ่งทำให้ดวงอาทิตย์อละอากาศมืดไป à คงจะหมายถึงความมืดมัวแห่งการหลอกลวง ความเชื่อผิด ความชั่ว สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์หันไปจากพระเจ้า
-          มีฝูงตั๊กแตนบินออกมาจากควันนั้น และมันถูกห้ามไม่ให้ทำลายพืชผล มันได้รับอำนาจเหมือนแมลงป่อง พระเจ้าทรงอนุญาตให้ฝูงตั๊กแตนทำร้ายคนที่ไม่มีตราประทับของพระเจ้า  มันมีเหล็กใน  คนจะไม่ถูกฆ่าตายแต่จะทรมานตลอด 5 เดือน พวกเขาจะแสวงหาความตายแต่จะไม่พบ ซึ่งเป็นการยืนยันคำตรัสของพระเยซู ใน มัทธิว 24.21 ความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่ง อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มโลกมาจนถึงทุกวันนี้ และเบื้องหน้าจะไม่มีอีกต่อไป
-          ลักษณะของตั๊กแตน หน้าเหมือนมนุษย์ ผมผู้หญิง ฟันสิงห์  ทับทรวงเหล็ก และเสียงปีกเหมือนเสียงรถม้าเป็นอันมาก ยอห์นกำลังอธิบายสิ่งที่เขาเห็น แต่ไม่ได้ตีความหมายแต่ละสิ่ง นี่เป็นภาพสะท้อนถึงอำนาจเหนือธรรมชาติที่น่ากลัวของซาตาน
-          พวกวิญญาณชั่วมีกษัตริย์ที่ปกครองมันชื่อ อาบัดโดน ชื่อกรีกว่า อปอลลิโยน ซึ่งทั้ง 2 คำแปลว่า ผู้ทำลาย
แตรคันที่หก (9.12-21)  แก้มัดทูตสวรรค์ทั้งสี่
วิบัติอย่างที่สอง ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับสงคราม ยอห์นได้ยินเสียงออกมาจากเชิงงอนมุมทั้งสี่ของแท่นทองคำ ทูตสวรรค์องค์ที่หกถูกสั่งให้แก้มัดทูตสวรรค์ทั้งสี่ที่ถูกมัดไว้ที่แม่น้ำยูเฟรติส (ทูตสวรรค์ทั้งสี่คือวิญญาณชั่ว) การปล่อยตัวในครั้งนี้เพื่อให้ฆ่ามนุษย์เสียหนึ่งในสามส่วนโดยพลม้าสองร้อยล้าน
-          ลักษณะของม้า ผู้ขี่สวมทับทรวงสีไฟ สีน้ำเงินและสีกำมะถัน
-          หัวของม้าคล้ายหัวสิงห์ มีไฟ ควัน กำมะถัน พลุ่งออกจากปาก
-          พิษสงของมันอยู่ที่ปากและหาง ซึ่งหางของมันเหมือนงูและมีหัว
จากภาพที่ยอห์นเห็น มันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ม้าธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นภาพของอะไรก็ตาม แต่มันบ่งบอกถึงอำนาจแห่งการทำลายล้างที่รุนแรง
แม้ว่าจะเห็นความรุนแรงในการพิพากษาเพิ่มขึ้น แต่ยอห์นก็ไม่เห็นว่ามนุษย์จะกลับใจใหม่ พวกเขายังคงบูชาผี รูปเคารพ ยังฆ่ากัน ล่วงประเวณี เล่นเวทย์มนต์ โดยไม่มีท่าทีว่าจะสำนึกและกลับใจ คนเหล่านี้มีใจแข็งกระด้างมากเสียจนแม้แต่วิบัติต่างๆที่เกิดขึ้นยังไม่สามารถผลักดันให้เขาหันกลับมาหาพระเจ้าได้ ปกติคนเราจะไม่ลงไปจมปลักกับความผิดบาปและความชั่วโดยทันที แต่จะค่อยๆถลำละพัฒนาไปทีละนิด จนในที่สุดก็ไม่สามารถถอนตัวได้ ใครก็ตามถ้าปล่อยให้บาปหยั่งรากลึกในชีวิตจะตกที่นั่งลำบาก การเล่นกับการทดลองในวันนี้จะกลายเป็นบาปในวันรุ่งขึ้น จากนั้นจะกลายเป็นนิสัยในวันถัดไป  (ยก 1.15)

บทที่ 10  ทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์มากและหนังสือม้วนเล็ก
                ภาพทูตสวรรค์องค์นี้ถูกวาดภาพไว้อย่างงดงาม มีเมฆล้อมรอบตัวท่าน มีรุ้งเหนือศีรษะของท่าน ใบหน้าดุจดวงอาทิตย์ ขาเหมือนเสาไฟ ถือหนังสือม้วนเล็กที่คลี่อยู่ในมือท่าน เท้าขวายืนอยู่บนทะเล เท้าซ้ายยืนอยู่บนบก ทูตองค์นี้ร้องเสียงดังดุจสิงห์ เป็นภาพที่ก่อให้เกิดความน่าเกรงขาม เมื่อทูตองค์นี้ร้องเสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดก็ดังขึ้น ยอห์นถูกห้ามไม่ให้บันทึกเสียงฟ้าร้องนั้น
                ในขณะที่หนังสือวิวรณ์มีจุดประสงค์ในการเปิดเผยพระประสงค์และเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ก็มีบางอย่างที่ยังต้องถูกปิดซ่อนไว้ ทำไม ?? พระคัมภีร์ไม่มีคำตอบ แต่เราสามารถเปรียบเทียบได้กับ ดาเนียล 12.9 พระเจ้าตรัสตอบดาเนียลว่า ถ้อยคำเหล่านั้นถูกปิดไว้แล้วและถูกประทับตราจนถึงวาระสุดท้าย à แผนการของพระเจ้าเราไม่สามารถรู้ได้ทั้งหมด เป็นสิทธิอำนาจของพระองค์ที่จะทรงสำแดงให้เรารู้ได้เท่าไร เราก็จะเข้าใจได้เท่านั้น
          พระเยซูตรัสกับสาวกเช่นเดียวกันว่า เวลาสุดปลายนั้นไม่มีใครทราบ พระเจ้าผู้เดียวทรงทราบ (มก 13.32-33) พระเจ้าทรงเปิดเผยทุกอย่างที่เราจำเป็นต้องทราบ เพื่อจะได้ใช้ชีวิตเพื่อพระองค์ในปัจจุบันนี้ ในขณะที่เราปรารถนาจะเตรียมพร้อมสำหรับวันสุดท้ายนั้น เราต้องไม่ฝักใฝ่ที่จะคาดเดาเกี่ยวกับวาระสุดท้ายมากกว่าการที่จะดำเนินชีวิตที่สัตย์ซื่อในขณะที่เรารอคอยพระองค์
                หนังสือม้วนเล็กเป็นคนละอันกับหนังสือม้วนที่ประทับตราทั้งเจ็ดซึ่งอยู่ที่พระเมษโปดก หนังสือม้วนเล็กนี้บันทึกสิ่งที่ทูตสวรรค์ได้รับบันชาให้กระทำ และกำลังจะเกิดขึ้น
                ทูตสวรรค์องค์นี้ประกาศว่าจะไม่มีการล่าช้าอีกต่อไป จุดประสงค์ของทูตสวรรค์ทรงฤทธิ์นั้นชัดเจน คือ ประกาศถึงการพิพากษาโลกครั้งสุดท้าย เท้าที่เหยียบบนทะเลและแผ่นดินบ่งบอกว่า คำพูดของท่านนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เนรมิตสร้างทั้งหมด ไม่ใช่ส่วนที่จำกัดเหมือนการพิพากษา ตราและแตร แตรคันที่เจ็ดเป็นกำหนดเวลาที่ความล้ำลึกของพระเจ้าจะสำเร็จ เพราะแตรคันที่เจ็ดจะนำการพิพากษาด้วยขันทั้งเจ็ดเข้ามา ซึ่งจะนำโลกปัจจุบันไปถึงจุดสิ้นสุด
ยอห์นได้รับคำสั่งให้กินหนังสือม้วน ท่านได้บรรยายว่า เมื่ออยู่ในปากนั้นมีรสหวานเหมือนน้ำผึ้ง แต่เมื่อกลืนลงไปกลับขม แสดงถึงพระวจนะของพระเจ้ามีรสหวานสำหรับผู้ที่มีความเชื่อ เพราะเป็นพระวจนะที่เปิดเผยให้เห็นถึงพระคุณของพระเจ้าและพระสัญญาอันล้ำค่าที่พระองค์ประทานให้แก่ผู้เชื่อ (สดุดี 119.103)  แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้เชื่อ พระวจนะนั้นจะนำมาซึ่งการพิพากษาสู่พวกเขา  ทั้งเยเรมีย์และเอเสเคียลต่างก็มีประสบการณ์นี้ด้วย (ยรม 15.16, อสค 3.3)

 ผู้รับใช้ ผู้ประกาศ นักเทศน์ อาจจะรู้สึกว่าพระวจนะนั้นมีรสขม เมื่อนึกถึงสิ่งที่ประกาศต่อผู้ที่ไม่เชื่อและอยู่ใต้พระพิโรธของพระเจ้า ญาติพี่น้อง เพื่อน และคนมากมายที่กำลังอยู่ในความพินาศ ซึ่งจะต้องพบกับการพิพากษาอันน่ากลัวของพระเจ้า จึงอดไม่ได้ที่จะทุกข์ใจเพราะสงสารเขาเหล่านั้น (2 คร 12.15-16)

No comments:

Post a Comment