Monday, December 14, 2015

พยานทั้งสองและแตรคันที่เจ็ด

สัปดาห์ที่ 9  พยานทั้งสองและแตรคันที่เจ็ด                         ชั้น พระธรรมวิวรณ์ คริสตจักรพลับพลา
พยานทั้งสอง (11.1-14)         
วิวรณ์บทที่ 11 เป็นเหมือนการหยุดพักระหว่างฉากของแตรคันที่ 6 และแตรคันที่ 7 ซึ่งนับเป็นตอนที่ยากที่สุดตอนหนึ่งของเรื่องราวที่เกี่ยวกับยุคสุดท้ายในพระธรรมวิวรณ์ ซึ่งต้องตีความหมายตามตัวอักษร พระวิหารจะถูกสร้างขึ้นใหม่ในช่วงทุกขเวทนาครั้งใหญ่ และเมืองที่กล่าวถึงก็คือเยรูซาเล็ม ช่วงเวลา 42 เดือนและสามวันครึ่งก็ต้องตีความหมายตามตัวอักษร ส่วนผู้เผยพระวจนะสองคนก็คือบุคลจริงสองบุคคล
การวัดพระวิหาร (11.1-2)
ยอห์นได้รับไม้อ้อท่อนหนึ่งซึ่งเป็นไม้วัดที่มีน้ำหนักเบา และได้รับคำสั่งให้ไปวัดพระวิหารของพระเจ้ากับแท่นบูชา แต่ไม่ต้องวัดลานชั้นนอก คือวัดเฉพาะวิสุทธิสถานกับอภิสุทธิสถาน มีเพียงพวกยิวแท้เท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าไปถึงลานชั้นในของพระวิหารได้ ส่วนลานชั้นนอกได้ยกให้ต่างชาติ (ในพระคัมภีร์เดิมเมื่อพูดถึงคนต่างชาติจะหมายถึงคนที่ไม่ใช่ยิว และในพระคัมภีร์ใหม่คนต่างชาติหมายถึงผู้ที่ไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์)
 เหตุใดจึงต้องวัดพระวิหาร ??
-          การวัด หมายถึง การคุ้มครอง เป็นการแสดงถึงความเป็นเจ้าของและป้องกันไว้ การดูแลรักษาของพระเจ้าคงจะปกป้องอยู่เหนือคนที่เป็นของพระองค์อย่างแท้จริง (อสย 29.13, มธ 7.21-23)
-          การไม่วัด หมายถึง การไม่คุ้มครอง
พระวิหารใน เอเสเคียล 40 ก็ถูกวัดไว้ กรุงเยรูซาเล็มใหม่ ใน วิวรณ์ 21.15-17 ก็ถูกวัดไว้เช่นกัน
วิหารในบทที่ 11 นี้ คือวิหารอะไร ??
ปี คศ. 70 แม่ทัพโรมคือ ทิตัส ได้ทำลายกรุงเยรูซาเล็มและพระวิหารก็ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง แสดงว่าพระวิหารที่ยอห์นได้เอ่ยถึงในที่นี้ เป็นพระวิหารที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในยุคสุดท้ายช่วงทุกขเวทนาครั้งใหญ่ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมา ผู้ต่อต้านพระคริสต์ได้สร้างสันติภาพและได้ส่งเสริมอิสราเอลให้สร้างพระวิหารขึ้นมาใหม่เพื่อเอาใจประชาชน แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ผู้ต่อต้านพระคริสต์ก็ได้แสดงธาตุแท้ออกมาโดยการข่มเหงอิสราเอลและเข้าไปเหยียบย่ำพระวิหาร ซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า (ดนล 9.27)
ตลอด 42 เดือน หรือ 1260 วัน เป็นช่วงครึ่งแรกของสัปตะที่ 70 หรือสัปตะสุดท้ายตามพระธรรมดาเนียล เป็นช่วงที่ชาวยิวจะครอบครองเยรูซาเล็มไว้และนมัสการในพระวิหารของเขา และเป็นช่วงเวลาที่ชาวต่างชาติหรือผู้ที่ไม่เชื่อจะเหยียบย่ำวิสุทธินคร ซึ่งเหมือนบอกเป็นนัยว่าชาวยิวจะได้รับการปฏิบัติต่ออย่างเลวร้ายและพระวิหารจะถูกกระทำให้เป็นมลทิน ในอดีตระหว่างปี 167-164 กคศ. กษัตริย์แอนติโอกุส เอพิฟาเนส ได้บุกเข้าไปในพระวิหาร ตั้งรูปเคารพและถวายเนื้อหมูบนแท่นบูชาต่อพระนั้น และได้พยายามทำลายศาสนาของยิว ฆ่าพวกยิวหลายพันคน ซึ่งทำให้เห็นว่าศัตรูของยิวได้เคยเหยียบย่ำพระวิหารพระเจ้ามาแล้วฉันใด ศัตรูของพระเจ้าก็จะต่อต้านและทำลาย วิสุทธนคร เป็นเวลาสามปีครึ่งในยุคสุดท้ายฉันนั้น
พยานทั้งสอง (11.3-6)
พระเจ้าทรงใช้พยานทั้งสองและทรงประทานอำนาจให้พยานทั้งสองและพวกเขาจะเป็นผู้เผยพระวจนะในช่วง 42 เดือนหรือ 3 ปีครึ่ง พวกเขาแต่งตัวด้วยผ้ากระสอบและถูกเรียกว่า ต้นมะกอกเทศสองต้นและคันประทีปสองคัน พยานทั้งสองได้รับอำนาจทำการอัศจรรย์ได้ สามารถปิดท้องฟ้าหยุดฝนได้ เปลี่ยนน้ำให้เป็นเลือดและนำภัยพิบัติมาสู่โลก ทั้งสองจะสร้างความปั่นป่วนแก่โลกตลอด 1260 วัน



ใครคือพยานทั้งสอง ??
พระคัมภีร์ไม่ได้บอกไว้ว่าเป็นใคร แต่จากการที่ท่านทั้งสองถูกฆ่าและฟื้นขึ้นมาใหม่นั้น แสดงให้เห็นความเป็นบุคคลที่มีอยู่จริง
1. เอลียาห์  เป็นตัวแทนสมัยผู้พยากรณ์ ในมาลาคี 4.5 ได้พยากรณ์ว่า เอลียาห์จะมาปรากฏก่อนวันแห่งพระเจ้า และพระเยซูคริสต์เองได้ตรัสว่า คำพยากรณ์เกี่ยวกับเอลียาห์สำเร็จแล้วส่วนหนึ่งในสมัยที่พระองค์ยังอยู่บนโลก (มธ 17.10-13, มก 9.11-13 การจำแลงพระกาย)
 - ผู้ใดทำร้ายพยานทั้งสองนั้น ไฟก็จะพลุ่งออกจากปากเผาผลาญศัตรูผู้นั้น ใน 2 พกษ 1-10 เอลียาห์ได้ขอไฟลงมาเผาผลาญนายทหาร 51 คนของ อาหัสยาห์
- มีฤทธิ์ปิดท้องฟ้าได้เพื่อไม่ให้ฝนตก  ใน 1 พกษ 17.1 เอลียาห์ก็ได้ทำให้ฝนไม่ตกเป็นเวลาสามปีครึ่ง
                2. โมเสส   เป็นตัวแทนของสมัยธรรมบัญญัติ (แต่โมเสสผ่านการตายมาแล้วจึงไม่น่าจะใช่)
                - มีฤทธิ์ทำให้น้ำกลายเป็นเลือด โมเสสได้ทำให้น้ำกลายเป็นเลือดในอียิปต์
                3. เอโนค (บางท่านมีความเห็นว่าเป็นเอโนค เพราะเอโนคถูกรับไปโดยไม่ผ่านความตาย)
                4. เศรุบบาเบลกับโยซูวามหาปุโรหิต เพราะในพระธรรมเศคาริยาห์ 4.3-14 ได้กล่าวถึงนิมิตคันประทีปทองคำและต้นมะกอกเทศ 2 ต้น ซึ่งตรงกับ วิวรณ์ 11.4
                แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าพยานทั้งสองนี้ไม่เกี่ยวกับคนในประวัติศาสตร์เลย ซึ่งไม่มีคำตอบที่แน่ชัด
                เมื่อเสร็จสิ้นการเป็นพยานแล้ว เขาทั้งสองจะถูกฆ่าตายโดยสัตว์ร้ายที่ขึ้นมาจากบาดาล (11.7)  เราจะเห็นจากชีวิตของพยานทั้งสองว่า ชีวิตของเราทุกคนนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า วันเกิด  ระยะเวลาที่มีชีวิตอยู่ วันที่เราตาย ก็ล้วนขึ้นอยู่กับพระเจ้าทั้งสิ้น (สดุดี 31.15)
สัตว์ร้ายที่ขึ้นมาจากบาดาล
                บาดาล à เป็นที่อยู่ของพวกวิญญาณชั่ว
                สัตว์ร้าย à ผู้นำระดับโลกที่ชั่วร้าย มีอำนาจครอบครองเหนือทั้งโลก คนผู้นี้จะต่อสู้กับพยานทั้งสอง จะชนะพวกเขาและฆ่าเสีย
ศพของพยานทั้งสองจะอยู่ที่ถนน à การทิ้งศพไว้กลางถนนไม่ยอมให้ฝังในอุโมงค์ ถือว่าเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นเหยียดหยาม เป็นที่น่ารังเกียจ
                มหานคร à กรุงเยรูซาเล็ม
                โสโดม à เป็นสัญลักษณ์ของความเสื่อมทรามทางศีลธรรม
                อียิปต์ à เป็นสัญลักษณ์แห่งการกดขี่ข่มเหง
-          คนหลายประชาชาติจะเพ่งดูศพเขาตลอด 3 วันครึ่ง à ในสมัยของยอห์นอาจจะเข้าใจได้ยาก แต่ในปัจจุบันเป็นไปได้อย่างง่ายดาย  การถ่ายทอดสดต่างๆผ่านดาวเทียมทำให้ทุกมุมโลกสามารถเห็นเหตุการณ์เดียวกันได้ในเวลาเดียวกัน
-          คนทั้งแผ่นดินโลกจะยินดีในการตายของพยานทั้งสอง à แสดงว่าการตายของพยานทั้งสองเป็นชัยชนะของผู้นำแห่งโลกที่เป็นศัตรูของพระคริสต์(สัตว์ร้าย) ฉลองชัยชนะโดยการให้ของขวัญแก่กัน เช่นเดียวกับตอนที่พระเยซูถูกตรึง พวกสาวกของพระองค์ร้องไห้คร่ำครวญ แต่ประชาชนชื่นชมยินดี
การฟื้นขึ้นจากความตายของพยานทั้งสอง
                เมื่อผ่านไป 3 วันครึ่ง  พระเจ้าได้ประทานลมปราณและพยานทั้งสองก็ลุกขึ้นยืน คนทั้งหลายก็ได้เห็นและทุกคนก็ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสเรียกว่า จงขึ้นมาที่นี่เถิด และพระเจ้าทรงรับเขาทั้งสองขึ้นสู่สวรรค์ต่อหน้าต่อตาชาวโลก ทำให้เกิดความหวดกลัวอย่างมาก นี่ไม่ใช่เรื่องลึกลับ แต่เป็นเรื่องที่ชาวโลกได้เห็นด้วยตา เช่นเดียวกัน เมื่อพระเยซูจะเสด็จกลับมานั้น คนทั้งโลกก็จะได้เห็นด้วย (วิวรณ์ 1.7, มธ 24.27)
                หลังจากนั้น พระเจ้าทรงให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ทำลายหนึ่งในสิบส่วนของเมืองนั้น มีคนตาย 7000 คน ทำให้เขากลัวและถวายเกียรติแด่พระเจ้า à คงไม่ใช่เพราะสำนึกผิดทั้งหมด อาจจะแบ่งได้เป็น
o   เป็นการยอมเพราะกลัว แต่ไม่ได้กลับใจ ซึ่งจะสังเกตได้จาก วิวรณ์ 6.16
o   แต่ก็คงจะมีคนกลับใจใหม่ในช่วงนี้ด้วย ภัยพิบัติต่างๆอาจไม่สามารถทำให้เขากลับใจ แต่การเป็นขึ้นของพยานทั้งสองได้ทำให้เขาได้เห็นถึงการเป็นเจ้าชีวิตของพระเจ้า เหมือนเหตุการณ์ที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตายก็เป็นแรงผลักดันให้คนจำนวนมาก ได้หันจากบาปและยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า
วิวรณ์ 11.14 à วิบัติอย่างที่สองได้ผ่านไปแล้ว ดูเถิดวิบัติอย่างที่สามก็จะมาถึงในไม่ช้านี้แหละ
แตรคันที่เจ็ด (11.15-19)
                ทูตสวรรค์เริ่มเป่าแตรคันที่เจ็ด  เนื่องด้วยหลังการเป่าแตรคันนี้แล้ว จะเป็นการครอบครองของพระคริสต์อย่างสมบูรณ์ ในที่นี้ยอห์นจึงบรรยายถึงการครอบครองและการลงโทษ เสียงหลายๆเสียงกล่าวดังๆในสวรรค์เป็นเสียงแห่งชัยชนะที่พระคริสต์จะทรงครอบครองตลอดไปเป็นนิตย์ 
ราชอาณาจักรแห่งพิภพนี้ ได้กลับเป็นราชอาณาจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเราและเป็นของพระคริสต์ของพระองค์ และพระองค์จะทรงครอบครองตลอดไปเป็นนิตย์   วิวรณ์ 11.15 à จะเห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ ยอห์นได้ใช้ข้อความนี้เพื่อหนุนใจคริสตจักรในขณะนั้นที่กำลังถูกข่มเหงว่า ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การครอบครองของพระคริสต์
                ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่ก็กราบนมัสการสรรเสริญ บทเพลงของเขาแสดงให้เห็นว่า ถึงเวลาที่พระเจ้าจะทรงพิพากษาประชาชาติและคนทั้งหลายที่ตายไปแล้ว ประชาชาติมีความโกรธแค้นเพราะพวกเขากำลังจะได้รับการลงโทษ แต่พระพิโรธของพระเจ้าก็มาถึงแล้ว (เพราะพระเจ้าไม่ใช่มนุษย์ พระพิโรธของพระองค์ก็ไม่เหมือนความโกรธของมนุษย์ที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ไม่ได้ขึ้นกับเหตุการณ์หรือผลของเหตุการณ์นั้นๆ แต่พระพิโรธ อีกภาพหนึ่งคือทรงประทานบำเหน็จแก่ผู้รับใช้และธรรมิกชนทั้งปวงและแก่คนทั้งปวงที่ยำเกรงพระองค์ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย พระคัมภีร์ตอนนี้บอกว่า ถึงเวลาที่พระองค์จะทรงทำลายผู้ที่ทำลายแผ่นดินโลก
                ยอห์นได้จบฉากด้วยภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ
-          แล้วพระวิหารของพระเจ้าในสวรรค์ก็เปิดออก ซึ่งยอห์นสามารถมองเข้าไปข้างในและเห็นหีบพันธสัญญา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการทรงสถิตย์อยู่ด้วยกับประชากรของพระองค์
-          ผลที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินโลกคือ สายฟ้าแลบ ฟ้าร้อง แผ่นดินไหว ลูกเห็บตกอย่างหนัก
หลังจากเป่าแตรคันที่เจ็ด สิ่งต่างๆที่จะตามมานั้นจะถูกเปิดเผยใน วิวรณ์ บทที่ 16


No comments:

Post a Comment