Monday, December 14, 2015

ภัยพิบัติสุดท้าย

สัปดาห์ที่ 13     ภัยพิบัติสุดท้าย                                           ชั้น พระธรรมวิวรณ์ คริสตจักรพลับพลา
          ภัยพิบัติเจ็ดประการสุดท้ายเรียกอีกอย่างว่า การพิพากษาขันทั้งเจ็ด ซึ่งจะเริ่มขึ้นในบทที่ 16 ยอห์นได้บันทึกว่า ท่านได้เห็นหมายสำคัญยิ่งใหญ่อัศจรรย์อีกอย่างในสวรรค์ คือ
ทูตสวรรค์เจ็ดองค์กับวิบัติเจ็ดอย่าง 15:1-4
                ภัยพิบัติเจ็ดอย่างที่กำลังจะมาถึงนี้ เป็นภัยพิบัติสุดท้าย นี่เป็นนิมิตที่พิเศษมาก เพราะพระพิโรธของพระเจ้าจะสิ้นสุดด้วยกับภัยเหล่านี้   เหลือเพียงแต่การจับสัตว์ร้ายและสมุนของมันทิ้งลงในบึงไฟนรกเท่านั้น  ในนิมิตยอห์นได้เห็นภาพของบรรดาผู้มีชัยต่อสัตว์ร้ายยืนอยู่ริมบริเวณที่ที่ดู เหมือนทะเลแก้วปนไฟ  คล้ายกับที่ยอห์นได้บรรยายไว้ใน 4.6 ซึ่งอยู่หน้าพระที่นั่งของพระเจ้า แต่ต่างกันที่ทะเลแก้วนี้ปนไฟด้วย คงจะหมายถึงพระพิโรธและการพิพากษาของพระเจ้า  บรรดาผู้ที่มีชัยต่อสัตว์ร้าย ถือพิณของพระเจ้า ร้องเพลงของโมเสส  เพลงของพระ เมษโปดกสรรเสริญของพระเจ้า และแซ่ซ้องความยุติธรรมและเที่ยงตรงของพระเจ้าที่ได้พิพากษาโลกนี้ เพราะพระองค์ผู้เดียวทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ ประชาชาติทุกคนต้องยำเกรงพระองค์และนมัสการพระองค์
                - บทเพลงของโมเสส (อพยพ 15) à ชาวอิสราเอลเฉลิมฉลองการหลุดพ้นจากการเป็นทาสในอียิปต์
                - บทเพลงของพระเมษโปดก à เฉลิมฉลองการปลดปล่อยมนุษย์จากความบาปและอำนาจของซาตาน
         บรรดาคนที่มีชัยชนะเหล่านี้ได้ยืนมั่นคงกับพระเจ้า เมื่อมีการทดลองอย่างรุนแรง การข่มเหงที่เหลือทน เขาได้ยืนหยัดและเชื่อในการทรงช่วยของพระเจ้าว่าจะไม่ให้เขาล้มลง และได้มาอยู่จำเพาะพระพักตร์ของพระองค์  คริสเตียนในคริสตจักรยุคแรกได้เรียกวันที่เพื่อนคริสเตียนถูกประหารชีวิตว่า วันแห่งชัยชนะ  เรามีความเชื่อเช่นนั้นหรือไม่ ??
พระวิหารของเต็นท์แห่งสักขีพยานในสวรรค์เปิดออก 15:5-8
                พระวิหารบนสวรรค์นี้ มีวิหารบนโลกเป็นภาพสะท้อนที่ใช้เต็นท์แห่งสักขีพยาน   เพราะพลับพลาที่เป็นพิมพ์เขียวของพระวิหารนั้นเป็นเต็นท์แห่งสักขีพยาน    ซึ่งเป็นคำเดียวกับในพระธรรมอพยพ 38:21 และกันดารวิถี 18:2 ที่แปลว่า พลับพลาพระโอวาท และเต็นท์พระโอวาท ตามลำดับ  เพราะที่พลับพลานี้เป็นที่เก็บหีบพันธสัญญา (อพยพ 40:3) เต็นท์แห่งสักขีพยานหรือพลับพลาพระโอวาท น่าจะหมายถึงความเที่ยงธรรมและพระคุณของพระเจ้าที่เป็นมาตรฐานแห่งการพิพากษา
ทูตสวรรค์ทั้งเจ็ดถือภัยพิบัติทั้งเจ็ดออกมาจากพระวิหาร
- นุ่งห่มผ้าป่านสะอาดสุกใส  หมายถึง  ความบริสุทธิ์
- คาดรัดประคดทองคำ คือ การถวายเกียรติยศแด่พระเจ้าเป็นลักษณะของชุดปุโรหิตในพระวิหาร
- ผู้มีชีวิตหนึ่งในสี่นั้นได้ส่งขันทองคำเจ็ดใบที่เต็มไปด้วยพระพิโรธของพระเจ้าให้แก่ทูตสวรรค์ทั้งเจ็ดองค์
- พระวิหารเต็มไปด้วยควันซึ่งมาจากพระสิริและฤทธานุภาพของพระเจ้าเป็นภาพที่มนุษย์จะต้องยำเกรงพระเจ้า และเฝ้าคอยการพิพากษากำลังจะมาถึง ไม่มีใครสามารถเข้าไปในพระวิหารได้จนกว่าขันทั้งเจ็ดจะถูกเทลงบนโลก
การออกมาจากพระวิหารของทูตสวรรค์ทั้ง 7 พร้อมทั้งรับขันทั้ง 7 ไปที่เต็มไปด้วยพระพิโรธของพระเจ้านั่นแสดงว่าการลงโทษด้วยภัยพิบัติในช่วงสุดท้ายกำลังจะเริ่มต้น และจะไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนพระทัยของพระองค์ได้
ขันแห่งพระพิโรธทั้ง 7  (16:1-21)
                นี่เป็นภัยพิบัติชุดสุดท้ายของหนังสือวิวรณ์ เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นคล้ายกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในประเทศอียิปต์ (อพยพ 7-11) และมีส่วนคล้ายกับแตรทั้งเจ็ดมาก  ภัยจากแตรมีไว้เตือนมนุษย์ให้กลับใจเพราะมีผลหนึ่งในสามส่วน แต่ภัยจากขันเป็นช่วงที่พระเจ้าเทพระพิโรธออกมาอย่างเต็มที่และเป็นการทำลายทั้งหมด
                ถ้ามองตามลำดับเหตุการณ์ บทนี้เกิดขึ้นใกล้เคียงกับการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ การพิพากษาที่กล่าวในบทนี้ จะเกิดขึ้นเรียงลำดับกันมาอย่างรวดเร็วและในเวลาใกล้เคียงกันมาก     มนุษย์ไม่มีโอกาสกลับใจอีกแล้ว
ขันที่ 1 (16:1-2) เกิดแผลร้ายที่เป็นหนองทั้งตัว
ยอห์นได้ยินเสียงดังมาจากพระวิหารสั่งทูตสวรรค์ทั้ง 7 ให้นำขันทั้ง 7 ที่เต็มไปด้วยพระพิโรธของพระเจ้าเทลงบนแผ่นดินโลก  ทูตสวรรค์องค์แรก ก็เทขันลงบนแผ่นดินโลก คนทั้งหลายที่มีเครื่องหมาย 666 และบูชารูปของสัตว์ร้ายจะเกิดแผลร้ายที่เป็นหนองทั่วตัว เป็นภาพที่น่ากลัวยิ่งกว่าภาพของพวกอียิปต์เกิดฝีแตกลามไปทั่วตัวคนและสัตว์ในคราวภัยพิบัติ  เพราะฟาโรห์ไม่ยอมให้อิสราเอลออกจากอียิปต์ (อพยพ 9:10) อาจจะเป็นโรคที่ร้ายยิ่งกว่าโรคเอดส์ เพราะคนที่มีแผลร้ายนี้จะกัดลิ้นของตนด้วยความระทมและต่อว่าพระเจ้า (16:10) และมีความเจ็บปวดมาก (16:11) แต่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่พวกเขาไม่ได้สำนึกในการประพฤติของตน ไม่ได้กลับตัวกลับใจจากความผิดบาป กลับสาปแช่งพระเจ้าแห่งสวรรค์ (16:11) เพราะฉะนั้นพระพิโรธของพระเจ้าที่มีต่อบุคคลเหล่านี้ ก็สาสมกับพฤติกรรมของพวกเขา
ขันที่ 2 (16:3) ทะเลกลายเป็นเลือด
เมื่อเป่าแตรที่ 2 ทะเลได้กลายเป็นเลือดเสียหนึ่งในสามส่วน สิ่งมีชีวิตก็ตายหนึ่งในสามและบรรดาเรือกำปั่นแตกเสียหนึ่งในสามส่วน (8:9) แต่เมื่อถึงขันแห่งพระพิโรธที่ทูตสวรรค์องค์ที่ 2 เทขันที่ 2 ลงในทะเล ทะเลก็กลายเป็นเลือดเหมือนเลือดคนตายทั้งหมด และสิ่งมีชีวิตในทะเลก็ตายหมดสิ้น และแน่นอนระบบธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับอากาศ การเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิตในโลกทั้งอยู่ใต้ทะเลและบนแผ่นดินต้องพบกับความหายนะที่ตามมา โลกมนุษย์กำลังจะสิ้นสุดเพราะการงานทางทะเลจะไม่สามารถทำได้แล้ว ประเทศต่างๆจะถูกตัดขาดจากกัน การลำเลียงอาหารก็ทำไม่ได้แล้ว
มีคำถามว่าทะเลที่กลายเป็นเลือดนั้นเป็นเลือดจริงๆ หรือเปล่า และทะเลซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลมากเช่นนี้ จะถูกทำลายทั้งหมดได้หรือ จากข้อเขียนที่ว่า เหมือนเลือดของคนตาย พอคาดคะเนได้ว่าอาจจะไม่ใช่เลือดแดงๆ ของมนุษย์หรือสัตว์ แต่เป็นไปได้ที่เป็นสารเคมีที่มีอยู่เต็มทะเลจนสัตว์ทั้งหลายไม่สามารถอาศัยดำรงชีวิตได้ต่อไป  เช่น น้ำมันที่มีอยู่ในทะเลยิ่งเพิ่มมากขึ้น ขยะและวัตถุที่ไม่ละลายหรือพลาสติกสิ่งเหล่านี้เป็นสสารทางเคมีที่นับวันจะเพิ่มทวีมากขึ้นนับเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เห็นว่าสภาพที่ทะเลจะถูกทำลายลงนั้นเป็นไปได้อย่างสูง   เนื่องจากทะเลถูกทำลายนั่นเองมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม และการดำเนินชีวิตของมนุษย์เป็นอย่างมาก
ขันที่ 3 (16:4-7) ธารน้ำทั้งหมดกลายเป็นเลือด
                ทูตสวรรค์องค์ที่สามเทขันลงธารน้ำทั้งหลาย น้ำในแผ่นดินทั้งหมดก็กลายเป็นเลือด คงจะเป็นสภาพเดียวกันกับน้ำทะเลที่ถูกทำลายลงด้วยสารเคมีต่างๆ สำหรับแม่น้ำลำคลองแล้วยิ่งเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะทุกวันนี้แหล่งน้ำดื่มเหล่านี้เริ่มมีปัญหาอยู่แล้ว ด้วยเหตุที่มนุษย์ขาดน้ำไม่ได้ เพราะฉะนั้นในนิมิตที่ยอห์นเห็นแม่น้ำกลายเป็นเลือด มนุษย์ก็ต้องดื่ม (16:6) และนี้เป็นผลจากการที่พวกเขาได้กระทำต่อธรรมมิกชนและผู้เผยพระวจนะ แม้ภาพที่เห็นจะทารุณสักเพียงใดแต่เสียงทูตสวรรค์และเสียงจากแท่นบูชาได้ยืนยันว่าพระเจ้าบริสุทธิ์ ชอบธรรมเที่ยงธรรม และยุติธรรมที่ได้พิพากษาโลกนี้           
** สิ่งที่น่าสังเกตคือ การลงโทษที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลตอบสนองจากการกระทำของมนุษย์ที่ทำต่อผู้อื่นรวมทั้งต่อธรรมชาติ
ขันที่ 4 (16:8-9) ดวงอาทิตย์คลอกมนุษย์ด้วยไฟ
ทูตสวรรค์องค์ที่สี่ เทขันที่ 4 ลงที่ดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์กลายเป็นเพลิงไฟที่คลอกมนุษย์ ช่วงที่ แกะตราที่ 6  ดวงอาทิตย์ได้มืดลงดุจผ้ากระสอบขนสัตว์ เมื่อ เป่าแตรที่ 4 ดวงอาทิตย์มืดไปหนึ่งในสาม       แต่ที่นี้ถึงช่วงขันที่ 4 ดวงอาทิตย์กลับร้อนแรงกล้า แผดเผามนุษย์จนกลายเป็นคลอกมนุษย์ด้วยไฟ สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นได้
- คงเกี่ยวข้องกับมหาสมุทรที่เสียไป เมื่อน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติถูกทำลายระบบหมุนเวียนของน้ำก็เสียไป เพราะฉะนั้นความแห้งแล้งคงมีไปทั่วแผ่นดิน พืชผักต้นไม้ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ความร้อนคงจะทวีมากขึ้น แผ่นดินแตกระแหง ทะเลทรายเพิ่มขึ้นรวมถึงมนุษย์ไม่มีน้ำดื่ม ต้องหิวกระหายน้ำเป็นภาพที่น่าสังเวชอย่างยิ่ง แต่มนุษย์แทนที่จะสำนึกกลับใจมาขออภัยโทษจากพระเจ้า พวกเขากลับสาปแช่งพระนามพระเจ้าไม่ยอมถวายพระเกียรติแด่พระองค์
- บางคนคิดว่าเหตุการณ์จาก ขันใบที่ 1-4 อาจจะเกิดจากสงครามนิวเคลียร์กับระเบิดปรมานู
- ใน 2 เปโตร 3.7 ท้องฟ้าและแผ่นดินโลกที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ก็มีไว้สำหรับให้ไฟเผาผลาญ คือเก็บไว้จนกว่าจะถึงวันทรงพิพากษาและวันพินาศแห่งบรรดาทุรชน
ขันที่ 5 (16:10-11) อาณาจักรสัตว์ร้ายมืดไป
เหมือนกับในอพยพ 10.21-29 ที่เกิดภัยพิบัติจากความมืดทั่วแผ่นดินอียิปต์
ขันที่ห้า ทำให้อาณาจักรของสัตว์ร้ายดำดิ่งลงสู่ความมืดมิด จากขันที่ผ่านมาทำให้เกิดเป็นแผลหนองเต็มตัว ขาดน้ำดื่ม น้ำใช้ ถูกความร้อนของดวงอาทิตย์แผดเผา เป็นสิ่งที่ระทมทุกข์ยิ่ง แต่แม้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่ได้สำนึกผิดในการประพฤติของตน สัตว์ร้ายซึ่งเป็นที่บูชาของมนุษย์ก็ไม่สามารถรักษามนุษย์ได้ ตรงกันข้ามอาณาจักรของมันก็มืดไปเพราะอำนาจของพระเจ้า
ขันที่ 6 (16:12-16) แม่น้ำยูเฟรติสเหือดแห้ง
                ทูตสวรรค์องค์ที่หกเทขันลงที่แม่น้ำใหญ่ ทำให้แม่น้ำยูเฟรติสเหือดแห้ง เพื่อเตรียมมรรคาไว้สำหรับพวกกษัตริย์จากตะวันออกที่จะยกทัพมายังอารมาเกดโดน  ครั้งหนึ่งกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียได้ทำให้แม่น้ำยูเฟรติสไหลเบี่ยงออกจากทางเดิม เพื่อให้ทหารของตนเข้าโจมตีชาวบาบิโลน แม่น้ำยูเฟรติสเป็นเขตแดนระหว่างประเทศตะวันออกกับตะวันตก และศัตรูของอิสราเอลส่วนใหญ่ก็มาจากทิศนั้น ดูเหมือนสถานที่นี้จะเป็นจุดก่อเกิดสงครามโลกครั้งสุดท้ายกษัตริย์จากตะวันออกหมายถึงประเทศอะไร มีผู้อธิบายแตกต่างกันไป แต่ที่น่าสังเกต คือ ต้องข้ามแม่น้ำยูเฟรติสไปยังตำบลที่เรียกว่าอารมาเกดโดน ประเทศอีกฟากของแม่น้ำยูเฟรติสมีมากมาย และศึกษาจากภาพรวมเรื่องกำลังพลแล้วจะเห็นว่ามีมากมายทีเดียว อย่างไรก็ตามไม่มีจำเป็นที่จะพยายามตีความว่าเป็นประเทศอะไรบ้าง
                มีผีโสโครกสามตนรูปร่างคล้ายกบออกจากปากของพญานาค (ซาตาน) สัตว์ร้าย (ปฏิปักษ์ของพระคริสต์) ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ  ในพระคัมภีร์เดิม กบเป็นสัตว์ที่ไม่สะอาด (ลนต 11.10)  การที่ผีโสโครกออกมาจากปากของซาตานและสัตว์ร้ายทั้งสองทำให้เราเห็นว่า ในยุคสุดท้ายจะมีการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อหลอกลวงมนุษย์ให้ยอมปล่อยตัวกระทำความชั่วและปฏิเสธพระเจ้า 
                ผีโสโครกทั้งสามเป็นวิญญาณชั่วที่ไปชักชวนกษัตริย์ทั้งหลายด้วยหมายสำคัญเพื่อมาทำสงครามกับพระเจ้า  เพราะซาตานรู้ว่าเวลาของมันมีน้อยมาก   พระเยซูคริสต์ทรงเตือนผู้เชื่อให้ตื่นอยู่เสมอ และแต่งตัวเตรียมพร้อมเพื่อจะได้ไม่เดินเปลือยกายให้อับอาย เพราะพระองค์จะมาเหมือนดั่งขโมยมา
                น่าสังเกต ผีร้ายทั้งสามสามารถชักนำพวกกษัตริย์ทั้งหลายมาทำสงครามได้      ก็ด้วยหมายสำคัญหรือการแสดงสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ แสดงว่าซาตานได้ใช้อิทธิพลต่างๆ ครอบงำจิตใจของผู้นำประเทศในขณะนั้น  ประชาชาติทั้งหลายจะถูกหลอกให้เข้าสู่สงคราม ด้วยความหวังว่าจะได้รับอำนาจด้านการเมืองโลก แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของซาตานก็คือ เพื่อมาทำสงครามกับกองทัพสวรรค์และกับพระคริสต์  ซึ่งพระเยซูคริสต์กำลังจะเสด็จมาที่ภูเขามะกอกเทศ (เศคาริยาห์ 14:4) เพราะฉะนั้นมันจึงรวมพลที่อารมาเกดโดนเพื่อต่อต้านการเสด็จกลับมาของพระองค์ และผลของสงครามอารมาเกดโดน คือ สัตว์ร้ายและผู้เผยพระวจนะปลอมถูกจับทิ้งลงในบึงไฟที่ไหม้ด้วยกำมะถัน พญามารถูกมัดไว้และทิ้งลงในบาดาลลั่นกุญแจประทับตรา 1000 ปี (รายละเอียดเพิ่มเติมจะเรียนในบทที่ 19:11 - 20:3)
ขันที่ 7 (16:17-21) สำเร็จแล้ว
                เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดเทขันของตนลงในอากาศ ยอห์นได้ยินพระสุรเสียงดังออกมาจากพระที่นั่งในพระวิหารว่า สำเร็จแล้ว นั้นหมายถึงการพยากรณ์ถึงวันแห่งพระพิโรธที่มีทั้งหมดนั้นได้สำเร็จ ยอห์นยังเห็นฟ้าแลบ ได้ยินฟ้าร้อง และตามมาด้วยแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในแผ่นดิน ซึ่งมีผลทั่วแผ่นดินโลก ทำให้มหานครน่าจะหมายถึง บาบิโลน (ในบทที่ 18) แยกเป็นสามส่วน และที่แสดงให้เห็นว่าเป็นแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในโลก คือเมืองใหญ่ของบรรดาประเทศทั้งหลายในโลกก็พังพินาศไปกลายเป็นซากปรักหักพัง การล่มสลายของเมืองต่างๆในโลกย่อมนำมาซึ่งการสูญเสียทั้งชีวิตของคนและความพินาศของสิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่  
                นอกเหนือจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งเป็นไปได้ที่อาจจะเป็นเพราะแผ่นดินไหวครั้งนี้แหละที่บรรดาเกาะต่างๆ ภูเขาทั้งหลายก็หายไปหมด  เหตุการณ์ตอนนี้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านภูมิศาสตร์ ซึ่งนักวิชาการที่มีทัศนะเห็นพ้องกับเรื่องก่อนพันปี (Pre-millenial) อธิบายเหตุการณ์ตอนนี้ว่าอาจเป็นการเคลียร์พื้นที่ต้อนรับการเสด็จมาปกครอง 1000 ปี ของพระคริสต์ในโลกนี้ก็ได้
                ในนิมิตขันที่ 7 นี้  ยังบันทึกว่าได้มีลูกเห็บที่ใหญ่ที่สุดในโลกหนักราว 50 กิโลกรัมตกลงสู่พื้นโลกถูกคนทั้ง
หลาย คือประชาชนทั่วโลก กลุ่มก้อนน้ำแข็งจำนวนมหาศาลซึ่งก่อตัวขึ้นอย่างผิดธรรมชาติ จะทำลายทุกสิ่งที่เหลือจากแผ่นดินไหว แม้ว่าการพิพากษาจะรุนแรงและนำความพินาศมาให้ แต่มนุษย์ยังใจแข็งกระด้าง    มนุษย์แทนที่จะกลับใจ พวกเขายังสาปแช่งพระเจ้า     นี่คงเป็นไปตามธรรมชาติความบาปที่มีอยู่ในมนุษย์ เพราะฉะนั้นก็สมควรอย่างยิ่งต่อการลงโทษของพระเจ้า
ในทุกวันนี้พระกรุณาคุณของพระเจ้ามุ่งที่จะชักนำมนุษย์ให้กลับใจใหม่ (โรม 2.4) แต่ในวันนั้นเป็นวันที่ยุคแห่งพระคุณและความอดกลั้นพระทัยของพระเจ้าได้ผ่านพ้นไปแล้ว

 


No comments:

Post a Comment