1.
เบื้องหลังการเขียน
1.1 ผู้เขียน จากข้อความในจดหมายและหลักฐานอื่นๆพอจะยืนยันได้ว่า
จดหมายนี้เขียนโดย ยากอบน้องชายของพระเยซู
(กาลาเทีย 1.19) ไม่ใช่อัครสาวกยากอบ บุตรเศเบดีที่ถูกเฮโรดประหาร (กจ
12.2) ในราวปี ค.ศ.44 ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาของคริสตจักรยุคแรก การคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ยากอบหันมาสู่ความเชื่อในพระเยซูคริสต์
(1 โครินธ์ 15.7) และต่อมาท่านได้เป็นผู้นำของคริสตจักรในเยรูซาเล็มซึ่งเป็นเสมือนคริสตจักรแม่ของคริสตจักรทั่วโลก
ท่านเป็นที่เคารพนับถือของคริสตชนในยุคนั้นมาก
และยังเป็นสาวกที่ประกาศข่าวประเสริฐแก่ชาวยิวโดยเฉพาะ (กาลาเทีย 2.9)
ยากอบถูกประหารชีวิตเมื่อประมาณ ค.ศ. 60-65
1.2 จุดประสงค์ จดหมายของยากอบมีคำสอนคล้ายคลึงกับคำสอนของพระเยซูคริสต์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคล้ายกับคำเทศนาบนภูเขา ยากอบมีวิธีประกาศตามแบบของพระเยซูคริสต์
ท่านไม่ได้พูดถึงการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์
เพราะเห็นว่าผู้รับจดหมายนี้คงทราบชีวประวัติและความยิ่งใหญ่ของพระองค์แล้ว
แต่ท่านได้ชี้ให้ผู้อ่านได้เห็นถึงสภาพอันชั่วร้ายของพวกเขา (1.21, 2.1-4)
และแนะนำวิธีแก้ไข (3.2, 17-18) เพื่อนำเขามาสู่ความสุขที่บริบูรณ์อย่างแท้จริง
ท่านเตือนให้พวกเขาเลิกเป็นคนหน้าซื่อใจคด (1.22, 2.14-16,3.17)
การฟังและเรียนรู้พระบัญญัตินั้นไม่เพียงพอ (1.22) เขาต้องประพฤติตามด้วย
และใช้พระวจนะเป็นมาตรฐานการดำเนินชีวิตทุกด้าน (1.25, 2.8-12) เช่นในยามถูกทดลอง
การใช้คำพูด (3.1-42) การทำมาหาเลี้ยงชีพ การวางแผนต่างๆ การอดทนต่อกางเขน
การทนทุกข์และการอธิษฐาน
นอกจากนั้นท่านยังหนุนใจให้ธรรมิกชนยอมรับการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์และติดตามพระองค์ไป
ซึ่งหมายถึงการยอมทนทุกข์เพื่อพระองค์ จนกว่าจะได้รับรางวัล คือ มงกุฏแห่งชีวิต
1.3
ผู้รับ ยากอบเขียนถึงผู้เชื่อทุกคนในเวลานั้นและเรียกเขาว่าเป็น
‘คนสิบสองเผ่าที่กระจัดกระจาย’
เพราะตั้งแต่อาณาจักรอิสราเอลฝ่ายเหนือแตกในราปี 722 กคศ. และฝ่ายใต้แตกในราวปี
586 กคศ. คนอิสราเอลสิบสองเผ่ากระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ
ต่อมายากอบได้ใช้คำนี้เรียกคริสเตียนยิวในสมัยนั้นและรวมไปถึงผู้เชื่อที่เป็นคนต่างชาติด้วย
เพราะทุกคนที่มาเชื่อพระเยซูกลายเป็นคนอิสราเอลใหม่
จดหมายนี้ไม่ได้เขียนเจาะจงถึงคริสตจักรใดคริสตจักรหนึ่งโดยตรง
แต่เฉพาะอย่างยิ่งถึงชาวยิวที่อพยพและกระจัดกระจายอยู่ในต่างแดน (1.1, 4.13)
‘ คนสิบสองเผ่า’
เป็นชื่อที่ใช้เรียกชาวยิวทั่วไปในสมัยนั้นหลังจากที่กรุงสะมาเรียแตก(2พงษ์กษัตริย์
17) ชาวยิวหลายเผ่าได้กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ในข้อ 1.1 ท่านยากอบได้เรียกตนเองว่าเป็น
‘ผู้รับใช้พระเจ้า’ และ ‘ของพระเยซูคริสต์’
1.4 เวลาที่เขียน จดหมายฉบับนี้เขียนขึ้นที่กรุงเยรูซาเล็ม
ประมาณปี ค.ศ.45-50 ซึ่งนับได้ว่าเป็นจดหมายฉบับแรกที่เขียนขึ้น
มีหลักฐานบางประการที่ยืนยันว่า
ยากอบเขียนขึ้นในช่วงแรกๆของการตั้งคริสตจักร ได้แก่
1.
บทที่ 5.7-9 กล่าวถึงการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์และหนุนใจให้คริสเตียนอดทน
ซึ่งในคริสตจักรยุคแรกคาดหวังว่าพระองค์จะเสด็จมาโดยเร็ว
จดหมายนี้จึงน่าจะเขียนขึ้นในช่วงแรกๆ เพราะในช่วงหลังคริสเตียนเริ่มรู้สึกว่า
การเสด็จกลับมาคงจะไม่ได้เกิดขึ้นในยุคพวกเขาเป็นแน่
2.
ยากอบไม่ได้กล่าวถึงข้อขัดแย้งในการรับชาวต่างชาติมาเป็นคริสเตียน
ซึ่งการที่คริสตจักรยอมรับชนต่างชาติที่เชื่อเข้ามาสู่คริสตจักรนั้นเกิดขึ้นประมาณปี
ค.ศ.48-49 ดังนั้นยากอบน่าจะเขียนขึ้นก่อนเหตุการณ์นี้
3.
บทที่ 2.2 เรียกที่ประชุมของคริสเตียนในสมัยนั้นว่า ธรรมศาลา
ซึ่งแสดงว่าเป็นช่วงแรกๆของคริสตจักรที่ยังใช้ระบบระเบียบการนมัสการแบบยิวอยู่
จนกระทั่งต่อมาจึงใช้คำว่าคริสตจักรแทน
4.
บทที่ 5.14 ผู้ปกครองคริสจักร (แบบจากยิว)
แต่ไม่ได้กล่าวถึงมัคนายก หรือ บิชอป ซึ่งเป็นโครงสร้างการปกครองในช่วงหลัง
จดหมายนี้จึงน่าจะเขียนขึ้นในช่วงแรกที่การปกครองยังไม่เป็นระบบ
5.
ยากอบเน้นถึงกฎบัญญัติ การประพฤติ ศีลธรรมและจริยธรรม
ซึ่งเป็นเรื่องของคริสตจักรในช่วงแรกๆเมื่อยิวมาเป็นคริสเตียน
เนื่องจากยิวรู้กฎบัญญัติดีอยู่แล้ว จึงต้องช่วยในสิ่งที่เขารู้ดีอยู้แล้วให้กลายมาเป็นการดำเนินชีวิต
1.5
ลักษณะพิเศษ
1.
มีลักษณะความเป็นยิว
ยากอบมักจะอ้างจากพระคัมภีร์เดิมมาเป็นสิ่งสนับสนุนแนวคิดของท่านหลายครั้ง เช่น
1.11, 2.8, 2.11, 2.23 และ 4.6 นอกจากนี้ยังอ้างจากเบญจบรรณ สุภาษิต สดุดี โยบ และ
1 พงษ์กษัตริย์
2.
การเขียนค่อนข้างง่าย ไม่มีศาสนศาสตร์ที่ยาก
3.
เน้นการดำเนินชีวิตในความเชื่อ โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อและการประพฤติ
4.
แสดงให้เห็นว่ายากอบเข้าใจและรู้หลักคำสอนของพระเยซูคริสต์จริงๆ
คำสอนใกล้เคียงกับคำเทศนาบนภูเขาของพระเยซูมากๆ
5.
ยากอบใช้ภาษากรีกที่สละสลวยมาก
6.
เน้นการประพฤติมากกว่าหลักข้อเชื่อ ด้วยเหตุนี้คำสอนของยากอบจึงถูกมองว่าขัดแย้งกับหลักคำสอนของเปาโล
และศาสนศาสตร์เรื่องความรอดในพระคัมภีร์ แต่แท้จริงแล้วยากอบมิได้สอนว่า
มนุษย์จะได้รับความรอดโดยการประพฤติและความเชื่อ แต่ท่านสอนว่าความประพฤติจะต้องเป็นผลที่เกิดจากความเชื่อแท้
7.
มีลักษณะเหมือนคำเทศนามากกว่าจดหมาย เน้นเรื่องการใช้สติปัญญาและความประพฤติ
2.
โครงเรื่องของพระธรรม ยากอบ
1. คำทักทาย บทที่
1.1
2. ความทุกข์ลำบากและการทดลอง (บทที่ 1.2-18)
2.1 การทดสอบความเชื่อ บทที่
1.2-12
2.2 ต้นเหตุแห่งการทดลอง บทที่
1.13-18
3. การฟังและการประพฤติ บทที่
1.19-27
4. ห้ามไม่ให้ลำเอียง บทที่
2.1-13
5. ความเชื่อและการประพฤติตาม บทที่
2.14-26
6. การควบคุมลิ้น บทที่
3.1-12
7. สติปัญญาสองแบบ บทที่
3.13-18
8.
ตักเตือนไม่ให้ดำเนินชีวิตตามอย่างโลกนี้
(บทที่ 4)
8.1
การทะเลาะวิวาท บทที่
4.1-3
8.2
การไม่สัตย์ซื่อฝ่ายวิญญาณ บทที่
4.4
8.3
ความเย่อหยิ่ง บทที่
4.5-10
8.4
การใส่ร้ายป้ายสี บทที่
4.11-12
8.5 การโอ้อวด บทที่
4.13-17
9.
ตักเตือนคนร่ำรวยที่ข่มเหงคนยากจน บทที่
5.1-6
10. คำหนุนใจทั่วๆไป (บทที่ 5.7-20)
10.1
เกี่ยวกับความอดทนและความทุกข์ บทที่
5.7-11
10.2
เกี่ยวกับการสาบาน บทที่
5.12
10.3
เกี่ยวกับการอธิษฐานและความเชื่อ บทที่
5.13-18
10.4 เกี่ยวกับคนที่หลงไปจากความจริง บทที่
5.19-20
3. บทสรุป
ในพระธรรมยากอบมีบทเรียนมากมายที่คริสเตียนส่วนใหญ่จะเข้าใจได้ไม่ยาก
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าจะนำอะไรมาประยุกต์ใช้ แต่อยู่ที่ว่าจะประยุกต์ใช้เมื่อใดต่างหาก
เราควรจะถามตัวเองว่า
-
เราถูกทดลองเรื่องความลำเอียงต่อคนมั่งมีหรือไม่
-
เราถูกทดลองโดยการควบคุมคำพูดไม่ได้หรือไม่
-
เราถูกทดลองในเรื่องกิเลสตัณหาหรือไม่
-
เราถูกทดลองเรื่องการเอารัดเอาเปรียบคนจนหรือไม่
-
เราถูกทดลองโดยการขาดความเชื่อเมื่อถูกคนอื่นเอารัดเอาเปรียบหรือไม่
ความเชื่อที่ไม่เคยถูกทดลองไม่มีวันเติบโตได้
No comments:
Post a Comment