Wednesday, November 6, 2013

รักแท้


มีใครบ้างที่ไม่ต้องการความรัก ...  เชื่อว่าคงไม่มีใครที่ไม่ต้องการความรัก หรือไม่ต้องการให้คนอื่นมารักเรา ในโลกของเรานี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่งดงาม แต่มีสิ่งหนึ่งที่งดงามที่สุดซึ่งอยู่คู่กับโลกเราและจะขาดไปไม่ได้เลย นั่นคือความรัก นิยามของความรัก มีความหมายที่แตกต่างกันหลายด้าน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้ที่กำหนดคำนิยามนั้นๆว่าจะกำหนดว่าอะไร ถ้าเราจะเปรียบเทียบความหมายของความรักในหนังสือนิยายหรือในละครทีวี กับความหมายของความรักตามหลักของพระคริสตธรรมคัมภีร์ก็คงจะเห็นถึงความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

มีผู้กำหนดนิยามความรักตามลักษณะความสัมพันธ์ไว้ว่า
พ่อแม่ กับ ลูก – เข้ามาถึงตัวลูกทุกครั้งที่ลูกมีปัญหา มีความทุกข์
                  สามี กับ ภรรยา – ความรักคือการเสียสละ
                  พี่ กับ น้อง – ความรักคือการช่วยเหลือ
                  ครู กับ ศิษย์ – ความรักคือความปรารถนาดี การอบรมสั่งสอน
                  หนุ่ม กับ สาว – ความรักเป็นอารมณ์โรแมนติค
                  เพื่อน กับ เพื่อน – ความรักคือการพึ่งพากัน ช่วยเหลือกัน

และยังมีผู้กำหนดนิยามความรักตามลักษณะการกระทำไว้อีกว่า
ความรักคือความทุกข์ การทนทุกข์เพื่อเขา
ความรักคือการให้ การเอาใจใส่ เลี้ยงดู และดูแล

ตามคำนิยามทั้งหลายเหล่านี้ เราจะเห็นว่าความรักนั้นคือการให้ ไม่ใช่การเรียกร้องฝ่ายเดียว และแน่นอนทีเดียว ใครๆก็อยากจะมีความรัก ต้องการความรัก เพราะความรักเป็นสิ่งที่ดีงามที่ผู้คนควรจะมอบให้แก่กันและกัน
          คำว่า ความรักในภาษากรีก มีอยู่ 4 คำด้วยกัน ซึ่ง 4 คำนี้จะทำให้เราเข้าใจในคำว่าความรักในแต่ละประเภทว่าเป็นอย่างไร
          1.  เอรอส  เป็นความรักที่ยึดเอาตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง และเรียกร้องคนที่เขารักให้ตอบสนอง ความรักประเภทนี้เป็นความรักแบบความใคร่
          2.  สตอร์เก้  เป็นความรักระหว่างคนในครอบครัว  ความรักที่พ่อแม่มีต่อลูก และความรักที่ลูกมีต่อพ่อแม่
          3.  ฟีเลอีส  เป็นความรักที่แสดงถึงความสัมพันธ์ที่ดี เช่น เพื่อนต่อเพื่อน สามีต่อภรรยา พระเยซูเองก็ใช้คำนี้กับลาซาลัส
          4.  อากาเป้  เป็นความรักที่บริสุทธิ์ เป็นความรักของพระเจ้า เป็นความรักที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากธรรมชาติของมนุษย์ หรือพัฒนามาจากธรรมชาติของมนุษย์ เพราะพระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า การงานของเนื้อหนังจะผลิตผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ออกมาไม่ได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นแหล่งของความรักแบบอากาเป้ ซึ่งเป็นความรักที่ดำรงอยู่ตลอดไป ไม่มีวันสูญสิ้น ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนในสภาพอย่างไร

          ความรักที่พระเจ้าประสงค์ในผู้เชื่อมี คือความรักแบบอากาเป้ ความหมายของอากาเป้ 3 ประการ

          ประการที่ 1.  ความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์  ยอห์น 3:16

"เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์"

          จากพระวจนะของพระเจ้าตอนนี้ได้พูดถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ ตรงนี้บอกว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์จนได้ทรงประทานพระเยซูพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ พูดง่ายๆภาษาชาวบ้านคือ  พระเจ้ารักมนุษย์ทุกคนที่อยู่ในโลก แม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นอย่างไรพระเจ้าก็รักเขา รักในสภาพที่เขาเป็นอยู่ เป็นเหตุให้พระองค์ได้ทรงประทานพระเยซูมาบังเกิดบนโลกนี้เมื่อ 2000 ปีที่แล้ว เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความผิดบาป เพราะว่าในพระธรรมโรม 6:23 บอกเราว่า ค่าจ้างของความบาปคือความตาย พระเจ้าไม่ประสงค์ให้คนหนึ่งคนใดต้องตาย แต่พระองค์ประสงค์ให้มนุษย์ทุกคนได้กลับคืนดีกับพระองค์ กลับคืนดีกับพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และผู้ทรงสร้างเราด้วย และนี่เป็นเหตุให้พระเยซูต้องมาตายบนไม้กางเขน ต้องถูกเฆี่ยน ถูกโบยตี ถูกทรมาน ถูกมนุษย์ผู้ต่ำต้อยผู้เป็นคนบาปทำร้ายพระองค์ แต่ขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นในวันที่ 3 และยิ่งกว่านั้นเราต้องขอบคุณพระเจ้าเพราะนี่เป็นโอกาสของมนุษย์ที่จะได้รับความรอด ตรงนี้พระวจนะของพระเจ้าบอกเราว่า ผู้ที่วางใจในพระเยซูจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์  ความรักของพระเจ้าไม่เคยทำให้เราผิดหวัง และไม่เคยทำให้เราเสียใจ

          ลักษณะความรักของพระเจ้า คือ
การให้  ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน
การเสียสละ การยกโทษ การให้อภัย ไม่จดจำความผิด
สัตย์ซื่อต่อคนที่รักพระองค์ ผู้ที่รักพระองค์ก็จะเกิดผลดี
มีความเมตตา กรุณา และอดทนนาน

เพราะฉะนั้น ความรักแท้คือการไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอาตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง และยินดีที่จะทุ่มเท เหมือนที่พระเจ้าทรงทุ่มเทโดยเอาชีวิตพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้าแลก  และเสนอชีวิตใหม่ให้กับเราทั้งหลาย นี่คือรักแท้ นี่คือความรักที่ยิ่งใหญ่ ความรักที่เต็มใจให้กับเราทั้งหลาย

ประการที่ 2.  มนุษย์ต้องมีความรักต่อพระเจ้า  มาระโก 12:30

"และพวกท่านจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน"

ในพระธรรมข้อนี้เราจะเห็นว่า นี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า และเป็นหน้าที่ของเราด้วยที่จะรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจและสิ้นสุดความคิด เราต้องยอมอุทิศตัวต่อพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์ เราจะรักอย่างไรให้สุดจิตสุดใจและสุดความคิด นั่นก็คืออย่าให้มีอะไรหรือสิ่งใดมาอยู่เหนือพระเจ้าในชีวิตของเราในความคิดของเรา ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง บ้านหลังใหญ่ รถคันงาม หรือแม้แต่สามีภรรยาหรือลูกๆ แต่ให้พระเจ้ามาก่อน อย่าให้หน้าที่การงาน ธุรกิจ การค้าขาย มาอยู่เหนือพระเจ้า อย่าให้การนัดหมายต่างๆมาเป็นอุปสรรคขวางกั้นเราในการมานมัสการพระเจ้า พระองค์ต้องมาก่อน

การที่เรารักพระเจ้าอาจจะสร้างความขัดแย้งและเกิดการต่อสู้ขึ้นในชีวิตของเรา เพราะการรักพระเจ้า หมายความว่า เราจะต้องมอบความไว้วางใจ ความจงรักภักดี ความเชื่อฟังต่อพระเจ้า สิ่งเหล่านี้เป็นรากฐานความสัมพันธ์ ความผูกพันให้เราติดสนิทกับพระองค์ ฉะนั้น คนที่บอกว่ารักพระเจ้าแต่ไม่ได้กระทำตามน้ำพระทัย ไม่ได้เชื่อฟัง ไม่ได้แสดงออกด้วยการกระทำเลย ผู้นั้นหลอกลวงตนเอง

ถ้าเรารักพระเจ้า เราควรแสดงออกโดย
- เชื่อฟังพระเจ้าด้วยความเต็มใจ พระธรรมอิสยาห์ 1:19 บอกว่า ถ้าเจ้าเต็มใจและเชื่อฟัง เจ้าจะได้กินผลดีแห่งแผ่นดิน
- ตั้งใจที่จะกระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า  เราต้องเอาใจใส่และให้ความสำคัญต่อการศึกษาพระคัมภีร์ เพราะเป็นทางเดียวที่จะไม่ผิดพลาดในการรู้ถึงพระประสงค์ของพระองค์
- อธิษฐาน ถวายตัวรับการสอน ฝึกฝน  ในพระธรรมสดุดี 143:10 บอกไว้ว่า ขอทรงสอนให้ข้าพระองค์ทำตามพระทัยของพระองค์

เราสามารถเรียนตัวอย่างจากชีวิตของโนอาห์ ปฐมกาล 6:8 เป็นต้นไป โนอาห์เป็นคนที่พระเจ้าทรงโปรดปราน เพราะพระเจ้าบัญชาให้โนอาห์ทำอะไร โนอาห์ก็ทำตามอย่างนั้นทุกประการ โดยไม่สงสัยแต่ไว้วางใจ

ประการที่ 3. จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง  มาระโก 12:31

          นี่เป็นบัญญัติข้อที่ 2 ที่พระเจ้าต้องการให้เกิดขึ้นท่ามกลางพวกเราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อ เรารู้หรือไม่ว่า ใครคือเพื่อนบ้าน.....................  เราคงได้อ่านเรื่องชาวสะมาเรียใจดี ในพระธรรม ลูกา 10:25-37 ที่บาเรียนคนหนึ่งได้ทดลองพระเยซูโดยถามว่า ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า พระเยซูตอบเขาโดยยกเรื่องชาวสะมาเรียที่พวกยิวรังเกียจให้ฟัง ตัวละครในเรื่องนี้ก็มีชายที่เดินทางไปเมืองเยรีโค โจร ปุโรหิต เลวี และชาวสะมาเรีย เราจะดูตัวละครแต่ละคน

          โจร เมื่อเห็นชายคนนั้น   เขามองชายนั้นเป็นที่จะแสวงหาผลประโยชน์ ต้องการทรัพย์สินเงินทองของเขา ถึงขนาดทำร้ายและทุบตีปางตายเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และปล่อยเขาทิ้งไว้รอความตายโดยไม่ใยดี ขออย่าให้เราเป็นเหมือนโจรพวกนี้ที่มองคนอื่นเพียงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากเขาเท่านั้น เมื่อไร้ประโยชน์หรือไม่มีอะไรจะให้แล้วก็ตีจากไป

          ปุโรหิตและเลวี เมื่อเห็นชายคนนั้นนอนบาดเจ็บอยู่ ก็รีบเดินเลี่ยงไปอีกฟากหนึ่ง พวกปุโรหิตและเลวี เป็นพวกที่มีหน้าที่รับใช้พระเจ้าในพระวิหาร ถวายเครื่องบูชา รับผิดชอบเกี่ยวกับพิธีกรรมต่างๆ  แต่สิ่งที่เขาแสดงออกในตอนนี้น่าจะเข้าทำนองสุภาษิตไทยที่ว่า มือถือสากปากถือศีล แทนที่จะรีบเข้าไปดูแลช่วยเหลือเมื่อเห็นเขาบาดเจ็บ ช่วยตัวเองไม่ได้และที่สำคัญเขาใกล้จะตายอยู่แล้ว เราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียน เราเป็นคนของพระเจ้า อย่าให้เราเป็นเหมือนปุโรหิตและคนเลวีนี้ ที่ไม่มีความรัก แต่รังเกียจและเห็นเป็นสิ่งที่จะต้องหลีกเลี่ยง

          ชาวสะมาเรีย  ที่พระเยซูยกคำอุปมาโดยใช้ชาวสะมาเรียเป็นตัวเอก เพราะว่าชาวยิวนั้นรังเกียจชาวสะมาเรียว่า พวกนี้ไม่ใช่ยิวแท้ เป็นพวกที่ผสมกับต่างชาติจึงไม่คบค้าสมาคมด้วย ดูถูกเขา แต่เพื่อให้พวกเขาได้เห็นชัดเจนว่า แม้ชาวสะมาเรียที่เขารังเกียจนั้น  ยังได้แสดงความรักของพระเจ้าต่อผู้อื่น ต่อเพื่อนบ้านของเขา เมื่อเขาเห็นชายที่บาดเจ็บ เขามีใจเมตตา เอาผ้าพันแผลพันให้ เอาเหล้าเทใส่บาดแผลเพื่อชำระเชื้อโรคให้อุ้มเขาขึ้นขี่บนหลังสัตว์ซึ่งเป็นพาหนะของตัวเอง  แล้วตัวเองต้องเดินจูง พาไปที่โรงแรมและรักษาพยาบาลเขา ที่พาไปโรงแรมเพราะสมัยนั้นคงไม่มีโรงพยาบาล และชาวสะมาเรียคนนี้ก่อนจะออกจากโรงแรมยังได้จ่ายเงินไว้ให้และสั่งให้ช่วยดูแลต่อ ถ้าเงินไม่พอเมื่อเขาผ่านมาจะนำมาจ่ายให้ ทำให้เราเห็นว่าความรักนั้นก็คือการให้โดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน ให้เพราะอยากให้ ช่วยเพราะอยากช่วย สำหรับเราแล้ว นั่นคือน้ำพระทัยของพระเจ้า

          ท่านรู้หรือยังว่าเพื่อนบ้านของท่านนั้นคือใคร...........จากคำอุปมานี้เราได้บทเรียนอยู่ 3 ประการ
          1.  เราสามารถหาข้อแก้ตัวได้ง่ายๆที่จะไม่รัก อย่างเช่นปุโรหิตและเลวี
          2.  เพื่อนบ้านของเราคือ มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนไทย จีน ฝรั่งหรือชาติใดๆ ไม่ว่าจะยากดีมีจน การศึกษาสูงหรือไร้การศึกษา คนแข็งแรงหรือคนที่บาดเจ็บไม่สบาย คนดีคนชั่วก็ล้วนแต่เป็นเพื่อนบ้านของเรา เพราะเขาเหล่านั้นยังไม่รู้จักกับพระเจ้า เขาต้องการความช่วยเหลือ เขากำลังบาดเจ็บฝ่ายวิญญาณ เขาไม่รู้จักกับพระเจ้า  และเขากำลังเดินไปในทางที่ตรงข้ามกับสวรรค์ เพราะเขาไม่รู้  เขาต้องการคนที่จะไปบอกเขา ไปช่วยเขาให้เดินในทางที่ถูกต้อง เขาเปรียบเหมือนคนที่บาดเจ็บนั้น ถ้าปล่อยทิ้งไว้ ปล่อยไปเรื่อยๆ เขาตายแน่ๆ เราจะต้องเป็นชาวสะมาเรียคนนั้น ท่านพร้อมแล้วหรือยัง
          3.  ความรัก ในที่นี้หมายถึง การช่วยเหลือเขาในสิ่งที่เขาขาดอยู่  พระเยซูทรงมีความรักที่ยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงยอมสละชีวิตของพระองค์เองเพื่อคนทั้งโลกและตัวเราทุกคน เพราะเรายังขาดอยู่ ถ้าพระองค์ไม่ช่วยเราก็ตายแน่ๆ แม้ว่าเราเป็นมนุษย์ที่บาป พระองค์ยังทรงเห็นว่าเรามีคุณค่าพอที่พระองค์จะสละชีวิตให้ได้ แล้วเราเราละ??

สรุปว่า ความรัก 3 ประการที่จะต้องมีอยู่ในชีวิตคริสเตียน คือ
          1.  ความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา
          2.  ความรักของเราที่มีต่อพระเจ้า
          3.  ความรักของเราที่มีต่อเพื่อนบ้านและคนทุกคน

พระวจนะในพระธรรม ยอห์น 13:34-35   
"เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย   คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน   เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร   เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น   ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน  ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา"

พระเยซูต้องการให้ชีวิตของเราทั้งหลายได้สำแดงออกถึงความรักของพระองค์ ให้คนอื่นได้เห็น ให้เพื่อนบ้านได้เห็น ได้สัมผัสถึงความรักของพระเยซูผ่านทางชีวิตของเรา  ความรักนั้นต้องแสดงออกด้วยการกระทำ การที่เราทั้งหลายจะรักคนอื่นเหมือนที่พระเยซูรักนั้น ต้องปฏิบัติ อย่าสักแต่พูด แต่ต้องให้สิ่งที่เราพูดนั้นสำแดงออกมาเป็นการกระทำ ความรักเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะนำผู้ที่ไม่เชื่อมาถึงพระเจ้าได้เท่านั้น แต่ยังเป็นการฝึกฝนให้ชีวิตเราเองเติบโตขึ้นในพระเจ้า เข้มแข็งขึ้นในพระเจ้า

·       ความรักจะไม่สร้างกำแพงแห่งความสงสัยหรือชิงชังให้เกิดขึ้นในใจ
·       ความรักจะไม่อิจฉา และไม่จ้องคอยจับผิดผู้อื่น
·       ความรักจะหล่อเลี้ยงวิญญาณจิตด้วยแรงอธิษฐาน
·       ความรักจะไม่ปล่อยให้ปากวิพากษ์วิจารณ์ นินทาว่าร้ายคนอื่น
·       ความรักจะยกย่องคุณความดีของผู้อื่น

ขอจบลงด้วยพระวจนะของพระเจ้าใน พระธรรม 1 โครินธื 13:4-7
"ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้   ความรักไม่อิจฉา   ไม่อวดตัว   ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย   ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว   ไม่ฉุนเฉียว   ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด   แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น   และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ   และมีความหวังอยู่เสมอ  และทนต่อทุกอย่าง"
 
 
 
  

No comments:

Post a Comment