สัปดาห์ที่ 9
พยานทั้งสองและแตรคันที่เจ็ด
ชั้น พระธรรมวิวรณ์
คริสตจักรพลับพลา
พยานทั้งสอง (11.1-14)
วิวรณ์บทที่ 11
เป็นเหมือนการหยุดพักระหว่างฉากของแตรคันที่ 6 และแตรคันที่ 7
ซึ่งนับเป็นตอนที่ยากที่สุดตอนหนึ่งของเรื่องราวที่เกี่ยวกับยุคสุดท้ายในพระธรรมวิวรณ์
ซึ่งต้องตีความหมายตามตัวอักษร
พระวิหารจะถูกสร้างขึ้นใหม่ในช่วงทุกขเวทนาครั้งใหญ่
และเมืองที่กล่าวถึงก็คือเยรูซาเล็ม ช่วงเวลา 42
เดือนและสามวันครึ่งก็ต้องตีความหมายตามตัวอักษร
ส่วนผู้เผยพระวจนะสองคนก็คือบุคลจริงสองบุคคล
การวัดพระวิหาร (11.1-2)
ยอห์นได้รับไม้อ้อท่อนหนึ่งซึ่งเป็นไม้วัดที่มีน้ำหนักเบา
และได้รับคำสั่งให้ไปวัดพระวิหารของพระเจ้ากับแท่นบูชา แต่ไม่ต้องวัดลานชั้นนอก คือวัดเฉพาะวิสุทธิสถานกับอภิสุทธิสถาน
มีเพียงพวกยิวแท้เท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าไปถึงลานชั้นในของพระวิหารได้ ส่วนลานชั้นนอกได้ยกให้ต่างชาติ
(ในพระคัมภีร์เดิมเมื่อพูดถึงคนต่างชาติจะหมายถึงคนที่ไม่ใช่ยิว
และในพระคัมภีร์ใหม่คนต่างชาติหมายถึงผู้ที่ไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์)
เหตุใดจึงต้องวัดพระวิหาร ??
-
การวัด หมายถึง การคุ้มครอง เป็นการแสดงถึงความเป็นเจ้าของและป้องกันไว้
การดูแลรักษาของพระเจ้าคงจะปกป้องอยู่เหนือคนที่เป็นของพระองค์อย่างแท้จริง (อสย
29.13, มธ 7.21-23)
-
การไม่วัด หมายถึง การไม่คุ้มครอง
พระวิหารใน เอเสเคียล
40 ก็ถูกวัดไว้ กรุงเยรูซาเล็มใหม่ ใน วิวรณ์ 21.15-17 ก็ถูกวัดไว้เช่นกัน
วิหารในบทที่ 11 นี้
คือวิหารอะไร ??
ปี คศ. 70
แม่ทัพโรมคือ ทิตัส ได้ทำลายกรุงเยรูซาเล็มและพระวิหารก็ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง
แสดงว่าพระวิหารที่ยอห์นได้เอ่ยถึงในที่นี้
เป็นพระวิหารที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในยุคสุดท้ายช่วงทุกขเวทนาครั้งใหญ่ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมา
ผู้ต่อต้านพระคริสต์ได้สร้างสันติภาพและได้ส่งเสริมอิสราเอลให้สร้างพระวิหารขึ้นมาใหม่เพื่อเอาใจประชาชน
แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน
ผู้ต่อต้านพระคริสต์ก็ได้แสดงธาตุแท้ออกมาโดยการข่มเหงอิสราเอลและเข้าไปเหยียบย่ำพระวิหาร
ซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า (ดนล 9.27)
ตลอด 42 เดือน หรือ
1260 วัน เป็นช่วงครึ่งแรกของสัปตะที่ 70 หรือสัปตะสุดท้ายตามพระธรรมดาเนียล
เป็นช่วงที่ชาวยิวจะครอบครองเยรูซาเล็มไว้และนมัสการในพระวิหารของเขา
และเป็นช่วงเวลาที่ชาวต่างชาติหรือผู้ที่ไม่เชื่อจะเหยียบย่ำวิสุทธินคร
ซึ่งเหมือนบอกเป็นนัยว่าชาวยิวจะได้รับการปฏิบัติต่ออย่างเลวร้ายและพระวิหารจะถูกกระทำให้เป็นมลทิน
ในอดีตระหว่างปี 167-164 กคศ. กษัตริย์แอนติโอกุส เอพิฟาเนส
ได้บุกเข้าไปในพระวิหาร ตั้งรูปเคารพและถวายเนื้อหมูบนแท่นบูชาต่อพระนั้น
และได้พยายามทำลายศาสนาของยิว ฆ่าพวกยิวหลายพันคน ซึ่งทำให้เห็นว่าศัตรูของยิวได้เคยเหยียบย่ำพระวิหารพระเจ้ามาแล้วฉันใด
ศัตรูของพระเจ้าก็จะต่อต้านและทำลาย ‘วิสุทธนคร’ เป็นเวลาสามปีครึ่งในยุคสุดท้ายฉันนั้น
พยานทั้งสอง (11.3-6)
พระเจ้าทรงใช้พยานทั้งสองและทรงประทานอำนาจให้พยานทั้งสองและพวกเขาจะเป็นผู้เผยพระวจนะในช่วง
42 เดือนหรือ 3 ปีครึ่ง พวกเขาแต่งตัวด้วยผ้ากระสอบและถูกเรียกว่า ต้นมะกอกเทศสองต้นและคันประทีปสองคัน
พยานทั้งสองได้รับอำนาจทำการอัศจรรย์ได้ สามารถปิดท้องฟ้าหยุดฝนได้
เปลี่ยนน้ำให้เป็นเลือดและนำภัยพิบัติมาสู่โลก
ทั้งสองจะสร้างความปั่นป่วนแก่โลกตลอด 1260 วัน
ใครคือพยานทั้งสอง ??
พระคัมภีร์ไม่ได้บอกไว้ว่าเป็นใคร
แต่จากการที่ท่านทั้งสองถูกฆ่าและฟื้นขึ้นมาใหม่นั้น
แสดงให้เห็นความเป็นบุคคลที่มีอยู่จริง
1. เอลียาห์ เป็นตัวแทนสมัยผู้พยากรณ์ ในมาลาคี 4.5
ได้พยากรณ์ว่า เอลียาห์จะมาปรากฏก่อนวันแห่งพระเจ้า และพระเยซูคริสต์เองได้ตรัสว่า
คำพยากรณ์เกี่ยวกับเอลียาห์สำเร็จแล้วส่วนหนึ่งในสมัยที่พระองค์ยังอยู่บนโลก (มธ
17.10-13, มก 9.11-13 การจำแลงพระกาย)
- ผู้ใดทำร้ายพยานทั้งสองนั้น
ไฟก็จะพลุ่งออกจากปากเผาผลาญศัตรูผู้นั้น ใน 2 พกษ 1-10
เอลียาห์ได้ขอไฟลงมาเผาผลาญนายทหาร 51 คนของ อาหัสยาห์
- มีฤทธิ์ปิดท้องฟ้าได้เพื่อไม่ให้ฝนตก ใน 1 พกษ 17.1
เอลียาห์ก็ได้ทำให้ฝนไม่ตกเป็นเวลาสามปีครึ่ง
2.
โมเสส เป็นตัวแทนของสมัยธรรมบัญญัติ
(แต่โมเสสผ่านการตายมาแล้วจึงไม่น่าจะใช่)
-
มีฤทธิ์ทำให้น้ำกลายเป็นเลือด โมเสสได้ทำให้น้ำกลายเป็นเลือดในอียิปต์
3.
เอโนค (บางท่านมีความเห็นว่าเป็นเอโนค
เพราะเอโนคถูกรับไปโดยไม่ผ่านความตาย)
4.
เศรุบบาเบลกับโยซูวามหาปุโรหิต เพราะในพระธรรมเศคาริยาห์ 4.3-14
ได้กล่าวถึงนิมิตคันประทีปทองคำและต้นมะกอกเทศ 2 ต้น ซึ่งตรงกับ วิวรณ์ 11.4
แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าพยานทั้งสองนี้ไม่เกี่ยวกับคนในประวัติศาสตร์เลย
ซึ่งไม่มีคำตอบที่แน่ชัด
เมื่อเสร็จสิ้นการเป็นพยานแล้ว
เขาทั้งสองจะถูกฆ่าตายโดยสัตว์ร้ายที่ขึ้นมาจากบาดาล (11.7) เราจะเห็นจากชีวิตของพยานทั้งสองว่า
ชีวิตของเราทุกคนนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า วันเกิด ระยะเวลาที่มีชีวิตอยู่ วันที่เราตาย
ก็ล้วนขึ้นอยู่กับพระเจ้าทั้งสิ้น (สดุดี 31.15)
สัตว์ร้ายที่ขึ้นมาจากบาดาล
บาดาล
à เป็นที่อยู่ของพวกวิญญาณชั่ว
สัตว์ร้าย
à ผู้นำระดับโลกที่ชั่วร้าย มีอำนาจครอบครองเหนือทั้งโลก
คนผู้นี้จะต่อสู้กับพยานทั้งสอง จะชนะพวกเขาและฆ่าเสีย
ศพของพยานทั้งสองจะอยู่ที่ถนน
à การทิ้งศพไว้กลางถนนไม่ยอมให้ฝังในอุโมงค์
ถือว่าเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นเหยียดหยาม เป็นที่น่ารังเกียจ
มหานคร
à กรุงเยรูซาเล็ม
โสโดม
à เป็นสัญลักษณ์ของความเสื่อมทรามทางศีลธรรม
อียิปต์
à เป็นสัญลักษณ์แห่งการกดขี่ข่มเหง
-
คนหลายประชาชาติจะเพ่งดูศพเขาตลอด 3
วันครึ่ง à ในสมัยของยอห์นอาจจะเข้าใจได้ยาก แต่ในปัจจุบันเป็นไปได้อย่างง่ายดาย การถ่ายทอดสดต่างๆผ่านดาวเทียมทำให้ทุกมุมโลกสามารถเห็นเหตุการณ์เดียวกันได้ในเวลาเดียวกัน
-
คนทั้งแผ่นดินโลกจะยินดีในการตายของพยานทั้งสอง
à แสดงว่าการตายของพยานทั้งสองเป็นชัยชนะของผู้นำแห่งโลกที่เป็นศัตรูของพระคริสต์(สัตว์ร้าย)
ฉลองชัยชนะโดยการให้ของขวัญแก่กัน เช่นเดียวกับตอนที่พระเยซูถูกตรึง
พวกสาวกของพระองค์ร้องไห้คร่ำครวญ แต่ประชาชนชื่นชมยินดี
การฟื้นขึ้นจากความตายของพยานทั้งสอง
เมื่อผ่านไป
3 วันครึ่ง พระเจ้าได้ประทานลมปราณและพยานทั้งสองก็ลุกขึ้นยืน
คนทั้งหลายก็ได้เห็นและทุกคนก็ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสเรียกว่า จงขึ้นมาที่นี่เถิด
และพระเจ้าทรงรับเขาทั้งสองขึ้นสู่สวรรค์ต่อหน้าต่อตาชาวโลก
ทำให้เกิดความหวดกลัวอย่างมาก นี่ไม่ใช่เรื่องลึกลับ แต่เป็นเรื่องที่ชาวโลกได้เห็นด้วยตา
เช่นเดียวกัน เมื่อพระเยซูจะเสด็จกลับมานั้น คนทั้งโลกก็จะได้เห็นด้วย (วิวรณ์
1.7, มธ 24.27)
หลังจากนั้น
พระเจ้าทรงให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ทำลายหนึ่งในสิบส่วนของเมืองนั้น มีคนตาย 7000 คน
ทำให้เขากลัวและถวายเกียรติแด่พระเจ้า à คงไม่ใช่เพราะสำนึกผิดทั้งหมด
อาจจะแบ่งได้เป็น
o
เป็นการยอมเพราะกลัว แต่ไม่ได้กลับใจ
ซึ่งจะสังเกตได้จาก วิวรณ์ 6.16
o
แต่ก็คงจะมีคนกลับใจใหม่ในช่วงนี้ด้วย ภัยพิบัติต่างๆอาจไม่สามารถทำให้เขากลับใจ
แต่การเป็นขึ้นของพยานทั้งสองได้ทำให้เขาได้เห็นถึงการเป็นเจ้าชีวิตของพระเจ้า เหมือนเหตุการณ์ที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตายก็เป็นแรงผลักดันให้คนจำนวนมาก
ได้หันจากบาปและยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า
วิวรณ์ 11.14 à
วิบัติอย่างที่สองได้ผ่านไปแล้ว ดูเถิดวิบัติอย่างที่สามก็จะมาถึงในไม่ช้านี้แหละ
แตรคันที่เจ็ด (11.15-19)
ทูตสวรรค์เริ่มเป่าแตรคันที่เจ็ด
เนื่องด้วยหลังการเป่าแตรคันนี้แล้ว
จะเป็นการครอบครองของพระคริสต์อย่างสมบูรณ์
ในที่นี้ยอห์นจึงบรรยายถึงการครอบครองและการลงโทษ
เสียงหลายๆเสียงกล่าวดังๆในสวรรค์เป็นเสียงแห่งชัยชนะที่พระคริสต์จะทรงครอบครองตลอดไปเป็นนิตย์
ราชอาณาจักรแห่งพิภพนี้
ได้กลับเป็นราชอาณาจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเราและเป็นของพระคริสต์ของพระองค์
และพระองค์จะทรงครอบครองตลอดไปเป็นนิตย์ วิวรณ์ 11.15 à
จะเห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพระเจ้าและพระเยซูคริสต์
ยอห์นได้ใช้ข้อความนี้เพื่อหนุนใจคริสตจักรในขณะนั้นที่กำลังถูกข่มเหงว่า
ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การครอบครองของพระคริสต์
ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่ก็กราบนมัสการสรรเสริญ
บทเพลงของเขาแสดงให้เห็นว่า
ถึงเวลาที่พระเจ้าจะทรงพิพากษาประชาชาติและคนทั้งหลายที่ตายไปแล้ว ประชาชาติมีความโกรธแค้นเพราะพวกเขากำลังจะได้รับการลงโทษ
แต่พระพิโรธของพระเจ้าก็มาถึงแล้ว (เพราะพระเจ้าไม่ใช่มนุษย์
พระพิโรธของพระองค์ก็ไม่เหมือนความโกรธของมนุษย์ที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์
ไม่ได้ขึ้นกับเหตุการณ์หรือผลของเหตุการณ์นั้นๆ แต่พระพิโรธ อีกภาพหนึ่งคือทรงประทานบำเหน็จแก่ผู้รับใช้และธรรมิกชนทั้งปวงและแก่คนทั้งปวงที่ยำเกรงพระองค์ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย
พระคัมภีร์ตอนนี้บอกว่า ถึงเวลาที่พระองค์จะทรงทำลายผู้ที่ทำลายแผ่นดินโลก
ยอห์นได้จบฉากด้วยภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ
-
แล้วพระวิหารของพระเจ้าในสวรรค์ก็เปิดออก
ซึ่งยอห์นสามารถมองเข้าไปข้างในและเห็นหีบพันธสัญญา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการทรงสถิตย์อยู่ด้วยกับประชากรของพระองค์
-
ผลที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินโลกคือ สายฟ้าแลบ
ฟ้าร้อง แผ่นดินไหว ลูกเห็บตกอย่างหนัก
หลังจากเป่าแตรคันที่เจ็ด
สิ่งต่างๆที่จะตามมานั้นจะถูกเปิดเผยใน วิวรณ์ บทที่ 16
No comments:
Post a Comment