1. เบื้องหลังการเขียน
1.1 ผู้เขียน เปาโลเป็นผู้เขียน (1.1)
และไม่มีข้อโต้แย้งใดๆเกี่ยวกับการเป็นผู้เขียนของท่าน
1.2
จุดประสงค์ พวกยูดาห์นิยม คือคริสเตียนชาวยิวที่ยังเชื่อและยึดถือธรรมเนียมและธรรมบัญญัติของโมเสส
และเน้นว่าคริสเตียนทุกคนยังต้องทำตามโดยเฉพาะการเข้าสุหนัต
พวกนี้ยังต่อต้านเปาโลและข่าวประเสริฐที่ท่านประกาศ
จดหมายฉบับนี้เปาโลเขียนเพื่อยืนยันความเป็นอัครทูตของท่าน
และยืนยันสิทธิอำนาจของพระกิตติคุณว่าเพียงพอต่อความรอด
ท่านยังเขียนเพื่อต่อต้านคำสอนเท็จด้วย
การประกาศในยุคแรก
เมื่อคริสตจักรเริ่มต้นใหม่ๆยังไม่มีปัญหาเรื่องศาสนศาสตร์
เพราะการประกาศพระกิตติคุณเป็นการประกาศจากคนยิวสู่คนยิว
แต่เมื่อข่าวประเสริฐได้ประกาศไปสู่คนต่างชาติ และเกิดผลมาก ก็เริ่มมีคำถามเรื่องความสัมพันธ์ของคริสเตียนกับธรรมบัญญัติของโมเสสและธรรมเนียมประเพณีของยิว
เช่น
*
คริสตจักรจะเปิดประตูต้อนรับชนทุกชาติโดยไม่สนใจว่าเขาจะเกี่ยวข้องกับธรรมบัญญัติหรือไม่
???
*
คริสตจักรจะประกาศข่าวประเสริฐไปยังชนทุกชาติหรือไม่
* ผู้เชื่อชาวต่างชาติจำเป็นต้องยึดถือธรรมบัญญัติของโมเสสหรือไม่
คนต่างชาติจำเป็นต้องเข้าสุหนัตหรือเปล่า
ซึ่งคำถามแบบนี้เกิดขึ้นทุกแห่งที่มีคริสตจักรเกิดขึ้นท่ามกลางคนต่างชาติ
หนังสือกาลาทียเป็นการบันทึกประสบการณ์ต่างๆของคริสตจักรในแคว้นเอเชียไมเนอร์ที่เผชิญหน้ากับคำถามดังกล่าว
และเป็นสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาเหล่านี้ได้รับการเอาใจใส่
ซึ่งมีการปรึกษาของเหล่าอัครสาวกทั้งในเยรูซาเล็มและที่อันทิโอกแคว้นซีเรีย
ซึ่งพระธรรมกิจการได้รวบรวมข้อมูลเหล่านี้ไว้ เช่น เป็นการถูกหรือไม่ที่คริสเตียนยิวและต่างชาติจะทานอาหารด้วยกัน
หรือจะทานอาหารจากสำรับเดียวกันได้หรือไม่
หรือคริสเตียนยิวที่เคร่งครัดควรปลีกตัวออกหรือร่วมสามัคคีธรรมกับคริสเตียนต่างชาติ
เป็นต้น จะเห็นว่าปัญหาเหล่านี้ล้วนนำไปสู่ความแตกแยกของผู้เชื่อและยังทำลายพระกิตติคุณ
และเปาโลก็ได้ต่อสู้ในเรื่องนี้และดับความรุนแรงที่กำลังพุ่งขึ้น
และนำไปสู่การปรึกษาเพื่อแก้ปัญหาที่กรุงเยรูซาเล็ม (กิจการ 15)
ในฐานะที่เป็นอัครทูตไปสู่ชนต่างชาติ
เปาโลไม่ได้เอ่ยถึงธรรมบัญญัติของยิวในการประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา
ชาวกาลาเทียก็เช่นกัน
ท่านสอนว่าความรอดไม่ได้มาโดยการทำตามธรรมบัญญัติใดๆทั้งสิ้นแม้แต่ธรรมบัญญัติที่พระเจ้าประทานมาทางโมเสส
มีทางรอดทางเดียวเท่านั้นคือทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้า
ชาวกาลาเทียได้ต้อนรับท่านเป็นอย่างดี
พวกเขารับบัพติศมาและรับพระวิญญาณซึ่งทรงทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกเขา
ด้วยเหตุนี้คริสตจักรกาลาเทียจึงได้กำเนิดและเติบโตขึ้น
หลังจากที่เปาโลได้ออกจากกาลาเทียไม่นาน
ท่านก็ได้ข่าวว่าพวกเขากำลังหันไปจากข่าวประเสริฐที่พวกเขาได้รับไว้
มีพวกคริสเตียนยิวที่ยังเน้นธรรมบัญญัติของโมเสสมาจากเยรูซาเล็มอ้างว่า
มาจากยากอบน้องของพระเยซูและได้เริ่มสอนว่าเปาโลนั้นสอนผิด
เขาเน้นว่าต่างชาติต้องเข้ามาอยู่ใต้ธรรมบัญญัติจึงจะรอดได้
การเชื่อพระเยซูนั้นไม่พอต้องมีโมเสสด้วย
และต้องเข้าสุหนัตจึงจะทำให้ความเชื่อสมบูรณ์
ข่าวนี้ทำให้เปาโลร้อนใจมาก
ท่านมองว่าหากพวกยูดาห์นิยมชนะก็จะทำให้พระคุณและกางเขนของพระเยซูเป็นสิ่งว่างเปล่า
(5.2-4) และ คริสเตียนก็ต้องสูญเสียเอกลักษณ์และกลายเป็นแขนงหนึ่งภายใต้ศาสนายูดา
ด้วยเหตุนี้ เปาโลจึงเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อแสดงว่าพวกยูดานิยมนั้นผิด
และเพื่อจะเอาคริสตจักรของพระเยซูคริสต์คืนมา
เปาโลได้สรุปเรื่องที่พวกยูดาห์นิยมต่อต้านท่านไว้เป็น
3 ประเด็นดังนี้
1.
พวกเขากล่าวหาว่าเปาโลไม่ใช่อัครทูต
ไม่ได้อยู่ร่วมกับพระเยซูเหมือนอัครสาวกคนอื่นๆ ไม่ได้เป็น 1 ใน 12 สาวก
และพวกเขาบอกว่าเปาโลเป็นเพียงผู้ประกาศคนหนึ่งที่ได้รับความรู้นิดหน่อยเกียวกับความเชื่อและเอามาประกอบเรื่องขึ้นเอง
เพื่อเอาใจต่างชาติจึงสอนเรื่องความรอดแบบง่ายๆ ไม่เหมือนพวกอัครฑูตจึงต้องถูกปฎิเสธ
เปาโลได้ตอบโต้การใส่ร้ายนี้โดยการเล่าประวัติชีวิตของท่าน
โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับอัครทูตคนอื่นๆ(1-2)
1.1
คำสอนของท่านไม่ได้ขึ้นกับมนุษย์คนใด ท่านได้รับโดยตรงมาจากพระเยซูคริสต์
ซึ่งแสดงว่าท่านเป็นอัครทูต เพราะคำสอนของอัครทูตมาจากพระเจ้าโดยตรง
1.2
สิทธิอำนาจของท่านได้รับการยอมรับจากอัครทูตคนอื่นๆ
1.3
ท่านได้พิสูจน์ความมั่นคงของท่านที่อันทิโอก
ในขณะที่หลายๆคนหวั่นไหวและเอาตัวรอดแม้แต่เปโตรเอง
ซึ่งเป็นการเขียนยืนยันความเป็นอัครทูตแท้
2. ข่าวประเสริฐที่เปาโลประกาศไม่ใช่ข่าวประเสริฐแท้
เพราะเปาโลสอนว่าธรรมบัญญัติสามารถยกเลิกได้ซึ่งเป็นการสอนผิดในมุมมองของพวกยิวที่เน้นว่าธรรมบัญญัตินั้นยั่งยืนนิรันดร์
ทุกคนที่รอดก็โดยทำตามธรรมบัญญัติ
ตลอดชีวิตของพระเยซูเองก็ทำตามธรรมบัญัญัติ พวกสาวกก็เช่นกัน
แล้วเปาโลเป็นผู้ใดเล่าจะมาประกาศยกเลิกธรรมบัญญัติแห่งความรอด
3.
การสอนของเปาโลนำไปสู่การดำเนินชีวิตที่เหลวแหลก
พวกยูดาห์นิยมถือว่าโดยธรรมบัญญัติพวกเขามีศีลธรรมที่ดี
และดูถูกคนต่างชาติว่าเป็นคนบาปเพราะไม่มีธรรมบัญญัติ เปาโลตอบในบทที่ 5-6 ว่า
คริสเตียนไม่ได้ถูกนำออกมาจากธรรมบัญญัติไปสู่ความว่างเปลา
แต่ถูกนำเข้าหาพระเยซูคริสต์และพระวิญญาณเข้ามาสถิตในเขาสร้างให้เป็นคนใหม่ เป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายใน
คริสเตียนจึงทำดีโดยการทำอย่างมีเสรีภาพในพระวิญญาณ
ไม่ใช่การถูกบังคับจากธรรมบัญญัติ
1.3
ผู้รับ เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงคริสตจักรในแคว้นกาลาเทีย
เช่น อันทิโอก อิโคนิยูม ลิสตรา เดอร์บี
ซึ่งเปาโลได้ตั้งคริสตจักรเหล่านี้ในการเดินทางประกาศเที่ยวแรก
1.4 เวลาที่เขียน เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ขณะที่ท่านอยู่ที่อันทิโอกในซีเรีย
ประมาณปี ค.ศ.48-49
1.5
ลักษณะพิเศษ
1)
จดหมายฉบับนี้เขียนด้วยความรู้สึกที่รุนแรง
เพื่อจัดการกับพวกยูดาห์นิยมและตำหนิชาวกาลาเทีย
2)
เปาโลใช้ทั้งพระคัมภีร์ ประสบการณ์ เหตุผล การตักเตือน การหนุนใจ
และหลักการต่างๆเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการเขียนของท่าน
3)
จดหมายเขียนด้วยลายมือของเปาโลเอง เขียนถึงกลุ่มคริสตจักร ไม่ได้ระบุคริสจักรแห่งใดโดยเฉพาะ
2. โครงเรื่องของพระธรรม กาลาเทีย
1.
คำนำ (บทที่ 1.1-9)
1.1
คำทักทาย บทที่ 1.1-5
1.2
คำตำหนิติเตียน บทที่
1.6-9
2.
ความถูกต้องของความเป็นอัครฑูตแห่งเสรีภาพและความเชื่อ (บทที่ 1.10-2.21)
2.1
พระกิตติคุณของเปาโลได้รับการสำแดงพิเศษ บทที่ 1.10-12
2.2 พระกิตติคุณของเปาโลได้รับการรับรองจากอัครทูตในเยรูซาเล็ม(บทที่
1.13-2.21)
ก. หลักฐานจากชีวิตที่กระตือรือล้น บทที่ 1.13-17
ข.
หลักฐานจากผลการไปเยรูซาเล็มครั้งแรก บทที่ 1.18-24
ค.
หลักฐานจากผลการไปเยรูซาเล็มครั้งที่สอง บทที่ 2.1-10
ง.
หลักฐานจากการตำหนิเปโตรที่อันทิโอก บทที่ 2.11-21
3.
เปาโลยืนยันศาสนศาสตร์แห่งเสรีภาพและความเชื่อ (บทที่ 3-4)
3.1
ชาวกาลาเทียมีประสบการณ์กับพระกิตติคุณ บทที่
3.1-5
3.2
ประสบการณ์ของอับราฮาม บทที่ 3.6-9
3.3
คำแช่งสาปของธรรมบัญญัติ บทที่ 3.10-14
3.4
ความสำคัญอันดับแรกของพันธสัญญา บทที่ 3.15-18
3.5
จุดประสงค์ของพันธสัญญา บทที่ 3.19-25
3.6
“เป็นบุตร” ไม่ใช่ “ทาส” บทที่ 3.26-4.20
3.7
ภาพเปรียบเทียบระหว่าง ฮาการ์ กับ ซาราห์ บทที่ 4.21-31
4.
ภาคปฏิบัติของชีวิตแห่งเสรีภาพและความเชื่อ (บทที่
5.1-6.10)
4.1
คำหนุนใจให้ดำเนินชีวิตในเสรีภาพ บทที่ 5.1-12
4.2
ชีวิตโดยพระวิญญาณไม่ใช่เนื้อหนัง บทที่ 5.13-26
4.3
วิงวอนให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน บทที่ 6.1-10
5.
สรุป (บทที่ 6.10-18)
3. ภาคปฏิบัติ
-
ท่องจำ ผลของพระวิญญาณใน กาลาเทีย 5.22-23
22ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก
ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี
ความดี ความสัตย์ซื่อ 23ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย
4. บทสรุป
การไม่ประพฤติตามธรรมบัญญัติไม่ได้หมายความว่าทำอะไรได้ตามใจชอบ
จริงๆแล้วเปาโลบอกว่าเรามีพระบัญญัติอีกอย่างหนึ่งที่ต้องทำตาม
คือพระบัญญัติของพระคริสต์
การไม่ประพฤติตามธรรมบัญญัติมีความหมาย
2 ประการ คือ
1.
การประพฤติตามธรรมบัญญัติต้องไม่เป็นคนหน้าซื่อใจคด
(5.6) ตัวอย่างเช่น
การที่เปโตรและบารนาบัสไม่ยอมร่วมรับประทานอาหารกับคริสเตียนต่างชาติเพื่อทำให้กลุ่มที่ถือพิธีสุหนัตพอใจ
2.
จะต้องไม่เอาการทำตามธรรมบัญญัติมาเป็นเกณฑ์วัดฝ่ายจิตวิญญาณ
เพราะจะทำให้ธรรมบัญญัติกลายเป็นการสาปแช่งเมื่อเราไม่มีความเชื่อ
ตัวอย่างเช่น ชาวกาลาเทียเริ่มถือวัน (4.10)
เริ่มเข้าพิธีสุหนัตและบังคับให้ผู้อื่นกระทำ (5.3) ซึ่งเรื่องการถือวันสะบาโตและการเข้าสุหนัตถือเป็นเรื่องสำคัญมาก
เพราะเป็นเครื่องหมายทางพันธสัญญา
เป็นการผูกมัดให้ยึดถือธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด (อพยพ 31.13, อสค
20.12, กท 5.3, 3.12) ดังนั้นพวกเขาจึงตกอยู่ภายใต้การแช่งสาปของธรรมบัญญัติ
ชาวกาลาเทียผิดที่เอาการถือวันสะบาโตและการเข้าสุหนัตมาเป็นเกณฑ์วัดความรอดและการเติบโตฝ่ายวิญญาณ
ส่วนผู้ที่ได้รับความรอดแล้ว
คือคริสเตียน จำเป็นจะต้องมีผลของพระวิญญาณแสดงออกมาในชีวิต
คริสเตียนที่ถูกตรึงกับพระคริสต์
เขาจะได้รับการสร้างขึ้นใหม่ (6.15)
คริสเตียนที่ดำเนินชีวิตโดยมีพระวิญญาณนำจะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์
(6.8)
No comments:
Post a Comment