1.
เบื้องหลังการเขียน
1.1 ผู้เขียน ผู้เขียนจดหมายฉบับนี้คือ ยอห์น บุตรเศเบดี
อัครสาวกของพระเยซูคริสต์ และเป็นผู้เขียนพระกิตติคุณยอห์น และพระธรรมวิวรณ์
จดหมายของยอห์นไม่ได้อ้างถึงตัวท่านเหมือนกับจดหมายฉบับบอื่นๆในพระคัมภีร์ใหม่ ใน
2 ยอห์น ข้อ 1 และใน 3 ยอห์น ข้อ 1 ผู้เขียนเรียกตัวเองว่า ‘ผู้ปกครอง’
นั้น ทำให้บางคนคิดว่าน่าจะเป็นลูกศิษย์ของอัครสาวกยอห์นไม่ใช่ตัวท่านยอห์นเอง อย่างไรก็ตาม ใน 1 ยอห์น ผู้เขียนเป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์ในลักษณะเป็นผู้ที่ได้ยิน
ได้เห็น ได้สัมผัสกับพระองค์มาด้วยตนเอง (1.1) จดหมาย 1 – 2
และ 3 ยอห์น มีลักษณะการเขียน แนวคิดที่คล้ายคลึงกัน ฉะนั้นคำว่า ‘ผู้ปกครอง’ จึงเล็งถึงความเป็นผู้อาวุโสของยอห์น
ซึ่งในขณะนั้นท่านอาจจะมีอายุถึง 90 ปีแล้ว
และเป็นผู้ที่มีอายุยืนยาวที่สุดในบรรดาอัครฑูตของพระเยซูคริสต์
1.2 จุดประสงค์ ยอห์นเขียนจดหมายฉบับนี้
เพื่อต่อต้านคำสอนเท็จที่กำลังแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักร
ลัทธิเทียมเท็จขณะนั้นเรียกว่า ‘ลัทธินอสติค’ ซึ่งในจดหมาย
2 เปโตรได้กล่าวถึงมาบ้างแล้ว ลัทธินี้สอนว่า
1.
ร่างกายเป็นสิ่งชั่วร้ายจึงช่วยให้รอดไม่ได้ แต่ความรอดคือการหลีกหนีจากร่างกาย
2.
จิตวิญญาณเป็นสิ่งดี จึงช่วยให้รอดได้
3.
ลัทธินอสติคปฏิเสธความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ของพระเยซู
เพราะถือว่าร่างกายเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย ดังนั้นพระเยซูที่เป็นพระเจ้าที่บริสุทธิ์จะมามีร่างกายที่เป็นเนื้อหนังที่ชั่วร้ายไม่ได้
ความคิดนี้แยกเป็น 2 ทางคือ
ก.
ทรรศนะแบบโดเสติส (Docetism)
กลุ่มนี้เชื่อว่าพระเยซูเป็นวิญญาณเท่านั้น
พระองค์ไม่มีกายเนื้อหนังอย่างมนุษย์ แต่ร่างกายที่ปรากฏบนโลกเป็นกายทิพย์
ซึ่งดูเหมือนร่างกายมนุษย์ที่มีเนื้อหนังแต่ไม่ใช่
ดังนั้นพวกนี้เชื่อว่าเมื่อพระเยซูเดินไปในที่ต่างๆนั้น พระองค์ไม่มีรอยเท้า
ข.
ทรรศนะแบบเสรินตัส (Cerinthus)
กลุ่มนี้เชื่อว่าพระคริสต์เสด็จมาสวมทับบนร่างกายมนุษย์อีกคนหนึ่งที่ชื่อว่า
‘เยซู’ ซึ่งชายคนนี้เป็นคนดี มีศีลธรรม
เชื่อฟังพระเจ้า
ในพิธีบัพติศมานั้นเองที่พระคริสต์เสด็จลงมาสวมทับชายผู้นี้ในสัณฐานคล้ายนกพิราบ
เขาจึงมีฤทธิ์อำนาจ สามารถทำการอัศจรรย์ และประกาศข่าวประเสริฐของพระบิดาได้
แต่เมื่อเขาถูกตรึงบนกางเขนนั้น พระคริสต์ได้ออกจากร่างกายของเขาไป
ดังนั้นผู้ที่ทนทุกข์ทรมานและตายบนไม้กางเขนจึงไม่ใช่พระคริสต์
แต่เป็นร่างของชายที่ชื่อเยซู
จากทรรศนะทั้งสองทำให้เราเห็นว่า
พวกนอสติคไม่เชื่อในความเป็นมนูษย์ที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ ดังนั้นใน 1 ยอห์น
และ พระกิตติคุณยอห์น จึงเป็นคำสอนที่คัดค้านความคิดเหล่านี้ โดยท่านได้กล่าวใน 1
ยอห์น 4.2-3 ว่า วิญญาณที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ก็มาจากพระเจ้า
และผู้ที่ปฏิเสธความจริงนี้ก็เป็นปฏิปักษ์ของพระคริสต์ และในยอห์น 1.14
ท่านได้กล่าวว่าพระวาทะทรงบังเกิดเป็นเนื้อหนัง ดังนั้นในคำขึ้นต้นจดหมาย ยอห์นจึงเน้นว่า
เขาได้ยิน พินิจดูและกระทั่งสัมผัสพระองค์แล้วว่าทรงเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แท้จริง
4.
พวกนอสติคมีความเชื่อว่า เนื้อหนังเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย
พวกนี้จึงมีทรรศนะคติต่อเนื้อหนัง 2 ประการ
4.1
ทรมานร่างกายด้วยการอดอาหาร ครองโสด และกระทั่งทำร้ายร่างกายโดยเจตนา
4.2
เมื่อช่วยร่างกายให้รอดไม่ได้ก็ให้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน
มึนเมาในราคะตัณหาให้เต็มที่โดยไม่ถือว่าบาปแต่อย่างใด
ซึ่งแนวคิดเช่นนี้ยอห์นได้คัดค้านอย่างเต็มที่
5.
พวกนอสติคอ้างว่าคนเราจะรอดได้ด้วยความรู้ และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความรู้นี้
พวกนี้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม
5.1
พวกจิตวิญญาณสูง พวกนี้ใกล้ชิดพระเจ้ามาก
5.2
พวกคนธรรมดา ซึ่งไม่สามารถเข้าใจศาสนาได้ถ่องแท้ และไม่สามารถใกล้ชิดพระเจ้าได้
การแบ่งกลุ่มของคน
2 ประเภทนี้ ทำให้การสามัคคีธรรมในหมู่คริสเตียนกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
แต่ยอห์นชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่จะพิสูจน์ความเป็นคริสเตียนที่แท้จริงนั้นไม่ใช่ความรู้
แต่เป็นความรักต่อพี่น้องและทุกคน
6.
พวกนอสติคเชื่อว่า บุคคลฝ่ายวิญญาณหยั่งรู้ทุกสิ่งทั้งดีและชั่ว
เขาจึงเป็นคนที่ดีพร้อมแล้ว
ดังนั้นยอห์นจึงเตือนว่า คนที่คิดว่าตนเองไม่มีบาปก็มุสาต่อตนเอง (1.9)
นอกจากนั้น
ยอห์นยังมีจุดประสงค์อีกบางประการในการเขียนจดหมาย คือ
-
เพื่อผู้เชื่อในพระคริสต์จะมีความปลาบปลื้มยินดีอย่างบริบูรณ์ (1.4)
-
เพื่อผู้เชื่อจะมีความมั่นใจในความรอดอย่างบริบูรณ์
1.3
ผู้รับ 1 ยอห์นไม่ได้ระบุแน่นอนว่าเขียนถึงใคร
ผู้รับอาจจะเป็นคนต่างชาติ
สังเกตุจากคำกำชับตอนท้ายเตือนไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับรูปเคารพ (5.21) แต่ก็เป็นไปได้ว่าคำว่า ‘รูปเคารพ’ นั้นไม่ได้หมายถึงตามตัวอักษร
แต่ผู้เขียนอาจจะหมายถึงคำสอนเท็จที่ว่างเปล่า
ซึ่งถ้าพวกเขายอมรับก็เท่ากับว่ากำลังก้มกราบไหว้รูปเคารพ
ผู้รับคงจะอยู่ในที่หนึ่งที่ใดโดยเฉพาะ
(2.19)
และยอห์นรู้จักสถานการณ์และความต้องการของเขาเป็นอย่างดี รวมทั้งมีความสัมพันธ์ในลักษณะเป็นผู้เลี้ยงทางฝ่ายจิตวิญญาณ
ยอห์นเขียนในภาษาที่ค่อนข้างคุ้นเคย โดยใช้คำว่า ‘ลูกของข้าพเจ้าเอ๋ย’
ซึ่งเป็นไปได้ว่าผู้รับเป็นคนที่ยอห์นได้นำมาสู่ความเชื่อ สิ่งที่เราสรุปได้คือ
ยอห์นเขียนถึงกลุ่มคริสตจักรที่ท่านรับผิดชอบอยู่ในแถบเอเชีย
โดยเฉพาะคริสตจักรที่อยู่รอบๆเอเฟซัส
1.4 เวลาที่เขียน โดยทั่วไปเชื่อว่า
ยอห์นเขียนจดหมายฉบับนี้ที่เมืองเอเฟซัส ประมาณปี ค.ศ.85-95
ถึงแม้จะเป็นการยากที่จะกำหนดวันเวลาที่แน่นอน แต่พอจะเห็นได้จากหลักฐานบางประการ
1.
หลักฐานจากผู้นำคริสตจักรยุคหลังอัครทูต เช่น อิเรนัส และ คลีเม้นท์
ได้ยืนยันว่ายอห์นเขียนจดหมายฉบับนี้เมื่ออายุมากแล้ว
และเขียนหลังจากพระกิตติคุณยอห์นไม่นานนัก
2.
เนื้อหาในจดหมายโจมตีลัทธินอสติค ซึ่งแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรในปลายศตวรรษที่ 1
1.5
ลักษณะพิเศษ
1.
ยอห์นพยายามนำผู้อ่านกลับสู่แนวความคิดหลักสำคัญ เช่น ความสว่าง ความจริง
ความเชื่อ ความรัก และความชอบธรรม ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตคริสเตียน
2.
การใช้ภาษาอย่างตรงไปตรงมา ท่านไม่ยอมให้มีการประนีประนอมในเรื่องความเชื่อ เช่น
ความมืดและความสว่าง ความชอบธรรมกับความบาป
ผู้ใดที่รักโลกความรักของพระเจ้าก็ไม่อยู่ในผู้นั้น และผู้ใดที่รับเชื่อแต่ไม่ประกาศหรือแสดงออกซึ่งชีวิตคริสเตียนที่แท้จริง
คนนั้นก็เป็นคนมุสา
3.
ไม่ค่อยมีการอ้างอิงพระคัมภีร์เดิม เนื้อหาของจดหมายดูเหมือนมีรากฐานอยู่ที่ประสบการณ์และแนวคิดของยอห์นมากกว่าเป็นลักษณะการสำแดงเปิดเผยความจริง
ยกพระคัมภีร์เดิมตอนเดียวคือ 3.12
4.
การอ้างอิงถึงหลักคำสอนของพระเยซูคริสต์ มีเป้าหมายเพื่อจะต่อสู้กับคำสอนผิด เนื่องจากเน้นเรื่องการบังเกิดและการทรงไถ่โดยพระโลหิตของพระเยซู ยอห์นจึงไม่ได้เน้นการเป็นขึ้นมาจากความตาย
2.
โครงเรื่องของพระธรรม 1 ยอห์น
1. บทนำ –
ความจริงแห่งการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระ บทที่
1.1-4
2.
คริสเตียนในฐานะผู้สามัคคีธรรมกับพระบิดาและพระบุตร (บทที่ 1.5-2.28)
2.1
การทดสอบการสามัคคีธรรมด้านจริยธรรม (บทที่ 1.5-2.11)
ก.
เหมือนพระเจ้าในด้านศีลธรรม บทที่
1.5-7
ข.
การสารภาพบาป บทที่
1.8-2.2
ค.
การเชื่อฟัง บทที่
2.3-6
ง.
ความรักต่อพี่น้อง บทที่
2.7-11
2.2
ผู้ที่รักพระเจ้าไม่รักโลก บทที่
2.12-17
2.3 การทดสอบการสามัคคีธรรมด้านพระเยซูคริสต์
(บทที่ 2.18-28)
ก.
สิ่งที่ตรงกันข้าม – ปฏิปักษ์กับผู้เชื่อ บทที่
2.18-21
ข.
พระเยซูคริสต์ – ประเด็นหลักของการทดสอบ บทที่
2.22-23
ค.
การยืนหยัดในความเชื่อ – กุญแจแห่งการสามัคคีธรรม บทที่
2.24-28
3. คริสเตียนในฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า
(บทที่ 2.29-4.6)
3.1
การทดสอบด้านจริยธรรมของการเป็นบุตร (บทที่ 2.29-3.24)
ก.
ความชอบธรรม บทที่
2.29-3.10ก
ข.
ความรัก บทที่
3.10ข-24
3.2
การทดสอบการเป็นบุตรด้านพระเยซูคริสต์ บทที่
4.1-6
4. คริสเตียนในฐานะเป็นกลุ่มชนแห่งจริยธรรมและแห่งพระเยซูคริสต์
(บทที่ 4.7-5.12)
4.1
การทดสอบด้านจริยธรรม – ความรัก (บทที่ 4.7-5.5)
ก.
แหล่งที่มาของความรัก บทที่
4.7-16
ข.
ผลของความรัก บทที่
4.17-19
ค.
ความสัมพันธ์ระหว่าง รักพระเจ้ากับรักพี่น้อง บทที่
4.20-5.1
ง.
การเชื่อฟัง – หลักฐานของความรักที่มีต่อพระเจ้า บทที่
5.2-5
4.2
การทดสอบด้านพระเยซูคริสต์ บทที่
5.6-12
5. สรุป –
ความแน่นอนอันยิ่งใหญ่ของคริสเตียน บทที่
5.13-21
3. บทสรุป
ต้นไม้ยังมีชีวิตอยู่ถ้ามันผลิดอกออกผล
คริสเตียนก็ยังมีชีวิตอยู่ถ้ามีผลฝ่ายวิญญาณเกิดขึ้นในชีวิต ผลฝ่ายวิญญาณ 3
ประการที่กล่าวไว้ในพระธรรมเล่มนี้ คือ
1. ความชอบธรรม
–
เราต้องมีชีวิตในความชอบธรรมของพระคริสต์ ประพฤติด้วยความชอบธรรม
2. ความรู้
–
เราต้องเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า
3. ความรัก
– เราต้องมีความรักเหมือนพระเยซูคริสต์
ด้วยการกระทำและด้วยความจริงใจ
ด้วยวิธีเช่นนี้
เราจึงมั่นใจว่าเราได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว (5.13) และสามารถมั่นใจในเรื่องความรอด
ชีวิตความเชื่อและความรัก
พระธรรมเล่มนี้สามารถใช้สร้างความมั่นใจให้แก่คริสเตียนที่เกิดผลว่าเขาได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว หรือใช้ท้าทายคริสเตียนที่หลับอยู่ให้เกิดผล หรือใช้แยกแยะว่าใครเป็นคริสเตียนจอมปลอมที่กำลังพาคนอื่นให้หลงทางไป คุณจะใช้พระธรรมเล่มนี้อย่างไร
??
No comments:
Post a Comment