Monday, December 14, 2015

การพิพากษาหน้าพระที่นั่งสีขาว

สัปดาห์ที่ 18    การพิพากษาหน้าพระที่นั่งใหญ่สีขาว               ชั้น พระธรรมวิวรณ์ คริสตจักรพลับพลา
 วิวรณ์ บทที่ 20.7-20.15
สงครามโลกครั้งสุดท้าย (วิวรณ์ 20:7-10)
  • เมื่อซาตานถูกปล่อยจากที่คุมขังชั่วขณะหนึ่ง มันออกไปล่อลวงคนมากมายทั่วโลก คือ โกกและมาโกก ให้มาทำสงครามกับพระคริสต์ การปล่อยซาตานจะก่อให้เกิดการกบฏไปทั่วโลกต่อการครองราชย์ของพระคริสต์ในยุคพันปี กองทัพจะมีจำนวนมหาศาลดุจเม็ดทรายในทะเล
        โกกและมาโกก  ในเอเสเคียล โกกเป็นกษัตริย์ผู้ปกครอง และ มาโกกเป็นประชาชน ทั้งโกกและมาโกก กบฏต่อ         พระเจ้าและเป็นศัตรูของอิสราเอล จึงน่าจะเป็นเพียงความหมายสัญลักษณ์ของกองทัพคนชั่วร้ายทั้งหมด
  • คนเหล่านี้ที่ติดตามซาตานคือใคร ??  à ผู้ที่รอดจากภัยพิบัติครั้งใหญ่ และจะอยู่ในยุคพันปีโดยมีร่างกายตามธรรมชาติ พวกเขาจะมีลูกหลานและเพิ่มประชากรบนโลก (อิสยาห์ 65.18-25)  คนจำนวนมากจะเชื่อพระเยซูคริสต์เพียงเปลือกนอก แต่ไม่ได้วางความเชื่อของเขาไว้ที่การช่วยให้รอดของพระองค์อย่างแท้จริง ความตื้นเขินของความเชื่อของคนเหล่านี้ จะปรากฏชัดเมื่อซาตานถูกปล่อยตัวจากบาดาล  มวลชนที่ติดตามซาตานก็คือ คนเหล่านั้นที่ไม่ได้บังเกิดใหม่อย่างแท้จริงในอาณาจักรพันปี
  • สงครามโลกครั้งสุดท้ายเกิดขึ้น กองทัพจะล้อมรอบกองทัพธรรมิกชนและนครเยรูซาเล็มไว้ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐบาลพระคริสต์ในอาณาจักรพันปี (อิสยาห์  2.1-5)    ไฟได้ตกลงจากสวรรค์เผาผลาญผู้ที่ได้ติดตามพญามาร  โดยพระคัมภีร์ไม่มีรายละเอียดในการต่อสู้เลย แต่ไฟแห่งพระเจ้าได้ทำลายศัตรูทั้งหมดอย่างสิ้นเชิงทันที
  • ส่วนพญามารก็ถูกโยนลงไปในบึงไฟนรกชั่วนิจนิรันดร์  
การพิพากษาหน้าพระที่นั่งใหญ่สีขาว (20:11-15)
                ชีวิตหลังความตายและการเป็นขึ้นจากความตาย
                สำหรับพระคริสตธรรมคัมภีร์ ชีวิตหลังความตายมีแน่นอน
·         พระคัมภีร์เดิม  บอกไว้ว่า เมื่อตายไปแล้วมนุษย์ทุกคนจะไปอยู่ที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า ซีโอล(Sheol)
        - โคราห์ ดาธาน อาบีรัม  ลงไปสู่ที่นั่นทั้งเป็น (กดว 16.33)
        -  ยาโคบรอคอยที่จะไปเยี่ยมโยเซฟลูกของตนในซีโอล (ปฐม 37.35, 42.38, 44.2)
        -  การไปอยู่ร่วมกับบรรพบุรุษของคนในพระคัมภีร์เดิม (ปฐม 25.8, 35.29, 49.33, กดว 20.24)
·         พระคัมภีร์ใหม่  ก็กล่าวไว้เช่นกัน ทั้งคนชั่วและผู้ชอบธรรมต่างก็ลงไปยังเฮเดส (Hades)  ก่อนที่พระเยซูจะเป็นขึ้นจากความตาย 
        -  เศรษฐีและลาซารัส (ลูกา 16.19-31)
        -  พระเยซูเองเสด็จลงไปยังเฮเดส (กิจการ 2.27, 31)
        -  บัดนี้พระคริสต์ทรงถือลูกกุญแจแห่งความตายและเฮเดสไว้ (วิวรณ์ 20.13-14)
        ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ซีโอลในพระคัมภีณ์เดิมและเฮเดสในพระคัมภีร์ใหม่ คือสถานที่เดียว กัน  คำสอนของพระเยซูใน มัทธิว 22.31-32  เราจะเห็นว่า เศรษฐีและลาซารัสสามารถ สนทนา คิด จดจำ รู้สึกและเป็นห่วงได้  ไม่ได้หลับหรือดับไป แต่ยังมีความรู้สึกได้  คำพูดของพระเยซูกับโจรที่ไม้กางเขนว่า วันนี้เจ้าจะอยู่กับเราที่เมืองบรมสุขเกษม  ลก 23.43   ก็มีนัยทำนองเดียวกันว่า เฮเดสมีอยู่ 2 ส่วนด้วยกัน คือ  ที่หนึ่งสำหรับคนบาป และอีกที่หนึ่งสำหรับคนชอบธรรม  สถานที่ที่คนชอบธรรมอยู่เรียกว่า เมืองบรมสุขเกษม  ส่วนสถานที่ที่คนชั่วร้ายอยู่ไม่ได้ระบุชื่อ เพียงแต่บรรยายว่าเป็นที่ที่ทุกข์ทรมาน ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนว่า เมื่อพระคัมภีร์ใช้คำว่า ล่วงหลับไป  หมายถึงฝ่ายร่างกายเท่านั้น   เพราะยังมีชีวิตหลังความตาย
        แต่ดูเหมือนว่า หลังจากที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตายแล้วได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น พระคัมภีร์ระบุว่า ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา  เมื่อผู้เชื่อตายเขาจะไปอยู่กับพระคริสต์  ดังนั้นเปาโลจึงกล่าวถึงตนเองในขณะมีชีวิตว่า อยู่ห่างไกลองค์พระผู้เป็นเจ้า  และใน 2 โครินธ์ 5.6-9 ใช้คำว่า อยู่กับพระคริสต์หลังจากเสียชีวิต
        และการเป็นขึ้นจากความตายนั้น ร่างกายที่เป็นขึ้นมาใหม่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ทรงสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด ใน 1 โครินธ์ 15.43-44, 53-54  บอกว่า  ‘กายใหม่ที่จะถูกชุบให้เป็นขึ้นมานั้นเป็นกายเดียวกันนี้ที่หว่านลง  แสดงว่ากายที่จะเป็นขึ้นมานั้นมีความสัมพันธ์กับกายในปัจจุบันนี้  ทำนองเดียวกันกับ ร่างกายคนเราเมื่อยังเด็ก แล้ว เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ถึงแม้ร่างกายได้เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในขบวนการเติบโต แต่ก็ยังเป็นกายเดิม ถึงแม้ส่วนประกอบบางส่วนเปลี่ยนไป
                                ในข้อที่ 20.13  เมื่อคนบาปชั่วที่ตายไปต้องถูกพิพากษา ทะเล ความตาย และแดนมาณาจะส่งคืนคนตายให้  หมายความว่า ร่างกายของผู้ที่ไม่ได้รับความรอดจะรวมเข้ากับวิญญาณของพวกเขาซึ่งอยู่ในแดนมรณา  การกล่าวว่า ทะเลส่งคืนคนตายให้นั้น ทำให้เห็นชัดว่า ไม่ว่าร่างกายนั้นจะถูกย่อยสลายไปมากเพียงใด มันก็จะฟื้นขึ้นเพื่อรับคำพิพากษา
                การพิพากษา
                การพิพากษานี้จะเกิดขึ้นหลังยุคพันปี  เมื่อยุคพันปีสิ้นสุดลงแล้วจะมีการเป็นขึ้นมาจากตายครั้งที่สอง (20.5)
                ผู้พิพากษา  คือ  พระเยซูคริสต์  ยอห์น 5.22,  2 ทิโมธี 4.1
                ผู้ถูกพิพากษา  คนเหล่านี้เป็นผู้คนจากทุกยุคทุกสมัยที่ไม่ได้รับความรอด พวกเขาจะเป็นขึ้นมาและปรากฏต่อหน้าพระที่นั่งใหญ่สีขาว ในกลุ่มนี้จะมีทั้งเศรษฐีและยาจก  ไทและทาส   ปราชญ์และคนเขลา  นายและบ่าว
หลักการพิพากษา
1.        คนเหล่านี้จะถูกพิพากษาตามข้อความที่จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น  (20.12, 15)
2.        คนเหล่านั้นจะถูกพิพากษาตามการกระทำของตน (20.12)
ขณะที่มีการพิพากษา หนังสือเล่มต่างๆจะเปิดออก (20.12) หนังสือเหล่านี้เป็นตัวแทนการพิพากษาของพระเจ้าและในหนังสือเหล่านั้นจะบันทึกการกระทำของทุกคนทั้งดีและชั่ว  เราไม่ได้รอดเพราะการกระทำ  แต่การกระทำเป็นหลักฐานอันเด่นชัดของผู้เชื่อที่มีความสัมพันธ์อันแท้จริงกับพระเจ้า  หนังสือแห่งชีวิตจะบรรจุชื่อของผู้ที่ไว้วางใจให้พระคริสต์ช่วยเขาให้รอด
                นี่เป็นจุดท้ายก่อนสิ้นสุดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติและเริ่มเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์  ยอห์นได้เขียนว่า ข้าพเจ้าได้เห็นพระที่นั่งใหญ่สีขาว พระที่นั่งใหญ่สีขาวนี้แตกต่างจากพระที่นั่งอื่นๆที่ได้กล่าวมา เพราะไม่ได้ตั้งอยู่ในสวรรค์หรือแผ่นดินโลก แต่ตั้งอยู่กลางอากาศ ดังที่กล่าวไว้ว่า แผ่นดินโลกและท้องฟ้าก็หายไป และไม่มีที่อยู่สำหรับแผ่นดินโลกและท้องฟ้าเลย และพระคริสต์ประทับบนพระที่นั่งใหญ่สีขาวเพื่อพิพากษามนุษย์ทั่วโลกที่ไม่ได้เชื่อวางใจในพระองค์ เพราะว่าพระบิดามิได้ทรงพิพากษาผู้ใด แต่พระองค์ได้ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร (ยอห์น 5:22)            พระที่นั่งใหญ่สีขาวน่าจะตั้งอยู่ระหว่างแผ่นดินโลกกับท้องฟ้าใหม่ ที่นั่นผู้ที่ตายแล้วทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยจะฟื้นขึ้นมายืนอยู่หน้าพระที่นั่ง  มีหนังสือต่างๆ ที่บันทึกการกระทำของมนุษย์ทั้งปวงเปิดออกขณะเดียวกันมีหนังสือแห่งชีวิตอยู่ด้วย เพื่อยืนยันให้รู้ว่าผู้ที่ไม่มีชื่ออยู่ในหนังสือแห่งชีวิตทุกคนต้องรับการพิพากษาตามการกระทำของเขา (20:15)    ดูเหมือนการพิพากษานี้จะมีไว้เฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้รับความรอดเท่านั้น  ภาพที่ให้ความกระจ่างกับเรามากขึ้น ได้แก่ การอธิบายให้รู้ว่าการตายครั้งที่สองของผู้ที่ถูกพิพากษานั้น คือการที่พวกเขาถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟชั่วนิรันดร์  และควันแห่งการทรมานของเขาพลุ่งขึ้นตลอดเป็นนิตย์ และคนทั้งหลายที่บูชาสัตว์ร้ายและรูปของมัน และที่รับเครื่องหมายชื่อของมันจะไม่มีการพักผ่อนเลยทั้งกลางวันกลางคืน (14:11) แล้วความตายและแดนมรณาก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ บึงไฟนี่แหละเป็นความตายครั้งที่สอง 20:14
                บึงไฟหรือนรกนี้ เป็นพยานถึงความชอบธรรมและเที่ยงธรรมของพระเจ้า ที่ไม่ยอมให้ความอธรรมคงอยู่ในแผ่นดินสวรรค์ของพระองค์ ขณะเดียวกันก็ชี้ให้เห็นถึงความรับผิดชอบที่มนุษย์จะต้องมีในโลกนี้ การกระทำของเขาได้ฟ้องร้องเขา   การไม่ยอมรับพระคุณของพระเจ้าที่กางเขน พึ่งพาการกระทำของตนก็ต้องรับผลตามที่ตนได้ก่อขึ้น  นอก จากนี้บึงไฟนรกก็ได้บอกให้เรารู้ว่าผลของความบาปเป็นอย่างไร
                น่าสังเกตอย่างยิ่ง คือ ข้อสรุปในตอนนี้ที่ว่า ถ้าผู้ใดที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือ ผู้นั้นก็ถูกทิ้งลงไปในบึงไฟ (20:15)       ซึ่งยืนยันให้รู้ว่า พระคุณที่บนกางเขนของพระคริสต์เท่านั้น ที่ให้มนุษย์รอดพ้นจากความพิพากษาและบึงไฟนรกได้ ไม่ใช่การกระทำที่มีจำกัดของมนุษย์
                ระยะเวลาการลงโทษ
                ทุกคนที่ไม่มีชื่อในหนังสือแห่งชีวิตจะถูกทิ้งลงในบึงไฟนรก (วว 20.15) ซึ่งเรียกว่าเป็นความตายครั้งที่สอง จึงเกิดคำถามขึ้นว่า จะเป็นการลงโทษถาวรเป็นนิตย์หรือไม่  ตามพระวจนะแล้วสามารถตอบได้ว่า ชั่วนิจนิรันดร์  ข้อพระคัมภีร์ที่ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็น มัทธิว 25.46  ที่กล่าวถึงโทษนิรันดร์ของคนชั่วเปรียบเทียบกับความสุขสำราญชั่วนิรันดร์ของผู้ที่ได้รับความรอด ผู้ที่เชื่อจะมีชีวิตนิรันดร์อยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าและเป็นที่โปรดปรานตลอดไป ผู้ที่ไม่เชื่อจะต้องอยู่โดยขาดจากพระเจ้าผู้กอปรด้วยพระคุณชั่วนิรันดร์
                สรุป
                ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์นั้นไม่ต้องกลัวการพิพากษา  เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระอาชญาซึ่งพระเจ้าทรงมีต่อความบาปได้ตกอยู่ที่พระเยซูแล้ว เราได้รับการลบล้างบาปแล้ว และจะไม่ถูกลงโทษด้วยพระอาชญาในวันพิพากษา (โรม 3.24-26, 2 โครินธ์ 5.21) ชื่อของเราได้จดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตแล้ว (ลูกา 10.20, ฟิลิปปี 4.13)
                แต่ไม่ได้หมายความว่าคริสเตียนจะไม่ถูกพิพากษาเสียเลย  เราจะรอดแน่นอน แต่เราก็จะต้องปรากฏตัวต่อพระพักตร์พระคริสต์ พระองค์จะพิจารณาดูชีวิตของเราว่า เราได้ใช้ชีวิตเพื่อพระองค์หรือเพื่อตนเอง เราได้ปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์หรือตามโลกียวิสัย  ซึ่งจะเป็นการตัดสินว่าเราจะได้บำเหน็จอะไร หรือจะต้องอับอายขายหน้าอยู่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า (1 โครินธ์ 3.8-15, 2 โครินธ์ 5.10)

                ความอยากรู้อยากเห็นของเราอาจทำให้เราอยากรู้หลายสิ่งที่พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกไว้  แต่การที่พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งนั้นแสดงว่า  เราควรจะพอใจกับสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่เราไว้ที่พระองค์ทรงเห็นว่าเพียงพอแล้ว


No comments:

Post a Comment