1.
เบื้องหลังการเขียน
1.1 ผู้เขียน จดหมายฉบับนี้ไม่ได้ระบุชื่อผู้เขียน
แต่พอจะสรุปได้ว่าผู้เขียนเป็นชาวยิวที่มีความเชี่ยวชาญในภาษากรีกและพระคัมภีร์เดิมฉบับที่แปลเป็นภาษากรีก
มีความรู้ด้านประวัติศาสตร์ของยิวดีมาก
และรู้จักทิโมธีเป็นอย่างดีโดยเรียกทิโมธีว่า ‘น้อง’ (13.23)
จากข้อมูลดังกล่าวทำให้คริสเตียนในสมัยแรกๆลงความเห็นว่า
ผู้เขียนน่าจะเป็นบารนาบัส ซึ่งได้รับฉายาว่า ‘ลูกแห่งการหนุนน้ำใจ’ แต่ต่อมาก็มีผู้ให้ความเห็นที่แตกต่างออกไป บางคนคิดว่าเป็นเปาโล
บางคนก็คิดว่าน่าจะเป็นอปอลโล บางคนก็คิดว่าเป็นลูกา
ดังนั้นเราจึงไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้เขียนจดหมายฉบับนี้
1.2 จุดประสงค์ ผู้เขียนมีความห่วงใยว่า
ผู้อ่านที่ตกอยู่ในอันตรายอาจจะหลงไปจากทางแห่งความเชื่อ
จึงได้เขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อเตือนพวกเขาให้ระมัดระวังรักษาความจริงไว้ และยังได้หนุนใจให้พวกเขาต่อสู้เพื่อไปถึงความไพบูลย์ฝ่ายวิญญาณในพระคริสต์
เพราะพระองค์ทรงเป็นหนึ่งในทุกทาง ยิ่งใหญ่กว่ากฎของโมเสสที่เขาถือ
จดหมายฉบับนี้เขียนขึ้นเพื่อหนุนใจ
ตักเตือนคริสเตียนที่ท้อถอย และคนที่ยังเป็นทารกฝ่ายวิญญาณ
ผู้เขียนใช้จดหมายฉบับนี้เพื่อเป็นอาหารแข็งฝ่ายวิญญาณที่ช่วยเสริมความเชื่อให้เข้มแข็ง
เพื่อให้สามารถยืนหยัดอยู่ได้ยามที่ต้องเผชิญการทดลองต่างๆ
ผู้เขียนเป็นห่วงว่าพวกเขาจะละทิ้งความเชื่อ และพลาดจากพระพรที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้
ด้วยว่าผู้ที่ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ
ความหวังและความรักเท่านั้นที่จะได้เข้าสู่การพำนักของพระเจ้า
1.3
ผู้รับ ไม่ได้เอ่ยถึงว่าผู้รับเป็นใคร
แต่มีหลักฐานว่าในปี ค.ศ.200 มีผู้เรียกจดหมายฉบับนี้ว่า
‘หนังสือที่มีไปถึงคนฮีบรู’ ซึ่งได้ให้หลักฐานว่าผู้ได้รับจดหมายเป็นผู้ที่รู้ประวัติศาสตร์
ธรรมบัญญัติ กฎระเบียบการนมัสการของชาวยิวเป็นอย่างดี และเป็นผู้ที่เคยได้รับการข่มเหงมาแล้วหลายครั้ง
(10.32-34)
1.4 เวลาที่เขียน เราไม่แน่ใจว่าจดหมายฉบับนี้เขียนขึ้นจากสถานที่ใด
บ้างก็เชื่อว่าเขียนจากอเล็กซานเดรียในอียิปต์
(สถานที่ซึ่งชาวยิวได้อาศัยอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก) บางคนก็คิดว่าเขียนมาจากโรม
เพราะมีข้อความตอนหนึ่งเขียนว่า ‘พวกพี่น้องที่มาจากอิตาลีก็ฝากความคิดถึงมายังท่านด้วย’ (13.24)
แต่อย่างไรก็ตามคำอธิบายที่ดีที่สุดคือ มีกลุ่มผู้เชื่อจากอิตาลีอยู่กับผู้เขียนในเวลานั้น
และพวกเขาฝากความคิดถึงกลับไปบ้าน
ดังนั้นจุดหมายปลายทางของจดหมายฉบับนี้น่าจะเป็นกรุงโรมมากกว่า
เวลาที่เขียนจดหมายฉบับนี้ประมาณปี
ค.ศ.65 มีเหตุผลที่เชื่อได้ว่า ฮีบรูถูกเขียนขึ้นก่อน ค.ศ.70
ซึ่งเป็นปีที่พระวิหารและระบบการถวายบูชาถูกทำลายลง
เมื่อเนื้อหาในจดหมายมุ่งประเด็นว่า
แท้จริงการตายของพระคริสต์นั้นได้ทดแทนระบบการถวายบูชาอันสมบูรณ์ในพระคัมภีร์เดิมแล้ว
การเปรียบเทียบนี้คงไม่มีน้ำหนักหากพระวิหารได้ถูกทำลายลงแล้ว
ยังมีอีกประเด็นหนึ่งคือ
การกล่าวถึงเรื่องการข่มเหงที่เกิดขึ้นกับคริสเตียน
สนับสนุนว่านั่นคือเวลาเริ่มต้นของการข่มเหงใหญ่ในสมัยของจักรพรรดิเนโร
พวกเขาต้องพบกับความทุกข์ยากอันแสนสาหัสที่รออยู่ข้างหน้า (12.4)
1.5
ลักษณะพิเศษ
1.
ผู้รับจดหมาย
ผู้เขียนฮีบรูไม่ได้ส่งจดหมายฉบับนี้ถึงกลุ่มคนที่กระจัดกระจายอยู่โดยไม่รู้จัก
หากแต่เขียนถึงคนที่เขารู้จักดี ดังจะเห็นได้จากคำที่ผู้เขียนใช้ตลอดเวลา เช่น ‘เรา’ และ ‘ให้เรา’ และใช้คำว่า ‘พี่น้อง’
ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่า
ผู้เขียนตั้งใจเขียนถึงผู้อ่านที่เป็นคริสเตียน
ซึ่งชื่อเดิมว่า‘จดหมายถึงชาวฮีบรู’ สนับสนุนความคิดที่ว่า
ผู้รับคือคริสเตียนชาวยิวซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อถือที่สืบมาของคริสตจักร
และในจดหมายที่มักอ้างอิงถึงพระคัมภีร์เดิมอยู่เสมอ รวมทั้งการพูดถึงอาโรน
โมเสส และ ระบบปุโรหิต เรื่องเหล่านี้ล้วนสำคัญต่อชาวยิว
แต่ตรงข้ามกับคนต่างชาติซึ่งจะไม่ประทับใจกับเรื่องเหล่านี้เลย
จึงสรุปได้ว่าผู้รับคือคริสเตียนยิว
2.
มีคำเตือนอย่างรุนแรง 5 ตอน
ในหนังสือฮีบรูที่เตือนเรื่องการหลงทางจากความจริงของพระเจ้า
ข้อพิพาทที่กล่าวถึงทั้งหมดในฮีบรูก็เกี่ยวโยงกับ 5 ตอนนี้ทั้งสิ้น
แม้ว่าคำเตือนเหล่านี้ไม่ใช่สาเหตุหลักของการโต้แย้งในฮีบรู แต่ก็มีความสำคัญต่อการอธิบายพระธรรมเล่มนี้เป็นอย่างมาก
และจำเป็นที่จะต้องพิจารณาดูสภาพการณ์ของแต่ละตอนด้วย คำเตือนเหล่านี้ปรากฏอยู่ใน
2.1-4, 3.7-4.13, 5.11-6.20, 10.26-39 และ 12.12-29
ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้เตือนผู้อ่านถึงการหันเสียจากความจริงของพระเจ้าซึ่งจะหลงไปจากทางแห่งความรอดซึ่งพระเจ้าประทานให้ทางพระเยซูคริสต์
ข้อความเหล่านี้ทำให้บางคนคิดว่า เป็นไปได้ที่ผู้เชื่อแท้จะสูญเสียความรอดของตน
แต่พระคัมภีร์ใหม่มีข้อพิสูจน์ที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้
และยังยืนยันถึงความรอดอันมั่นคงนิรันดร์ของผู้เชื่อที่แท้จริงด้วย
หลายคนกล่าวว่าข้อพระคัมภีร์เหล่านี้หมายถึงคนที่ประกาศตนว่าเป็นคริสเตียน
แต่ความจริงแล้วเขาไม่ได้เชื่อ
2.
โครงเรื่องของพระธรรม ฮีบรู
1. บทนำ -
การสำแดงใหม่อันสุดยอดของพระเจ้า บทที่
1.1-4
2. พระคริสต์ทรงยิ่งใหญ่กว่าผู้นำในพันธสัญญาเดิม (บทที่ 1.5-7.28)
2.1
พระคริสต์ทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าทูตสวรรค์ (บทที่ 1.5-2.18)
ก.
พระคัมภีร์ยืนยันถึงความยิ่งใหญ่ของพระบุตร บทที่
1.5-14
ข.
หนุนใจไม่ให้เพิกเฉยต่อการสำแดงในพระบุตร บทที่
2.1-4
ค.
พระคัมภีร์ตอนอื่นๆที่ยืนยันความยิ่งใหญ่ของพระบุตร บทที่ 2.5-18
2.2
พระคริสต์ทรงยิ่งใหญ่กว่าโมเสส (บทที่
3.1-4.13)
ก.
ภาพแสดงความยิ่งใหญ่ของพระคริสต์ บทที่
3.1-6
ข.
คำหนุนใจให้เข้าสู่ความรอดและการพัก บทที่
3.7-4.13
2.3
พระคริสต์ทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าปุโรหิตอาโรน
(บทที่ 4.14-7.28)
ก.
คำหนุนใจให้ยึดมั่นในความเชื่อ บทที่
4.14-16
ข.
คุณสมบัติของปุโรหิต บทที่
5.1-10
ค.
คำหนุนใจให้ละทิ้งความเฉื่อยชาฝ่ายวิญญาณ บทที่
5.11-6.12
ง.
ความแน่นอนของพระสัญญาของพระเจ้า บทที่
6.13-20
จ.
ระบบปุโรหิตที่ยิ่งใหญ่ของพระคริสต์ บทที่
7
3.
ความยิ่งใหญ่ของการถวายเครื่องบูชาชองมหาปุโรหิตใหญ่ของเรา (บทที่ 8-10)
3.1
พันธสัญญาที่ดีกว่า บทที่
8
3.2
พระวิหารที่ดีกว่า บทที่
9.1-12
3.3
เครื่องบูชาที่ดีกว่า บทที่
9.13-10.18
3.4
คำหนุนใจและท้าทาย บทที่
10.19-39
4. คำวิงวอนให้ยืนหยัดในความเชื่อ (บทที่ 11-12)
4.1
ตัวอย่างของวีรบุรุษแห่ความเชื่อในอดีต บทที่
11
4.2
คำหนุนใจให้ยืนหยัดในความเชื่อ บทที่
12.1-11
4.3
คำท้าทายให้ยืนหยัดในความเชื่อ บทที่
12.12-17
4.4 แรงจูงใจในการยืนหยัดในความเชื่อ บทที่
12.18-29
5. สรุป บทที่
13
3. บทสรุป
มีคริสเตียนหลายคนที่อยากจะละทิ้งความเชื่อไปเสีย
มีบางคนพูดว่า ‘คริสตจักรเต็มไปด้วยพวกหน้าซื่อใจคด’ หรือ ‘ศาสนาคริสต์ไม่ได้เป็นคำตอบ’
หรือ ‘ถ้าพระเจ้ามีจริง
ทำไมจะต้องพบกับความลำบากเช่นนี้’ หรือ ‘ทำไมต้องถูกข่มเหงเพราะการเป็นคริสเตียน’
คนที่คิดเช่นนี้มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ
เขาไม่ได้เพ่งมองไปที่พระเยซูคริสต์ แต่ไปดูที่คริสตจักร หรือผู้นำบางคน
หรือความทุกข์ทรมานของตนเอง
บ่อยครั้งเมื่อเราต้องทนทุกข์ทรมาน เราก็มักจะลืมไปว่า
ความทุกข์เหล่านั้นสืบเนื่องมาจากความบาปของเราเอง (12.16) เราควรสารภาพความบาปของเราต่อพระเจ้าและมีชีวิตที่บริสุทธิ์
(12.14)
แต่บางครั้งเราก็ไม่ได้ทุกข์ทรมานจากความบาปของเราเอง
ทว่าเป็นความเชื่อของเราต่างหาก และยังคงมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่ความบาป
แต่อาจเรียกว่า ‘สิ่งที่ถ่วงอยู่’
(12.1) สิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคของเราในการเป็นคริสเตียนและการมีชีวิตที่บริสุทธิ์
สิ่งที่ถ่วงอยู่อาจเป็นความขมขื่น (12.15) ความรักเงินทอง (13.5)
และความเชื่อในคำสอนที่แปลกๆ (13.9) หากเราต้องการเป็นคริสเตียนที่ดี
เราต้องปล่อยวางสิ่งที่ถ่วงอยู่เหล่านี้ลง และมีความรักต่อกันฉันพี่น้อง (13.1)
ระลึกถึงผู้ที่ถูกข่มเหงเพราะความเชื่อ (13.3)
รักษาชีวิตสมรสให้เป็นที่นับถือแก่คนทั้งปวง (13.4) เชื่อฟังผู้นำ (13.7, 17)
ยอมถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม (13.13)
และที่สำคัญที่สุดคือให้เพ่งมองไปที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้า (12.2)
ซึ่งทรงเป็นผู้สื่อสาร ผู้เผยพระวจนะ และมหาปุโรหิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
และเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า พระองค์ทรงเหมือนเดิมในเวลาวานนี้
วันนี้และสืบๆไปเป็นนิจ (13.8)
ในพระธรรมฮีบรูใช้คำว่า
‘ดีกว่า/ยิ่งใหญ่กว่า’
ถึง 15 ครั้ง เพราะฉะนั้น
จงยึดมั่นในความเชื่อเพราะพระผู้ช่วยให้รอดของท่านยิ่งใหญ่ที่สุด
พระธรรมฮีบรูแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ว่า
เป็นเหมือนภาพถ่ายกับบุคคลจริง นั่นคือ
พันธสัญญาเดิมเป็นเงาของพระเยซูคริสต์
|
||
พันธสัญญาเดิม
|
พันธสัญญาใหม่
|
การนำไปใช้
|
เครื่องถวายบูชาของผู้กระทำผิดบาป
|
การถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาของพระเยซูผู้ปราศจากบาป
|
พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อคุณ
|
พระวิหาร เน้นตัวอาคาร
|
เน้นการครอบครองของพระคริสต์
|
พระเจ้าเกี่ยวข้องกับเราโดยตรง
|
เป็นแบบจำลอง
|
เป็นความจริง
|
ไม่ใช่ชั่วคราวแต่ชั่วนิรันดร์
|
เข้าเฝ้าพระเจ้าได้จำกัด
|
เข้าเฝ้าได้ตลอดเวลา
|
เราเข้าเฝ้าได้โดยส่วนตัว
|
มีความกลัวเป็นพื้นฐาน
|
มีความรักและการให้อภัย
|
เราได้รับความรักและการอภัย
|
เชื่อฟังกฏเกณฑ์
|
ปรนนิบัติพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
|
ความสัมพันธ์ไม่ใช่กฏระเบียบ
|
เป็นความพยายามของมนุษย์
|
เป็นพระคุณของพระเจ้า
|
เริ่มโดยความรักของพระเจ้า
|
ต้องถวายบูชาอย่างต่อเนื่อง
|
ถวายบูชาครั้งเดียวพอ
|
เราได้รับการไถ่โดยพระโลหิต
|
No comments:
Post a Comment